เข้าสู่หน้าฝนทีไร หาที่เที่ยวย๊ากยาก มีแต่คนเข้ามาถามว่าจะไปไหนดี ทะเลก็มีมรสุม ป่าก็อันตราย จะเหลือตัวเลือกก็คือ ถ้ำ น้ำตก ล่องแก่ง แต่คนที่ถามผมมักจะเป็นสาวๆ (อะแฮ่ม) หรือไม่ก็ไม่ใช่ขาลุยเท่าไรนัก ดังนั้น คงเหลือช้อยเดียวคือ น้ำตก เพราะมีครบ 3ส เลยครับ สวย สะดวก สบาย และที่จะแนะนำในโพสนี้คือสุดยอดน้ำตกของไทย “น้ำตกทีลอซู”

0.มารู้จักกันคร่าวๆ

น้ำตกทีลอซู อยู่ในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร สูงประมาณ 300 เมตร ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดในประเทศไทย และถูกจัดอันดับให้สวยงามยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย (อ้างอิงจาก The Top 10 Best Asia Waterfalls)

แค่ได้ยินกิตติศัพท์ก็น่าไปแล้วใช่ไหมล่ะ!

เอาเป็นว่า มันสวยมากๆและคุ้มค่า เหมาะกับคนที่อยากเริ่มเที่ยวป่า ลิ้มรสการใช้ชีวิต Slow Life ได้ลุยเล็กๆ เข้าป่าหน่อยๆ ล่องเรือยาง และเซลฟี่เก๋ๆกับธรรมชาติงามๆ

(เลยเป็นที่มาของการตั้งชื่อโพสนี้ให้สาวๆโดยเฉพาะเลยก็แล้วกัน)

1.เริ่มต้นออกเดินทาง

เมื่อเราถึงอุ้มผางแล้ว (วิธีเดินทางไปอุ้มผาง ขอไว้ท้ายบทนะ) จะมีทางเลือก 2 ทางคือ ขับรถยาวเข้าไปน้ำตกเลย กับล่องเรือยาง (สมัยก่อนเป็นแพไม้ไผ่) ซึ่งขอแนะนำแกมบังคับเลยว่าให้ไปเรือยางครับ เพราะมีสถานที่ไฮไลท์ระหว่างทางหลายจุด โดยเราต้องติดต่อบริษัททัวร์เพื่อให้เขาพาเข้าไป โดย ณ ที่นี่เพื่อนผมจัดการซื้อทัวร์พร้อมที่พักชื่อว่า บุญล่ำทัวร์ บริการดีมากครับ อาหารโอเค ที่พักโอเค ไกด์นำทางก็เฮฮาปาจิงโกะจนบางทีต้องขอให้หยุดเพราะหัวเราะจนเหนื่อย

ตอนเช้าเรามาที่บริษัทบุญล่ำทัวร์ เพื่อกินข้าวเช้าแล้วคัดแยกของบางอย่างไว้ในห้องพักด้วย เราจะเอาเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ใส่ลงเรือแล้วล่องไปที่ทีลอซู (ทริปนี้ผมไปแบบ 3 วัน 2 คืน โดยจะไปใช้ชีวิตที่ทีลอซู 2 วัน 1 ครับ)

มื้อเช้าเป็นบุฟเฟ่ข้าวต้มและกับข้าวอีกสามสี่อย่าง กินพออิ่มนะ เพราะล่องเรือทั้งวัน จะเข้าห้องน้ำลำบาก

 ที่พักของบุญล่ำรีสอร์ท (ภาพจากเว็บไซต์บุญล่ำทัวร์)


ที่พักของบุญล่ำรีสอร์ท (ภาพจากเว็บไซต์บุญล่ำทัวร์)

หลังจากกินข้าวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพร้อมเปียก ไกด์จะให้ถุงเราห่อกระเป๋าที่เตรียมไป กันน้ำระหว่างล่องเรือ (บางช่วงน้ำแรง บางช่วงเจอน้ำตกกระเด็นใส่ และปกติเรือยางจะมีน้ำไหลเข้ามาที่พื้นตลอด)

เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางโล้ดดด

2. เส้นทางระหว่างไป

เส้นทางน้ำที่เราล่องไป จะไหลเอื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แม้จะนั่งกันตูดบาน แต่ที่แนะนำเพราะว่าสามารถนั่งกินลมชมวิว จกกินขนมก๊อปแก๊ป หยิบเบียร์มาจิบ ร้องเพลงเฮฮา นอนหลับ หรือใครธรรมะธรรมโมจะนั่งสมาธิก็ได้ ท่ามกลางอากาศแจ่มใส และมีต้นไม้สองข้างทางคอยบังแดดให้ตลอดเวลา

