หลังจากที่ใช้เวลา 5 เดือน เพื่อวางแผนเดินทางไปเที่ยวแชงกรีลา ตอนนั้นผมก็ได้เพื่อนๆ ผู้ร่วมชะตากรรมความมันส์ครั้งนี้อีก 5 คน

และแล้ว เมื่อเวลาพร้อม คนพร้อม เงินพร้อม ถึงเวลาลุย!! สู้ว๊อยยย!!!

เย็น วันที่ 2 ธันวาคม 2552

วางแผนไว้ว่าจะลางานตอนบ่าย 3 เพื่อไปแลกเงินที่ธนาคารใกล้บ้าน จากคำแนะนำของโดนัทเพื่อนผม มันบอกให้แลกเป็นหยวนบางส่วน แล้วนอกนั้นถือเงินดอลลาร์ไว้ทะยอยแลกไปเรื่อยๆ เมื่อหยวนหมด

ผมจึงลองคำนวณคร่าวๆ ว่าจะแลกเป็นหยวน 1,000RMB (5,000บาท, RMB ย่อจาก Renminbi เป็นค่าเงินของจีน) เพื่อให้พอไปถึงลี่เจียง และอีก 300$US (10,000บาท)

บังเอิญวันนั้นงานเข้าครับ ผมต้องแก้ Bug อะไรบางอย่างในโปรแกรม จึงทำให้ออกจากออฟฟิตตอน 5 โมงเย็น! พอมาถึง Big-C สะพานควาย ปรากฏว่าเงินหยวนและ $US เขาไม่มี Stock ไว้ (ต้องสั่งล่วงหน้า 1 อาทิตย์!) ทั้ง กสิกร, ไทยพาณิชย์, กรุงเทพ ไม่มีสักที่!

ตอนนั้นต่ายกำลังจะมาหาผม เพื่อ copy รูปที่ไปเที่ยวฮ่องกง ผมจึงโทรให้แลกธนาคารในเซ็นทรัลลาดพร้าวให้ ปรากฏว่าก็ไม่มีให้แลกเช่นกัน

โชคดีที่ผมโทรหาพี่ป๊อป และแกกำลังจะไปแลกเงินที่พารากอนผมจึงฝากแลกตามที่วางแผนไว้ แล้วรีบเดินกลับมาที่บ้านเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋าทันที! (โล่งอก..)


อุปกรณ์ที่เตรียมไว้ ผมมีเป้ใส่เสื้อผ้า 1 ใบ + ขาตั้งกล้อง, กระเป๋ากล้อง 1ใบ, กระเป๋าคาดเอว 1 ใบ

ใช่ครับ ณ เวลานั้น คือ 17.30 (รถทัวร์ออก 19.30 แต่ต้องไปรับตั๋ว 19.00) ผมยังไม่ได้จัดแจงเก็บกระเป๋าเดินทางเลย! รวมไปถึงยังไม่มีเงินหยวน, เงินดอลล่าร์ อีกด้วย! โครตจะพร้อมเดินทาง ฮ่าๆ

ผมทิ้งให้ต่ายนั่ง copy รูปฮ่องกง ส่วนผมก็รีบเก็บเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆ กลัวไม่หล่อครับ ผมยังอาบน้ำอีกต่างหาก! (ไอ้ต่ายบอกว่าจะตกรถอยู่แล้ว ยังจะอาบน้ำอีก)

กว่าจะเสร็จทุกอย่าง กินเวลาไปเกือบ 1ทุ่ม ผมจึงเลือกนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างจากสะพานควายไปหมอชิต เขาเรียก  20 บาท โครตตะลึง! ถูกกว่าที่คิดไว้เยอะ

ตอนนั้นใช้เวลา 10 นาที ถึงหมอชิตใหม่ รีบไปยืนยันตั๋วรถทัวร์ที่จองไว้กับสยามเฟิร์สทัวร์ (Siam First Tour) พี่ปูและพี่แอน มารอผมก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนโดมก็ตามมาสมทบทีหลัง, เนส เธอไปรออยู่ท่ารถตรงวัดเสมียนนารี และคนสุดท้ายที่เรารอคือ… พี่ป๊อป… ช้าสุดๆ (เผากันจะๆ)

พี่ป๊อปมาถึงก่อนเวลาแป๊บหนึ่ง จำได้ว่าเรามีเวลา 10 นาทีเพื่อรีบสาวเท้าไปให้ถึงชานชะลาขึ้นรถ และสุดท้ายรถมันได้ออกไปก่อนเรียบร้อยแล้ว…!!!

