ไม่แน่ใจว่าสมัครอะไรก่อนกันระหว่าง โคลัมเบีย50กม กับ โป่งแยง66กม รู้แต่ว่า ถ้าเฟล โคลัมเบีย โป่งแยง คงนอนอยู่บ้าน
แต่จนแล้วจนรอด ก็ถูๆไถๆโคลัมเบีย ไปจนจบด้วยเวลาก่อนคัทออฟเพียง 2 นาที
ถามว่ามั่นใจสำหรับโป่งแยงไหม ก็ยังไม่มั่นใจเท่าไร เพราะหลังจากประกาศเส้นทางออกมา มีคัทออฟแทบเกือบทุก 10กม และที่สำคัญคือ Elevetion Gain ร่วม 3,400 เมตร (ระยะทางขึ้นสะสม) อย่าว่าแต่วิ่งเลย ประสบการณ์เดินป่าผมยังไม่เคยเดินสะสมเยอะขนาดนี้มาก่อน เลยทำให้ความมั่นใจมีแค่ 50/50 เท่านั้น
การวางแผนวิ่งจึงเริ่มเกิดขึ้น..
(เขิลเลย พิมพ์อาหารกลางวันผิด แหะๆ)
รอบนี้ผมใช้ Performance ตัวเองจากงานโคลัมเบีย (วิ่งแย่ๆ เดินซะเยอะ เจ็บข้อเท้า และเละๆบนโคลนแทบตลอดทาง)
คิดว่าน่าจะเข้าประมาณ 3 ทุ่ม หรือใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 14 ชม กว่าๆ!!! (มั่นใจริงๆนะจ๊ะ พ่อคู๊ณ..)
คืนวันศุกร์ หลังจากรับ BIB และฟังบรีฟเสร็จ เริ่มจ้นจัดแจงของเพื่อไป bag-drop เป็นครั้งแรกที่ต้องไปทิ้งของไว้กลางทาง และต้องวิ่งนานตั้งแต่เช้ายันมืด เลยจัดแจงของไว้เต็มที่เลย
หลักๆแล้วของ Drop เป็นไฟคาดหัว อาหาร เสื้อกันลม เสื้อ/ถุงเท้า ไว้เปลี่ยน (ที่รู้มา โปรฯหน่อย เขาเปลียนรองเท้าใหม่เลย)
(เตรียมปล่อยตัวนักวิ่ง 100กม)
วันเสาร์ เริ่มต้นวิ่งจาก สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (แม่ริม)
ลงดิ่งๆ 2กม แล้วก็ขึ้นสุดๆ ไปทาง Botanic Resort ผ่านจุดเช็คพ้อย A1 และเข้าเช็คพ้อย A2 ซึ่งเป็น Cut-off แรก!! กว่าจะถึงจุดนี้ก็ ลุ้นเหมือนกัน เพราะเข้าก่อนเวลาแค่ 45 นาที (ช้ากว่าแผน 15 นาที) และก็ตัดสินใจกินข้าวเหนียวไก่ที่นี่เลย เป็นข้าวเช้า+กลางวัน ที่นี่เหมือนเป็นปีศาจ เพราะอยู่ฝั่งตรงข้ามม่อนจอง เลยมีวิวสวย ร้านกาแฟ อาหารพร้อม แต่อยู่นานไม่ได้ ต้องรีบออกมาซะก่อน แอบเสียดาย
(เริ่มเอะใจว่าทำไมพี่เก่งไม่มาสักที ไหนว่าจะบัดดี้วิ่งหนีคัทออฟด้วยกัน มารู้อีกทีตอนเข้าเส้นชัย พี่แกแซงผมไปตั้งแต่ ก่อน A1 แล้ว)
ทบเวลาที่เหลือกับเวลาที่ให้ ผมมีประมาณ 2 ชม กับ 9กม เพื่อไป Cut-off A3 วัดปงไคร้ ดูกราฟก็ขำๆ ราบๆ แล้วก็ลงเพียวๆ
(รูปนี้ขอพี่บอยมา อยู่ช่วงแรกที่กำลังไป A1)
(น่าจะเป็นช่วงกำลังขึ้นไปม่อนล่อง ดูวิว ไหว้อนุสาวรีย์)
ผมเริ่มเอะใจว่า ในกระดาษ ยึกยือเล็กๆ ไม่ถึง1มิล แต่เดินจริง ซัดไปหลายสิบเมตร จนผมเข้า Cut-off A3 เป็นที่เรียบร้อย ผมเพิ่งมาค้นพบตรงนี้ว่า กราฟมันหลอกตาเรามาก เมื่อดูจากเส้นทางจริง โถวว ถึงบางอ้อ นี่ฉันหลอกตัวเองมานานตั้งแต่ทำแผนสินะ!! (แม้ตอนวางแผนจะดูแผนที่ GPS แล้วก็ตาม) ผมเริ่มไม่เสียเวลากินดื่มในจุด Cut-off นาน เพราะเริ่มเห็นถึงความคาดเดาไม่ได้
(เจอยิ้มที่ A3 แต่เหมือนนางเริ่มถอดใจ บอก พี่ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตามไป)
ช่วงนี้ได้เพื่อนร่วมเดินทางด้วย แอน กอล์ฟ และอีก 4-5 คน ที่คุยกัน และผลัดกันแซง พอขึ้นเนินที ประหนึ่งมองตาก็รู้ใจ หลบข้างซ้าย พี่แซงไปก่อนเลยครับ..