ว่ากันว่า เป็นเส้นทางล่องเรือที่สวยที่สุดในประเทศไทย

เมื่อเรือล่องมาจนถึง น้ำตกทีลอจ่อ เราจะเจอม่านน้ำตกอลังการพอสมควร ยิ่งถ้ามาหน้าน้ำเยอะๆ จะสวยมากครับ สามารถพายเรือลอดเข้าไปใต้น้ำตกได้

ล่องมาอีกหน่อยจะเจอ น้ำตกสายรุ้ง คือถ้ามีแดดส่องมากระทบจะเกิดรุ้งกินน้ำสีสดใส ซึ่งช่วงที่ผมไป แดดไม่มี เลยอดเห็นเลย ฮือๆ

หามาให้ดูเป็นตัวอย่างครับ ถ้ามีรุ้ง จะประมาณนี้ครับ (เป็นรูปจากเว็บตากล้อง  http://www.taklong.com/landscape/show-landscape.php?No=525555)

นั่งเรือนาน เบื่อๆ ก็ตะโกนแซวกันไปมาข้ามเรือ หรือใช้พายควักน้ำดีดใส่กัน ก็สนุกสนานแก้เบื่อได้เป็นอย่างดีครับ

สองข้างทาง เราจะเห็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผา เหมือนละอองฝนแบบนี้ได้ตลอดทาง เห็นไหมครับ มาทางเรือ คุ้มมากๆ ได้เห็น ได้เสพ กันเต็มอิ่มเลย

พอใกล้เที่ยง จะมีจุดพักเรือกลางทางเพื่อรับประทานน้ำ อาหาร และเข้าห้องน้ำ ณ ที่นี้เอง จะมีบ่อน้ำร้อนให้ลงไปแช่เล่นกันด้วยนะ

ชาวบ้านเอามาขายครับ เป็นไข่ต้ม และน้ำขิงร้อนๆใส่กระบอกไม้ไผ่.. เป็นไงล่ะ ฮิปเตอร์ สโลว์ไลฟ์ป่ะล่ะ

จุดแวะกลางทาง เป็นกระท่อมไม้ในป่าไผ่ มีทุ่งดอกไม้เก๋ๆให้ถ่ายรูปด้วยแหละแกร๊…

ตอนที่ผมไป อากาศไม่ร้อนและไม่หนาวมาก แต่พอเอาาจุ่มบ่อน้ำร้อนปุ๊บ รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

จากจุดพักกลางทาง ล่องเรือต่อเข้าไปอีก 1 ชั่วโมง ก็จะขึ้นฝั่งแล้วเดินทางต่อบนบก ซึ่งช่วงที่อุทยานปิด ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงวันที่ 31 ตุลาคม จะไม่อนุญาตให้นำยานพาหนะทุกชนิดเข้าไป เราจะต้องเดินเท้าระยะประมาณ 10กิโลเมตร  เป็นทางลุ่มๆดอนๆ ไม่ได้ชันมากนัก

แต่ถ้าไปตั้งแต่ 1 พย. จะมีรถรับส่งพาเข้าไป โดยช่วงผมไปคือสิงหาคม ที่จริงจะไม่มีรถ แต่ตอนนั้นมีนักเรียนไปทัศนะศึกษาพอดี เลยได้อานิสงส์ติดรถไปกับเขาด้วย สบายเลย

หรือลองโทรไปสอบถามที่ ททท.สำนักงานตาก ก่อนก็ได้ครับ เพื่อสอบถามการเดินทางเข้าไป รถรับส่ง จองที่พัก หาบริษัททัวร์ โทร. 055-514-341-3 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โทร. 055-577-318

3. ใกล้ถึงแล้ว

เมื่อเดินทางมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ที่นี่จะเป็นจุดกางเต็นท์นอน มีร้านค้าขายขนม เครื่องดื่ม มีศาลาขนาดใหญ่ไว้ทานข้าว มีห้องน้ำชาย-หญิง ค่อนข้างสบายระดับหนึ่ง แต่ยุงจะเยอะหน่อย พกยาทา ยาพ่นกันยุงไปด้วยนะ ที่นอนก็ควรมีมุ้ง และไม่ควรเปิดเต็นท์อ้าไว้ เดี๋ยวจะได้ตื่นมามีตุ่มเต็มตัว

ไปถึงปุ๊บ จัดแจงกางเต็นท์เสร็จ เราก็ไม่รีรอที่จะรีบเดินไปน้ำตกทันที  ซึ่งทางเข้าจะต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นทางดินนิดหน่อยช่วงแรก จากนั้นจะเป็นทางปูน เดินง่าย มีต้นไม้ร่มตลอดสองข้างทาง แต่บอกเลยว่าทางปูนบางจุดจะมีตะไคร่และไม่พยาบมาก มันจะลื่นพอสมควร เดินระวังกันด้วยครับ