ยืนงงๆ.. ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป

ขณะที่กำลังอึนๆมึนๆ พนักงานตรวจตั๋วเดินมาบอกให้เราไปกับรถแม่สาย เพื่อต่อไปยังท่ารถของสยามเฟิร์ส เพราะรถของเรามันจะไปจอดรับคนที่นั่นด้วย ฟังแล้วรู้สึกโล่งอกกันเป็นแถบ พวกเรารีบขนกระเป๋าและขึ้นไปนั่งบนรถทันที

เริ่มต้นสนทนา ก็เฮฮาปาจิงโกะ เสล่อตกรถกันตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง 😛

เราไปถึงท่ารถของสยามเฟิร์ส เจอคุณเนสนั่งรออยู่บนรถเชียงของแล้ว เจ้าหน้าที่จึงให้ผมไปทำการขึ้นตั๋วและโหลดกระเป๋า (เรียกเหมือนเครื่องบินเลย)

โดยรถที่จองเป็นรถ VIP กรุงเทพ-เชียงของ และมันเป็นเก้าอี้นวดด้วย! ผมหวือหวากับเก้าอี้นวดกันมาก เพราะไม่เคยเจอเลย คือ พอกดปุ่มนวดปุ๊บ อารมณ์เหมือนไอ้คนเบาะหลังเอาเท้าถีบเรา แล้วลากขึ้นลากลง

ผมบอกให้ทุกคนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้เตรียมลุย สุดท้ายคนอื่นหลับหมด มีผมที่แหกตานั่งดูหนังต่อ ซึ่งหนังที่ฉายคือ Everest เป็นเรื่องของกลุ่มนักปีนเขาชาวแคนนาดาที่กำลังจะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส

นั่งดูจากกรุงเทพไปถึงนครสวรรค์ ลุ้นระทึก และโครตได้บรรยากาศผจญภัยสุดๆ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง รถกำลังขึ้นสะพานเดชาติวงศ์ที่นครสวรรค์พอดี ผมยอมรับว่า ณ เวลานั้นรู้สึกคิดถึงบ้าน และอยากเจอแม่กับอาม่า แต่ก็ไม่มีโอกาส..

วันที่ 3 ธันวาคม 2552 … เชียงของ (ไทย) – บ่อเต็น (ลาว)

ผมเป็นคนหลับยาก ต้องง่วงจริงๆ ถึงจะหลับ แต่นี่อารมณ์ตื่นเต้น แถมนอนบนรถอีกต่างหาก จึงทำให้หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน กว่าจะรู้สึกว่าได้หลับสนิท ก็ใกล้ถึงเชียงของแล้ว หันหลังกลับไปพบว่าผู้คนทั้งคันลงจากรถไปเกือบหมด พวกเขาคงลงตามรายทางแถวๆเชียงราย มีเพียงกลุ่มเราและคนอื่นๆ อีก 2-3 คน ที่ไปลงปลายทางเชียงของ

7.30น. พวกเราลงที่ท่ารถเชียงของ (คุ้นๆว่ามี 7-11 อยู่ตรงนั้น) และต่อรถสกายแล็ป (เป็นรถสามล้อที่ต่อพ่วงไว้โดยสารคนและของได้มากขึ้น) ไปที่ท่าเรือบั๊คริมน้ำโขง ซึ่งค่าโดยสารคันละ 20 บาท

ตอนนั้นด่านยังไม่เปิด พวกเราจึงมีเวลาไปล้างหน้าแปรงฟันที่สถานีบริการประชาชน ตรงชายแดน  อากาศตอนนั้นเย็นๆ และน้ำก็เย็นมากเช่นกัน

พี่ป๊อปตะโกนเรียกให้เราไปที่ด่านเพื่อเขียนใบขออนุญาติเข้า-ออกเมือง ซึ่งนอกจากพวกเรา ก็มีฝรั่งอีกกลุ่มและคนไทยอีกกลุ่ม กำลังจะข้ามฝั่งไปลาวเช่นกัน

หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย พวกเราจึงลงไปที่ท่าเรือบั๊คที่อยู่ถัดไป เสียค่าเรือข้ามฝั่งโขงคนละ 40 บาท (ข้อมูลที่เราหาได้บางแห่ง บอกว่าค่าเรือ 30 บาท แต่มีค่าวางกระเป๋าอีก 10 บาท)

แม่น้ำโขงยามเช้าสวยมากครับ แสงอาทิตย์ส่องแสงเป็นลำ สีเหลืองทองอร่ามไปทั่วคุ้งน้ำโขง พร้อมไอหมอกที่ระเหยจางๆ เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายไว้ เนื่องจากมัวแต่ชื่นชมบรรยากาศ และปล่อยให้คนอื่นบันทึกภาพ

8.20 เราถึงด่านห้วยทรายฝั่งลาว และขณะที่กำลังเขียนเอกสารขอเข้าเมือง ก็มีรถตู้มาสอบถามว่าเราจะไปไหน พร้อมเสนอราคาให้ (ภาษาไทย) เราเลยบอกว่า “จะไปบ่อเต็น 6 คน ถ้าเหมาเท่าไร” (บ่อเต็นคือด่านลาว แขวงหลวงน้ำทา ที่ติดกับด่านโมฮั่น มณฑลยูนนานของจีน) เขาบอกราคามาว่า 3,000บาท (ซึ่งเราหาข้อมูลได้ว่า ค่ารถจะได้ราคาประมาณคนละ 600-700บาท แต่ถ้าได้ 500 ถือว่าถูกแล้ว) เราจึงตอบตกลงทันที

