Lifestyle

วันสุดท้ายที่ Ookbee Mall

By iFew

May 05, 2017

ได้เวลาออกผจญภัยอีกครั้ง หลังจากที่อยู่ Ookbee และ Ookbee Mall ได้สองปีกว่า

วันแรกที่เข้าไปสัมภาษณ์ มีคุณทอมมี่ (เคยเป็น CEO TARAD Rakuten) คุณเลล่า และผู้บริหารทางฝั่ง Ookbee พี่หมู พี่เตี๊ยะ พี่มิก พี่บี พี่ชาญ ฯลฯ เอ้ย ทำไมเข้าเยอะจัง มารู้อีกที อ่อ เขามาฟังพี่หนุ่มพรีเซ้นบริษัทสยามชำนาญกิจด้วย แหะๆ

ตั้งแต่ออกมาจาก TARAD Rakuten ในปี 2012 ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอคุณทอมมี่ จน 3 ปี ผ่านไป พี่หนุ่มชวนมาเจอกับคุณทอมมี่อีกครั้ง เพราะแกกำลังหา Lead Developer  ที่จะไปช่วยทำบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า Ookbee Mall (Thailand) Co.,Ltd.

Ookbee Mall เป็นบริษัท Startup ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทย คือ Ookbee และบริษัทญี่ปุ่น คือ Transcosmos เพื่อทำธุรกิจ E-Commerce ในประเทศไทย

ซึ่งจุดเด่นของการร่วมทุนกันทำ คือ Ookbee มีชื่อเสียงในไทยและมีฐานสมาชิกที่ใหญ่มาก ส่วน Transcosmos เอง ก็มี Partner กับบริษัท Supplier ที่ขายสินค้าทั้งไทยและญี่ปุ่นเยอะมากเช่นกัน

จริงๆเริ่มงาน 1 พฤศจิกายน 2557 แต่คุณทอมมี่บอกให้ไปเที่ยวด้วยกันก่อน กลายเป็นว่า 29 ตุลาคม 2557 คือวันแรกที่ผมเข้าไปทำงาน ผ่านกิจกรรม Ookbee Corporate Outing จ้าา เที่ยวมันตั้งแต่วันแรกเลย ไปแบบไม่รู้จักใคร ค่อยๆคุยทำความรู้จักไปทีละคนสองคน สนุกดีครับ รู้จักกันเร็วดี ได้เมาด้วยกันก่อนจะส่งอีเมลคุยงานกัน

การทำงานในช่วงแรก มีเพียงผมคนเดียวที่เป็นพนักงานของบริษัทนี้ ถ้าไม่นับ CEO และ AVP ชาวญี่ปุ่นสองคน .. หน้าที่ผมตอนนั้นก็คือ Research Technology ที่จะใช้ทำ E-Commerce Platform พร้อมกับคอยส่ง Daily Report ความคืบหน้าให้อยู่เรื่อยๆ และมี Weekly Meeting

จนผ่านไประยะหนึ่ง เริ่มมี Financial Manager (พี่โจ๊ก),  HR Manager (พี่แนน) และ IT Manager (พี่ศักดิ์) บริษัทจึงได้เริ่มลงรายละเอียดของกลยุทธ การตลาด รวมถึงระบบ จนออกมาเป็น www.ookbeemall.com แบบที่เปิดให้บริการกับทุกคนในเดือนตุลาคม 2558 (หรือไม่เคยใช้วะ ฮาาา)

ที่นี่เปรียบเสมือนโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผมได้ลองใช้ความรู้ ใช้ชีวิต เพื่อทดสอบอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการสร้าง การแก้ปัญหา ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับการขยายตัวของบริษัท

แต่ด้วยการแข่งขัน E-commerce ในประเทศไทยที่สูงมาก เปลี่ยนแปลงเร็ว รวมถึงมีผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามา ก็ถึงวันที่ผู้บริหารได้ตัดสินใจยกเลิกการให้บริการของ Ookbee Mall ลง ทุกคนในบริษัทก็อยู่ในสภาวะ “งงเด้” แต่ทุกคนก็พอเข้าใจได้ถึงสาเหตุของการตัดสินใจนี้