ผมชอบที่นี่อย่างหนึ่งคือ สองข้างทางจะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จะมีป้ายอธิบายพร้อมรูปวาดสวยงามในทุกๆจุด เมื่อละสายตาจากป้าย ก็จะเจอของจริงใกล้ๆกันนั่นแหละ ทำให้เราไม่ต้องจินตนาการเอง (จริงๆแล้ว หลายอุทยานฯในประเทศไทยก็มีป้ายแบบนี้ แต่ว่าไม่ได้ทำเป็นป้ายเหล็กสวยๆและเขียนชัดเจนเท่านี้ บางที่ก็แทบไม่เหลือของจริงไว้ให้ดูประกอบเลย)

ผมถ่ายเก็บไว้หลายป้าย รู้สึกได้ความรู้ดีครับ
ถ่ายป้ายเสร็จก็ถ่ายของจริงมาประกอบ มันเข้าถึงดีครับๆ

4. นี่น่ะหรือ! น้ำตกทีลอซู!

หลังจากเดินเท้าผ่านป่ามาประมาณ 2 กิโลเมตร ภาพที่ปรากฎต่อหน้าผมก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมา นั่นคือ “น้ำตกทีลอซู”

ยิ่งใหญ่.. อลังการ.. น้ำกระจาย…

ต้องรีบเก็บกล้อง เก็บมือถือ เลยทีเดียว เพราะน้ำกระเด็นเหมือนฝน

ณ เวลานี้ รีบถ่ายรูปกันอย่างเดียวเลยครับ ไม่ต้องรออะไรแล้ว.. ส่วนพี่หมวกแดงคนนี้ พกนางแบบส่วนตัวมาด้วย

กว่าจะถ่ายกันเสร็จ ก็เย็นแล้ว หิวๆ เลยต้องรีบเดินกลับไปที่พัก ซึ่งไกด์เตรียมอาหารไว้รอเราแล้ว เป็นบุฟเฟ่สองสามอย่าง แต่ถ้าไม่อิ่มก็สั่งซื้อเพิ่มจากร้านสวัสดิการของอุทยานได้ครับ

5. ถึงวันต้องอำลา

หลังจากเราได้ไปสัมผัสกับน้ำตกที่ยิ่งใหญ่อย่างทีลอซู เราได้นอนพักค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน ตื่นเช้าก่อนกลับ ก็เดินไปอำลาน้ำตกอีกครั้ง พบว่าแสงตอนเช้าสวยใช้ได้เลยครับ ซึ่งถ้าไปแล้วมีโอกาส ก็แนะนำให้ไปทั้งเช้าทั้งเย็น จะได้คนละบรรยากาศเลย เพราะมีหมอกประปราย และถ้ามีแสงแดดส่อง อาจได้เห็นสายรุ้งด้วย


ชักภาพร่วมกับชาวคณะที่ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้หญิง มีทั้งขาลุยและไม่ลุย การันตีได้เลยครับว่าใครๆก็มาได้ครับ

ขากลับ เรากลับมายังจุดจอดเรือ วันนี้มีคนมาเที่ยวต่อจากพวกเราหลายคณะ ไกด์บอกว่ามีคนมาเที่ยวที่นี่เรื่อยๆตลอดทั้งปี

เส้นทางขากลับ คล้ายกับขามา แอบน่าเบื่อนิดหน่อยเพราะไม่มีน้ำตกให้ดูแล้ว แต่สองข้างทางยังมีอะไรสวยๆให้เราดูได้ตลอดทาง

ช่วงนี้ลำน้ำค่อนข้างกว้าง บางช่วงอาจโดนแดดบ้าง เตรียมครีมกันแดดและที่บังแดดไว้จะดีมากครับ

ธรรมชาติจัดสรรได้ลงตัว

เมื่อต้นไม้ต้องการน้ำ มันจึงหย่อนรากลงมาสูบน้ำ

ไม่มีอะไรทำ ก็เซลฟี่กันเองแล้วกันนะ

ความสวยงามของรากไม้ใหญ่

หลังจากล่องเรือเสร็จ ต้องนั่งรถกลับออกมาจากไร่ข้าวโพด เพื่อไปถนนใหญ่ วิวสวยมากครับ

ทางเข้าสู่ตัวอำเภอ ร่มลื่นและเขียวขจีมาก ว่าแต่ไม่รู้สาวสองคนนี้เล่นอะไรกันอยู่ ฮ่าๆๆ