แต่พอถามอีกครั้งกลับบอกเราว่า ขอเป็น 3,500บาท ก็แล้วกัน จะออกรถให้เลย และไม่รับกลางทาง ซึ่งกลับคำพูดกันชัดๆ! พวกเราจึงลังเลจะไปหาเจ้าอื่นแทน แต่โชคดีที่เจอพี่คนหนึ่ง จริงๆเราได้คุยกับเขาตั้งแต่ตอนกรอกใบขอเข้าเมืองแล้ว เขาก็จะไปบ่อเต็นเช่นกัน พี่เขาบอกว่าถ้าเช่นนั้นพี่เขาขอไปกับเราด้วย เป็น 7 คน ก็จะตกคนละ 500 บาท เหมือนเดิม แต่ต้องไม่รับใคร และออกรถทันที

ผมไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่ด้วยความที่เพิ่งเจอกัน ผมเลยตั้งป้อมไม่ค่อยไว้ใจไว้ก่อน แต่คนแถวนั้นเรียกแกว่าเสี่ย และดูท่าทางแกเดินทางแถวนี้บ่อย พูดคุยกับคนขับรถ รู้จักชื่อคนขับหลายๆ คนในระแวกนั้น

09.00 ล้อหมุน ซึ่งรถที่นั่งไปเป็นรถตู้ Comuter ติดแอร์ เบาะใหญ่ 3 แถว และดูใหม่ๆ ถือว่าสบายดีเลยทีเดียว

ระหว่างทางที่นั่งรถไป พวกเราได้สนทนากับพี่คนแปลกหน้า จนรู้มาว่าพี่แกชื่อพี่วิโรจน์มีร้านอาหารไทยอยู่บ่อเต็น ต้องเดินทางไปมาเพื่อทำเอกสารและเอาวัตถุดิบบ่อยๆ พี่แกเลยเล่าเรื่องของประเทศลาวให้ฟังตลอดการเดินทาง

เส้นทางของลาวเป็นทางลาดยางคดเคี้ยวเลาะตามภูเขาไปมา และมีหลุม มีบ่อ ตลอดเส้นทาง โชคดีที่คนขับไม่เมามันส์มากนัก ขับไปสบายๆ แต่ก็ทำให้พี่ปูต้องเมารถและนั่งซมไปพักใหญ่ๆ

13.00 เราใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง จากด่านไทย-ลาว มาถึง ด่านลาว-จีน ซึ่งเราต้องไปส่งพี่วิโรจน์ที่ร้านอาหารก่อน และเพื่อขอบคุณพี่วิโรจน์ที่มาด้วยกันและแก้ปัญหาปากท้องเรา เราจึงแวะกินข้าวที่ร้านพี่แกเสียเลย (ตอนนี้เราทำเวลาได้ดี มาแบบสบายๆ และถึงเป้าหมายก่อนเวลาที่กำหนด 14:00 โครตเก่งเลย อิอิ)

ประเดิมมื้อแรกในต่างแดน เป็นข้าวผัดหมูจานโต พร้อมน้ำต้มผักชามใหญ่ๆ ใหญ่ขนาดที่พวกเราแอบหวั่นใจในราคาเล็กน้อย กินกันทั้งหมดข้าว 6 จาน และซุป 2 ชาม คิดเงินมื้อนั้น จ่ายไปคนละ 15หยวน (75บาท)

14.00 เราถามจากพี่วิโรจน์และขอให้พี่คนขับรถตู้พาเราไปที่ธนาคารลาว เพื่อขอแลกเงินเพิ่ม เนื่องจากพี่ป๊อปแลกเงินมาให้ผมแค่ 200$US ผมจึงต้องใช้เงินไทยแลกจากที่นี่เป็นหยวนให้หมด เนื่องจากถ้าข้ามไปฝั่งจีนแล้วจะหาแลกเงินไทยเป็นหยวนได้ยาก

รถตู้พาเราไป ธนาคารพัฒนาลาว แกไม่คิดอะไรมากครับ แกบอกว่า 5บาท = 1หยวน เศษสตางค์ไม่มีคิด ผมเลยแลกไปทั้งหมด 2,000RMB (10,000 บาท)

พี่รถตู้ขับพาเรามาส่งถึงด่านบ่อเต็น ให้พวกเราทำเรื่องขอออกจากลาว ซึ่งคนจีนก่อนหน้าผม โดนเก็บไป 20 หยวน ผมโดนไป 20 บาท แต่เนสหรือบางคนเขาไม่ได้เก็บเงิน ตรงนี้ก็เลยงงๆ อาจจะเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชามากกว่าจะเป็นค่าข้ามด่านปกติ