เส้นทางไป A4 มีออกไปวิ่งบนถนนแม่ริม-สะเมิง เป็นท่อนที่ผมขี่มอเตอร์ไซต์เที่ยวกับเพื่อนเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นรู้สึกไกล๊ไกล.. แล้วตอนนีหนูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้คะลูกก..
A4 ก่อนเวลา cut-off 30 นาที รีบกิน/ดื่ม และไปต่อ เพราะ A5 จะเป็นจุดพีค มีของที่ไป drop-bag ไว้ พร้อมอาหารเย็น
ความรู้สึกของการไป A5 รู้สึกนานกว่าปกติ อาจด้วยความล้าและแสงแดด เดินไปคำนวณไป เวลาปริ่มเอามากๆ ถ้ารวมเวลากินข้าวเย็นด้วย จะทำให้การไป A6 ยากขึ้นไปอีก ตอนนั้นเจอทางลง ทางราบ ต้องวิ่งตลอด ห้ามหยุด
ไปถึง Cut-off A5 ก่อนเวลาแค่ 10 นาที รีบกินมาม่า จัดของใหม่เพื่อใช้ตอนกลางคืน ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อย แต่เหมือนจะไม่ดีเท่าไร เพราะทำให้หลังจากนั้นปวดข้อพับขาข้างซ้าย
A5 – A6 ระยะทางแค่ 5กม กับเวลา 1.20ชม (ออก A5 ช้าไป 10 นาที) ปริ่มๆอีกแล้ว จุดนี้ทางดี ขึ้นไม่ยาก แต่ช่วงขาลงจะชันมาก น้ำค้างลงพื้น ลื่น มืด และแซงกันลำบาก ตอนบรีฟ เขาบอกว่ารถเข้าไม่ได้ อย่าเป็นอะไร ถ้าเป็น จะเอาออกมายาก หลายคนเลยดร็อปตัวเองที่ A5 เพระาถ้าไปต่อก็ต้องพยายามดูแลตัวเองดีๆ ห้ามเจ็บ
เข้า A6 ก่อนเวลา cut-off ไป 5 นาที เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียด ของ A7 ที่กราฟขึ้นสะสมสูง และลงชัน ต้องคุยกับตัวเองและเพื่อนข้างๆ พยายามกันมาตั้ง 48กม แล้ว มันต้องไม่สูญเปล่า! เพราะ A7 มันคือจุดสุดท้ายที่ต้องไป ก่อนเข้าเส้นชัย
ช่วงแรกเป็นทางลง เราเริ่มด้วยการวิ่งอย่างเดียว ไม่รู้เอาแรงมาจากไหนกัน ช่วงขาขึ้น เดินต่อเนื่องแบบไม่หยุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะคุม HR เพื่อไม่ให้เหนื่อยเกินไป (ได้เทคนิคนี้ตอนเดินเนปาลกับป๋าคมรัฐ แอบลอกสไตล์แกมา ไปเรื่อยๆ ไม่เร็วจนเกินไป แต่ไม่หยุด)
A7 ยิ่งกว่า A5 เสียอีก รู้สึกขึ้นแล้วขึ้นอีก หยิบกราฟเทียบกับนาฬิกาดูตลอดเวลา เมื่อไรจะจบ มืดก็มืด วังเวงอีกต่างหาก เพื่อนร่วมทีมค่อยๆหายไปทีละคนสองคน เหลือแต่แอนกับกอล์ฟ
สุดท้ายเข้า A7 ก่อนเวลาแค่ 7 นาที เจอเพลง และนักวิ่ง 100กม นั่งจอแจกินข้าวกันที่นี่ หิว เห็นคนอื่นกินข้าวไข่เจียวก็อยากกิน แต่ก็กลัวไม่ทัน อัดกล้วยและโค๊ก แล้วออกมาเลย ตอนนั้นเป็นระยะที่วิ่งมากที่สุดในชีวิตแล้ว 57กม เหลือ Cut-off สุดท้ายคือเส้นชัยเท่านั้น 8กม กับเวลา 3 ชม ประเมินคร่าวๆ มีเวลาขึ้นเขา 1ชม ลงเขา 1ชม และขึ้นเขาเข้าเส้ยชัยอีก 1ชม