6. ขึ้นดอยหัวหมด

มาถึงตัวอำเภออุ้มผาง แวะ 7-Eleven ซื้อขนมและเครื่องดื่ม ซื้อผลไม้จากชาวบ้านแถวนั้น เราก็กลับมานอนที่รีสอร์ทของบุญล่ำทัวร์ ทานมื้อเย็นกันอิ่มหนำสำราญ (บุฟเฟ่อีกแล้ว) และเพิ่งรู้ว่าที่นี่มีคาราโอเกะด้วย ก็ร้องเพลงอยู่ยาวกันจนเที่ยงคืนแล้วต้องรีบนอน เพราะวันรุ่งขึ้นเราจะตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ดอยหัวหมด” กัน

ดอยหัวหมด เข้าใจว่าหมายถึงยอดดอยที่ไม่มีต้นไม้ เพราะผมได้ยินชื่อนี้จากสองสามแห่งแล้ว และเป็นลักษณะภูเขาหัวโล้นทุกที่เลย

ดอยนี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอไม่ไกลมาก และการเดินขึ้นก็ไม่ชัน ไม่สูงมากครับ 20-30 นาทีก็ถึงยอดแล้ว สามารถเห็นได้รอบทิศทางแบบ 360องศา เลยทีเดียว เหมาะแก่การมาดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกอย่างมาก

ฝั่งนี้มองไปในหุบเขาตรงที่มีทะเลหมอก จะเป็นเมืองอุ้มผาง

ฝั่งนี้ด้านขวามือ ไกด์บอกเราว่าเป็นยอดเขามองโกจู

พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว แสงสีทองรำไรเชียว

ไกด์บอกว่า ฝั่งนี้เป็นหุบเขาที่เราล่องเรือกันมา เป็นที่ตั้งของน้ำตกทีลอซู

7. เที่ยวอุ้มผาง

ใครไปอุ้มผาง อยากได้ของฝากสวยๆ เป็นที่ระลึก และนั่งทอดกายใรบรรยากาศสบายๆ ต้องไปที่นี่เลยครับ “บ้านครูซัน” สินค้าส่วนใหญ่เป็นของทำมือจากชาวบ้านในอุ้มผาง มีทั้งเสื้อผ้า ผ้าพันคอ เครื่องจักสาน เข็มกลัด พวงกุญแจ หมวก ย่าม โปสการ์ด แผ่นเพลงเพื่อชีวิตของครูซัน

หน้าบ้านครูซันจะมีร้านกาแฟเล็กๆ ชิกๆๆ ให้สั่งดื่มกัน อร่อยดี ที่สำคัญสาวที่ทำกาแฟน่ารักมากจ้ะ

8. บทสรุป

เป็นน้ำตกที่สวย คุ้มค่าแก่การไปครั้งหนึ่งในชีวิต ความลำบากเดียวที่เจอในทริปนี้คือ น่องรถจากกรุงเทพฯ-อุ้มผาง โค้งเยอะมาก แต่หลังจากนั้น ชิลครับ ทั้งนั่งเรือยาง เดินเข้าน้ำตก กิน นอน ค่อนข้างสะดวก สบาย ผู้ชายไปได้ ผู้หญิงไปดี ไม่เคยเดินป่า ก็ไปเริ่มที่นี่ได้ มีให้ได้สัมผัสกันเบาๆแบบไม่อันตราย

ช่วงที่เหมาะที่สุดคือช่วงปลายฝนต้นหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ส่วนในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมก็สามารถไปเที่ยวได้เช่นกัน แถมมีข้อดีตรงที่สามารถใช้ทางรถยนต์เข้าน้ำตกได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เที่ยวได้สะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไปกลับ หรือพักค้างแรม

ส่วนการเดินทาง เราสามารถติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่จัดล่องแพในอำเภออุ้มผางได้ โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ททท.สำนักงานตาก โทร. 055-514-341-3 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โทร. 055-577-318

หรือจะติดต่อบุญล่ำทัวร์ที่ผมไปก็ได้ครับ ที่ บุญล่ำทัวร์ จัดโดยคุณบุญล่ำ ยอดเมือง โทร.055-561-021 มือถือ 081 -887-0653 อีเมล boonlumtour_@hotmail.com เว็บไซต์ http://www.boonlumtour.com/

หรือจะใช้บริการทัวร์กึ่งหารเฉลี่ย ที่จะจัดรถเดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมติดต่อทัวร์ให้เราครบหมด แบบที่ผมไปก็ได้ครับ โดยติดตามได้จาก Facebook Fanpage https://www.facebook.com/tripder

Published by iFew

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ชื่นชอบหลายเรื่องที่ไม่น่าจะไปกันได้ ทำงานไอที แต่ชอบท่องโลกกว้าง รักประวัติศาสตร์ แต่ก็สนใจเทคโนโลยี ชอบสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และไปป้ายยาคนอื่นต่อ

Join the Conversation

1 Comment

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Exit mobile version