จากนั้นพี่รถตู้ยังแฮปปี้ใจดีอีกครับ พาเราไปจนถึงเขตชายแดนลาวเลยทีเดียว เพราะถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราต้องเดินอีกพอสมควร เราจึงอำลาอาลัยพี่แกพร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ด่านที่อยู่เบื้องหน้าพวกเรา เป็นด่านโมฮั่น มณฑลยูนนานของจีน ใหญ่โตอลังการ เมื่อเทียบกับไทยและลาว สมกับความเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่แบบจีนจริงๆ

ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะข้ามฝั่งจากลาวไปจีน นี่คือด่านโมฮั่น

บ่อเต็น (ลาว) – จิ่งหง (จีน)

14.20 พวกเราเข้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจีน ระหว่างรอคิว มีทหารจีนมาถามเราว่า “Where You Come From” เราจึงบอกว่า “Bangkok Thailand” และเขาก็ยิ้มๆ เดินจากไป

14.40 ทุกคนทำเรื่องผ่านเข้าด่านเสร็จ เดินออกมาตรงประตูทางออก…

ซึ่งตอนนี้ พวกเราเริ่มเข้าสู่โลกแห่งการคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วครับ!!..

เจ๊ที่ยืนรอรับแลกเงินหลายคน พร้อมอาเฮียคนขับรถ กรูเข้ามาหาพวกเรา

เจ๊ “@!)$!@**@@!#)_*#@..”
ผม “เอ่อ…”
เจ๊ “#$!@!#(*)@!#!#)_*##@$#@@…”
ผม “อ่าา…”
เฮีย “#@%#_@)()#@$*@!(*$!@%*(&…”
ผม “ทิง ปู้ ต่ง อ่า..” (กรูฟังไม่ออก!)
เจ๊และเฮีย “#$@#@!#%%#@$@#@#@!$@!$@#@!#…”
ผม “ทิง ปู้ ต่ง, ทิง ปู้ ต่ง, ทิง ปู้ ต่ง..”

พอโดนตีมึนสักพัก ทั้งผมและพี่แอนจึงเริ่มตั้งสติได้ว่ากรูก็เคยเรียนภาษาจีนมา

“หว่อ เมิน เสี่ยง ชวี่ เมิ่ง ลา” (พวกเราอยากไปเมิ่งลา)
เฮีย “#$@#@!#%%#@$@#@#@!$@!$@#@!#…”

แล้วเฮียแกก็ให้เราเดินตามไปขึ้นรถบัส เราเดินตามไปแต่ก็ยังยืนด้อมๆ มองๆ ว่าเมิงจะพากรูไปไหนวะ

“#$@#@!#%%#@$@#@#@!$@!$@#@!#.. ชวี่ เมิ่ง ลา…”

พอเริ่มจับ main idea ของเฮียแกได้ว่า “พวกเมิงจะไปเมิ่งลาใช่ไม๊ ขึ้นรถกรูสิ”
ผมเลยถามกลับไปว่า “ตั้ว เส่า เฉียน” (เป็นเงินเท่าไร)
เจ๊ที่เป็นคนเก็บเงินบอก “ไคว้ เฉียน” (2 หยวน)
ผมบอก “อี เก้อ ไคว้ เฉียน?” (1คน 2หยวน?)
เจ๊พยักหน้าๆ พร้อมพูดจีนอะไรอีกไม่รู้นิดหน่อย

แต่ก็เอาวะ คงพาเราไปเมิ่งลา เพราะถ้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ มีหวังตกรถแน่ๆ เราจึงกระโดดขึ้นรถทันที ทั้งเจ๊และเฮียและคนจีนที่นั่งอยู่บนรถก็ขำๆ พูดโช้งเช้งๆ อะไรกันก็ไม่รู้

14.50 อาเฮียคนขับพาพวกเรามาถึง Mo Han Bus Station ซึ่งด้านในมีรถตู้เก่าๆ จอดเรียงรายอยู่สามสี่คัน ทันใดนั้นมีเจ๊อีกคนกวักมือเรียกพร้อมพูดภาษาจีน เดาว่าให้เข้าไปที่ซุ้มหลังเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ขายตั๋ว

เจ๊แกพูดภาษาไทยได้บางคำ จึงพอเข้าใจได้บ้าง พวกเราจึงบอกว่า เราจะไปเมิงลา เจ๊แกเลยออกตั๋วให้ 6 ใบ ค่าโดยสารคนละ 17หยวน ซึ่งข้อมูลที่หาได้ บอกว่า 15หยวน เราเห็นว่าไม่ต่างกันมาก จึงตกลงและขนของไปขึ้นรถ


อาเฮียที่เราคิดว่าเป็นคนจีนที่นั่งข้างเนส เรามารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคนไทย และใจดีมากๆ

สภาพรถตู้ที่ได้นั่ง เป็นรถคันเก่าๆ 4 แถว เบาะยุ่ยๆ โนแอร์ แต่เมนี่หน้าต่าง ไว้เปิดรับอากาศภายนอกแบบสะใจ