ได้เพื่อนร่วมทางใหม่อีก 2-3 คน บอกว่าเดินตามพี่จาก A6 แล้วดี ไม่เหนื่อย ทัน Cut-off ด้วย ฮ่าๆ
ในบรรดาช่วงขาลง คงเป็น A6 ไป A7 นี่แหละ ที่ลงจนน่ากลัว ไม่ใช่อะไร เพราะมืดมาก และเป็นถนน กลัวรถจะชนเอา เมื่อลงแล้วก็ต้องขึ้น อิตอนเริ่มวิ่ง 2 กิโล แรก ลงมาอย่างไร ก็ขึ้นอย่างนั้น เป็นความโหด และเอกลักษณ์ของงานโป่งแยงในปีนี้เลยทีเดียว จะแวะไปขี้แถวป้อมยาม ก็ประเมินแรงกายและเวลาของตัวเองไม่ถูก กลัวไม่ทัน Cut-off เพราะจำได้ว่ามันชัน ค่อยๆเดินกระมิดกระเมี้ยนไปเรื่อยๆ จนเริ่มได้ยินเสียงพิธีกร
เหลืออีกเพียง 10 เมตรที่จะต้องขึ้นบันได ไปเส้นชัย ก้าวแรกจำได้ว่าสะดุดเพราะยกเท้าไม่พ้นขั้น ดีที่ไม่หัวทิ่ม จะเสียภาพลักษณ์มาก
เข้าเส้นชัย ทุกคนเฮโลให้ เพราะมีคนรอดตายเพิ่มอีกหนึ่ง ก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
เดินตุปั๊ดตุเป๋ให้ประทับตรา Passport ดวงสุดท้าย
(ความเก๋ของตราปั๊มคือ เป็นสัญลักษณ์ของแต่ละจุด เท่มาก)
โครตดีใจ แต่หิวข้าวมากกว่า รีบไปหาน้ำและข้าวไข่เจียวกิน
บอกแม่ บอกเพื่อน ว่าจบ 66กม จนได้.. ให้พี่เก่งถ่ายรูปให้ แต่ดันลืมหยุดจับเวลานาฬิกา
ใช้เวลาทั้งหมด 16:39:56ชม (Official Time) เข้าอันดับที่ 170 พอดี (ผ่าน 189 คน จากทั้งหมด 220 คน)
(งานนี้เหรียบสวยนะครับ)
ก่อนมา ไม่ได้คาดหวังว่างานนี้จะมีอะไรไปมากกว่าแค่การวิ่งให้จบ แต่ตั้งแต่การรับ BIB การบรีฟ วันเริ่มแข่งขัน วันที่ตนเองเข้าเส้นชัย แม้แต่วันที่ผมต้องไปรอรับเพื่อนวิ่งจบ 100กม ผมรู้สึกว่างานนี้มีความเป็นกันเอง อบอุ่น และถูกจริต มันไม่ง่าย มันโหดกำลังดี มันท้าทายนักวิ่งทุกคนทุกระยะ
ครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่สอง ผมเชื่อว่าปีหน้าจะยิ่งใหญ่ และคนเยอะกว่านี้แน่นอน ใครสนใจสำหรับปี 2017 ติดตามข่าวที่ Facebook Fan Page และ http://www.pyt.run/ ได้ มีลุ้นตั้งแต่จองแน่นอน
ปล. สังเวยรองเท้าไปคู่นึง น้อง Altra Lone Peak 2.5 อยู่ด้วยกันมาไม่ถึงปี แต่ก็น่าจะร่วม 500กม ได้ ทุกอย่างโอเค แต่ผ้าปริ ซึ่ง Lone Peak 3.0 ได้แก้ไขตรงนี้แล้ว โดยหุ้มยาง แต่ก็ทำให้คับกว่ารุ่น 2.5 ไปด้วย
(ปรินิ้วก้อยสองข้างเลย เป็นผลจากช่งวเดินลงชันๆ นิ้วชน)
(อันนี้แบนราบตั้งแต่ Columbia 50 กม เพราะลงน้ำหนักเท้าที่โฟกราวมาก แม้จะใช้ถุงเท้าแยกนิ้ว แต่ร่องนิ้วและฝ่าเท้าก็ยังเป็นตุ่มน้ำ ตอนหลังเลยใช้พาสเตอร์เหนียวแปะฝ่าเท้าด้วยอีกชั้น)