15.00 (ในจีนตอนนั้น 16.00) เริ่มออกเดินทาง โดยมีกลุ่มเรา 6 คน และคนจีนสามคน แต่ระหว่างทาง ก็จอดแวะรับ และมีคนโบกในช่วงแรกๆ จนเต็มคัน

ในการเดินทาง บนถนนใหญ่ที่เราพบคือ จะมีด่านเก็บเงินอยู่เป็นช่วงๆ ดังนั้นรถตู้ที่ผมนั่งและหลายๆคัน จะวิ่งอ้อมเส้นทางหลัก ไปใช้เส้นทางในทุ่งนา หมู่บ้าน จริงๆ แล้ว ผมไม่รู้ว่าอ้อมหรือเปล่า แต่คิดว่าไม่น่าจะอ้อม เพราะเส้นทางตรงไปเรื่อยๆ ไม่ได้คัดเคี้ยว หรือลงลึกเข้าไปในป่าอะไร

ระหว่างที่นั่งรถ เราได้เห็นหมู่บ้าน ทุ่งนา ไร่ สวน ของชาวจีน กอปรกับมีลมเย็นๆ คอยพัดเข้ามาทางหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา พวกเราชิวๆ และรู้สึกดี จึงคุยกันเฮฮาไปตลอดทาง

ตอนเราเริ่มสนทนากัน เฮียที่นั่งข้างๆ เนส แกทักขึ้นมาว่า “เป็นคนไทยหรอ จะไปไหนกัน” เราดีใจมากและบอกว่า “จะไปจิ่งหง” เฮียแกก็บอกว่าจะไปเหมือนกัน จากนั้นก็คุยกันตลอดทาง ซึ่งเฮียแกเพิ่งกลับไปทำเอกสารเดินทางที่ไทย แล้วคนข้างๆเฮียอีกคนเป็นเพื่อนชาวจีนที่มารับ

หลังจากวิ่งพ้นช่วงถนนที่มีด่านเก็บเงิน เราก็ได้วิ่งบนถนนสายหลัก ซึ่งสองข้างทางเป็นภูเขา ต้นไม้ ไร่ สวนขั้นบันไดตามไหล่เขา ซึ่งผมสังเกตว่าน่าจะเป็นต้นยางพารา เนื่องจากเห็นต้นคล้ายๆต้นยางที่ไทย และมีรอยกรีดสีขาวๆ จีนคงกำลังพยายามจะปลูกยางพาราให้ได้มากๆ แทนการนำเข้าจากไทยหรือประเทศอื่นๆ เป็นแน่

17.00 (จะใช้เวลาที่จีนตั้งแต่นี้ไป) เราใช้เวลา 2 ชั่วโมง จาก โมฮั่นถึงเมิ่งลา ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงกลุ่มเรา 6 คน และอาเฮีย 2 คน คนขับรถหันกลับมาคุยอะไรสักอย่างกับอาเฮีย เฮียแกเลยบอกเราว่า พวกเราจะไปจิ่งหงต่อ คนขับเขาเลยติดต่อรถเพื่อนเขาไว้ให้ จ่ายคนละ 40หยวน พวกเราก็เลยตกลงไปกันต่อ

หลังจากเปลี่ยนรถเพื่อจะไปจิ่งหง (สภาพรถไม่ต่างจากเดิม) รถพาเราแวะปั๊มเติมน้ำมัน เราจึงขอคำแนะนำจากเฮียเพื่อซื้อน้ำดื่ม เฮียแกแนะนำว่าให้ลองดื่มน้ำชายี่ห้อหนึ่ง กระป๋องแดงๆ แกบอกว่าอร่อยดี แกดื่มประจำ เราบางคนเลยลองซื้อมาดื่ม (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 1กระป๋อง/5หยวน) ส่วนผมซื้อโค๊ก (1ขวด/3หยวน)

เท่าที่ลองดื่มเจ้ากระป๋องแดง รสชาติคล้ายๆ ชาจีนผสมเก็กฮวย (และพบว่ามันดังมาก มีขายทุกที่ที่ผมไป), ส่วนโค๊ก รู้สึกได้เลยว่าจืดกว่าไทยนิดหน่อย

เส้นทางที่วิ่งจากเมิ่งลาไปจิ่งหงเริ่มมีภูเขามากขึ้น แต่รัฐบาลจีนไม่ได้ทำแบบลาวที่ตัดถนนเลาะตามภูเขาให้น่าอ้วกแตก แต่รัฐบาลจีนเล่นเจาะภูเขาทำอุโมงค์กันเป็นกิโลฯ บ้างก็สร้างสะพานข้ามภูเขากันเลยทีเดียว ดังนั้น ตลอดเส้นทาง เราจะวิ่งบนสะพานสลับกับอุโมงค์อยู่บ่อยๆ วิวทิวทัศน์ข้างทางสวยงาม พร้อมอากาศที่เย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแสงอาทิตย์ที่น้อยลงริบหรี่ๆ


รัฐบาลจีนสร้างสะพานข้ามภูเขาและเจาะอุโมงค์ ดังนั้นเส้นทางถนนของจีนจึงราบเรียบ ไม่คดเคี้ยวไปมาเพื่ออ้อมภูเขาแบบที่ลาวหรือไทยทำ


สองข้างทางระหว่างที่ไปเมิ่งลาและไปจิ่งหง จะมีวิวสวยๆ ที่เริ่มไม่มีในเมืองไทยให้ได้ชมตลอดทาง
กอปรกับลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างตลอด ผมจึงรู้สึกสดชื่นและมีความสุขมาก

ระหว่างนั่งรถ ผมเปิดหนังสือ Lonely Planet เช็คตารางเวลาเที่ยวรถ ซึ่งมี จิ่งหง-ต้าลี่ เที่ยวสุดท้ายตอน 19.30 (จริงๆ ในตอนที่หนึ่งเป็นแผนการที่ยังไม่อัพเดท ซึ่งเป็นแผนที่พวกเราต้องวิ่งจากจิ่งหงไปคุนหมิง แต่ก่อนเดินทางสองอาทิตย์เราได้เปลี่ยนแผนวิ่งยาวไปต้าลี่เลย ไว้ผมจะลงแผนการอัพเดทอีกครั้งในตอนสุดท้าย)

ล่องลอยที่จิ่งหง (เชียงรุ้ง,สิบสองปันนา,ซื่อฉวงปานนา)

19.00 อีก 10 กิโลจะเข้าถึงจิ่งหง อาเฮียถามว่าเราจะไปที่ไหน เราจึงบอกว่าจะไปนั่งรถนอนเพื่อไปต้าลี่ เฮียแกบอกว่าที่จิ่งหง มีสถานีรถ 2 แห่ง ไปที่ไหน

หันหน้ามองกันเลิกลั่ก งงสิครับ! เพราะไม่ได้เตรียมการว่าจะไปสถานีรถชื่ออะไร เราจึงบอกเฮียแกไปว่าเราไม่รู้

เฮียแกเลยถามคนขับและถามเพื่อนแก แต่ก็ไม่ได้ความ คราวนี้ทั้งเฮียและเพื่อนแกโทรไปหาใครบ้างก็ไม่รู้อยู่หลายนาที สุดท้ายได้ความว่า ต้องไปที่สถานีรถโดยสารทางใต้ของเมืองจิ่งหง แล้วแกก็โทรเช็คที่สถานีให้เรา ซึ่งได้คำตอบว่า “รถเต็มแล้ว…” เฮียแกเลยแนะนำให้เดินทางพรุ่งนี้ แต่พวกเราก็ขอที่จะลองไปเช็คอีกครั้งที่ท่ารถก่อน

19.30 เราไปถึงสถานีรถบัสตอนใต้ของจิ่งหง พวกเราขอบคุณและแยกทางกับเฮียแกตรงนั้น จ่ายเงินค่ารถตู้ไปคนละ 50หยวน (ตอนแรกตกลงไว้ 40หยวน แต่ตอนจ่ายเงินไปแล้ว คนขับไม่ทอนครับ ขับรถออกไปเลย) พวกเรารีบไปในสถานีเพื่อเช็คเวลารถออก

เนสเป็นคนอาสาไปเช็คให้ เธอพูดจีนไม่เป็น และพกหนังสือ Lonely Planet ไปด้วย พวกเรายืนรอแป๊บนึงและเดินตามเข้าไป เนสบอกว่ารถเพิ่งเต็มและออกไปเมื่อสักครู่นี้


พนักงานที่สถานีพูดจีนไม่ได้ ป้ายเที่ยวรถและป้ายบอกทางต่างๆจะเป็นภาษาจีนหมด ดังนั้น เราต้องเปิดหนังสือเพื่อเทียบตัวอักษรจีนกันตลอด

เราตกรถอีกแล้วครับ! เป็นรอบที่สอง 😛

สรุป เราเลยต้องนอนค้างที่จิ่งหง 1 คืน และได้จองตั๋วรถนอนจากจิ่งหง-ต้าลี่ รอบ 17.00 ของวันรุ่งขึ้น ไว้ล่วงหน้าเลย ป้องกันผิดพลาดอีก ค่ารถจ่ายไปคนละ 195หยวน

ณ ตอนนั้นเหนื่อยกันมาก เราจึงพักโรงแรมที่อยู่ในสถานีรถนั่นเอง สภาพห้องพอไหว เปิดห้อง 3 เตียงไว้ 2 ห้อง เขาคิดห้องละ 120หยวน (คนละ 40หยวน)


เหนื่อยกันมาก จึงเลือกพักที่โรงแรมของสถานีจิ่งหง

ซึ่งในคนที่มาติดต่อเราเป็นผู้ชายตัวใหญ่ แกคึกมา เดินขึ้นเดินลงพาผมกับพี่แอนไปดูห้องจนหอบเลยทีเดียว เพราะตอนแรกเราไม่ชอบที่ตึกแรก มันมีกลิ่นอับๆ จึงขอไปดูที่ตึกสองด้านใน สรุปได้นอนห้องบนดาดฟ้า ภายในดูดี ห้องก็โอเค อยู่ได้ครับ แต่ภายนอกดูน่ากลัวๆ เพราะมีเพียง 2 ห้องของผม และห้องของ รปภ. (จริงๆ ก็คือผู้ชายที่พาเรามาดูห้องนั่นเอง) อยู่บนนั้น


โรงแรมที่พักของสถานีจิ่งหง ห้องประมาณ 2-3 ดาว ถือว่าใช้นอนพักสบายๆ ได้ (มีถุงยางแถมมาอีกต่างหาก)

จัดแจงเก็บของไว้ในห้องเสร็จ พวกเราจึงออกไปหามื้อเย็นกินกัน ก่อนไปพี่แอนขอให้ รปภ. พาไปซื้อ SIM มือถือ กว่าจะเข้าใจว่าอยากได้ SIM ใส่มือถือ เล่นเอางงอยู่พักใหญ่ๆ

รปภ. พาเดินไปที่ร้านโชว์ห่วยข้างโรงแรม

“#@QR%#@EW#R#@^#@^#$EFRR#KI)(F#…”
“S:AKDF#TI_@QKF#)IRF…”
“@%!)#%*#F#MFD@)(ID@!…”


กำลังหาซื้อ SIM มือถือ

ยืนคุยกันอยู่นานเลยหละครับ เพราะงงกับ SIM ของที่นั่นมาก พี่แอนแกรู้ภาษาจีนเยอะพอสมควรครับ เลยพอจับใจความได้ว่า มันมีทั้งโทรได้เฉพาะมณฑล โทรได้ทั่วประเทศ แบบนี้โทรออกนอกประเทศไม่ได้ แบบนี้โทรออกได้ แต่ใช้ได้เฉพาะมณฑลนี้ ถ้าข้ามไปอีกมณฑลจะต้องใช้อีกรหัสหนึ่ง บลาบลาบลา… อะไรก็ไม่รู้.. ส่วนผมยืนดูดโค๊ก มองหญิงจีนไปพลางๆ..

สรุปว่า พี่แอนซื้อมาได้ 1 SIM แต่ลองใส่แล้ว โทรกลับเมืองไทยไม่ได้ ใช้ได้แค่ที่จีนเท่านั้น

นาย รปภ. ชี้ให้เราไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามของโรงแรม เราเลยเดินข้ามฝั่งเจอร้านอาหารจีน 2-3 ร้าน และเจอร้านอารมณ์ส้มตำแบบไทยด้วย คนจีนนั่งเต็มเลย บนโต๊ะมีหม้อดิน มีปลาเผาเกลือมีผัดผัก มีอะไรก็ไม่รู้ ที่ภาพรวมดูแล้วคล้ายๆไทย พวกเราจึงเลือกที่ไปนั่งร้านอาหารจีนข้างๆ ดีกว่า อยากลองของใหม่

เราเลือกร้านที่มีรูปภาพแปะข้างฝา ซึ่งเจ๊ในร้านก็มาแพ่มภาษาจีนใส่เรา พร้อมส่งเมนูให้ 1 แผ่น ภาษาจีนล้วนๆ ไม่มีซับอิ๊ง T-T

เราหันกลับไปมองฝาผนังแกอีกครั้งเพื่อดูรูป สั่งต้มผักมา 1 ชาม แล้วก็จนมุมแบบเดิมเพราะรูปมีน้อย และบางรูปเราก็คิดว่าคงไม่ถูกปากเรา ต้องก้มหน้าก้มตากลับมามองเมนูที่ตัวเองอ่านไม่ออกอีกครั้ง

จู่ๆ พี่แอนพูดขึ้นมาว่า “เฉ่า ช่าย,เฉ่า ช่าย” (ผัดผัก)
เจ๊แกตอบ “S:AKDF#TI_@QKF#)IRF…”
พวกเราจึงทำหน้างงๆ


ความลำบากอีกอย่างหนึ่งนอกจากการเดินทาง คือ การสั่งอาหารครับ เมนูเป็นภาษาจีนหมด เจ้าของร้านก็พูดแต่จีน

เจ๊จึงตัดสินใจพาผมกับพี่แอนเดินเข้าไปในครัว ชี้ว่าพวกเมิงจะกินอะไร เราเลยชี้ไปที่ผักอะไรสักอย่าง คล้ายๆคะน้า แล้วเจ๊แกก็แนะนำมะเขือเทศให้เรา (มันดูไม่เกี่ยวกันเลยว่ะ)

ผมหยิบมือถือมาเปิด Dict ภาษาจีน แล้วบอกเจ๊ไปว่า “จูโร่ว, จีโร่ว” (หมู,ไก่) เจ๊แกก็พาไปที่ตู้แช่แข็งแล้วชี้ยืนยันว่าจะกินหมูกับไก่ใช่ไหม ผมตอบ “ตุ้ย ตุ้ย..” (ถูกๆ) เจ๊แกก็พยักหน้าเออ ออ แล้วก็ไม่ได้ถามอะไร ไอ้เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยเดินกลับโต๊ะ สรุปก็ไม่รู้เจ๊แกจะทำอะไรมาให้กิน

ผมนึกขึ้นได้ว่าจะให้ออกบิลให้ เพื่อเราจะได้รู้ราคาต่อจาน เดินไปทำไม้ทำมือว่าเขียนๆ แล้วพูดว่า “บิลลิ่งๆ” เจ๊แกก็พยักหน้า และบรรจงเขียนภาษาจีนพร้อมราคา ปิดท้ายด้วยผลรวมให้เสร็จสรรพ มื้อนั้น 6 คน 90หยวน

อาหารทะยอยเสริฟ มีผัดผัก 2 จาน , ผัดหมู 1 (อร่อยมาก เลยเบิ้ลอีกจาน), ผัดไก่ 1, ต้มไก่ 1 (ชามใหญ่อีกเช่นเดิม) และข้าวสวย (ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าข้าวเติมได้ไม่อั้น) ส่วนเครื่องดื่มเป็นชาจีนร้อน เติมไม่อั้นอีกเช่นกัน


จริงๆ สั่งมา 4 อย่าง แต่มีเบิ้ลผัดหมูอีก 1

มื้อนี้เป็นมื้อแรกของจีนและมื้อแรกที่เราสั่งเอง มาแบบอลังการมากๆ อิ่มมากๆด้วย รสชาติก็ใช้ได้ ไม่จืดและไม่มันมาก อาจจะเป็นเพราะใกล้ๆ ไทย รสชาติเลยยังไม่แตกต่างมาก (ผัดมะเขือเทศอร่อยมาก)

กินเสร็จ เดินกลับไปที่โรงแรมอีกครั้ง ผมแวะซื้อโค๊กดื่มอีกรอบ ซึ่งผมดื่มโค๊กแทบตลอดทริปเลยครับ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน เหมือนไม่ค่อยอยากดื่มน้ำเปล่าเท่าไร

พูดถึงเครื่องดื่มทั่วๆไปในจีน เป็ปซี่ที่จีนหาไม่ค่อยได้ จะมีก็เป็นโค๊กและน้ำดื่มในเครือของโค๊ก มีเครื่องดื่มไทยที่ไปทำตลาดด้วยนะครับ ซึ่งที่เห็นจะมีกาแฟเบอร์ดี้และกระทิงแดง (ทั้งคู่สกรีนกระป๋องมีภาษาไทยแบบที่ไทยเป๊ะ) คนจีนรู้จักดี เขายังชี้ที่กระทิงแดงและทักเราเลยว่า “ไท่กั๋วๆ” (ประเทศไทย) ส่วนน้ำเปล่าของจีนขวดเล็กราคา 1.5หยวน ชื่อยี่ห้อก็กวนตรีนใช่เล่น ชื่อ “วะฮ่าฮ่า” (Wahaha)

ขึ้นมาที่ห้อง เราจัดแจงนัดคุยกันอีกครั้ง เพื่อวางแผนใหม่ (อีกแล้ว) เนื่องจากเราตกรถวันนี้ ทำให้แผนเราเคลื่อนหมด ซึ่งถ้ายึดตามแผนเดิม พี่ป๊อปและเนสก็จะตกเครื่องบินที่เวียดนามแน่นอน (ทั้งคู่กลับไทยก่อนคนอื่น 1 วัน คือ วันเสาร์)

เมื่อทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปหมด พวกเราจึงต้องมาวางแผนเดินทางใหม่อีกครั้ง

การเดินทางต่างๆในทริปของเรามีข้อแม้เยอะครับ รวมไปถึงเวลาเดินทางที่เรากำหนดมาแบบเป๊ะๆ จนเกินไป และเวลาที่คาดเคลื่อน 1 ชั่วโมงระหว่างไทยกับจีนก็ทำให้เราชะล่าใจ จึงทำให้คืนนี้ดูเป็นคืนที่เหมือนจะวุ่นวาย แต่เชื่อไหมครับ เพราะคืนนี้เอง ที่ทำให้พวกผมได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ก่อนจะเจอความลำบากในคืนวันรุ่งขึ้น..

ที่ผ่านมา ยังเรียกว่าเฉียดๆจีน แต่ตอนหน้าพวกผมถึงจีนแบบเต็มๆ เรียกได้ว่า China 101 เลยทีเดียว ลองติดตามกันดูครับ

Published by iFew

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ชื่นชอบหลายเรื่องที่ไม่น่าจะไปกันได้ ทำงานไอที แต่ชอบท่องโลกกว้าง รักประวัติศาสตร์ แต่ก็สนใจเทคโนโลยี ชอบสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และไปป้ายยาคนอื่นต่อ

Join the Conversation

1 Comment

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Exit mobile version