(Facebook: Natavudh Moo Pungchacharoenpong)

มีหลายคนเข้ามาคุยด้วย ถามไถ่ ปลอบใจ ซึ่งผมเองก็ได้แต่ขอบคุณและเล่าถึงเรื่องตนเองมากกว่า คงตอบอะไรเรื่อง Ookbee Mall มากไม่ได้ เพราะไม่รู้ข้อมูลการตัดสินใจของผู้บริหาร

แต่จะว่าไปก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดีที่เพิ่งได้เจอ ทั้งชีวิตเคยแต่ต้องสร้าง ทำให้คงอยู่ และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แต่คราวนี้ต้องค่อยๆเก็บข้อมูล ลดทอนระบบลง ลดค่าใช้จ่าย ไปจนถึงต้องทำลายสิ่งที่ทำมาเองกับมือ เพื่อปิดระบบอย่างสมบูรณ์

ถึงตรงนี้ เล่าเรื่องราวของบริษัทมามากแล้ว เลยอยากบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานที่ Ookbee Mall ไว้ เผื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง และเผื่อมีประโยชน์กับใครหลายๆคน

เรื่องระหว่างผมและทุกๆ คน

เป็นหัวข้อแรกที่ผมอยากเขียนถึง เผื่อพี่ๆน้องๆที่บริษัทจะเข้ามาอ่านเจอ ผมอยากจะขอบคุณพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่ร่วมทำงานกันมา ทั้งที่อยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย หรือแม้แต่ออกไปก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ได้มีประสบการณ์ มีเวลาดีๆ ร่วมกัน

และผมต้องขอโทษทุกๆคน หากผมทำให้ไม่พอใจ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากผมค่อนข้างขี้หงุดหงิด แข็งกระด้าง ก็พยายามที่จะปรับปรุงตัวอยู่เรื่อยๆนะ ระหว่างที่เป็นก็มักเลี่ยงด้วยการไม่คุยและเงียบๆ เพื่อเอาตัวเองออกจากสภาวะนั้น เลยอาจจะทำให้ใครหลายๆคนไม่ค่อยพอใจ รวมไปถึงการไม่ค่อยอธิบายอะไรมากนัก เลยทำให้ทุกคนมักไม่กล้าคุยกับผม และเลี่ยงที่จะไปคุยกับคนอื่นในทีม เช่น พี่ศักดิ์ พี่หมี น้องอัยส์ แล้วให้เขามาคุยกับผมอีกที .. ข้อนี้ผมคงต้องพยายามปรับอีกเยอะ

บางทีก็มีคนสงสัยนะว่าระหว่างการคุย และการเขียน ทำไมผมเขียนแล้วดูดีกว่าการคุย เพราะการเขียนผมได้คิดก่อน บางทีผมเขียนไปเพลินๆ มาอ่านอีกที ผมก็พบนิสัยไม่ดีของตัวเองที่ทำให้สิ่งที่จะสื่อสารมันผิดเพี้ยนไป ต้องคอยเขียนแล้วแก้อยู่เป็นประจำ ส่วนการคุยต่อหน้าผมก็จะผิดพลาดเยอะ ยกเว้นคุยแบบมีหัวข้อชัดเจนหรือคุยเรื่องที่ชอบหรือพรีเซ้นงาน อันนี้ไม่มีปัญหาอะไร

อีกเรื่องคือ ผมยึดถือกับความผิด และความถูก มากเกินไป จนลืมไปว่านี่คือมนุษย์ปุถุชน มีเกิดแก่เจ็บตาย มีร้ายมีดี ผมเพิ่งค้นพบจากคำสอนพุทธทาสเมื่อเร็วๆนี้เองว่า เราควรมองว่าโลกนี้ว่าทุกสิ่งมันเป็นของมันเช่นนี้เอง ทั้งเหตุการณ์และคนที่ทำให้เราพอใจและไม่พอใจ

และยิ่งการแสดงออกของผมที่ดูจะเถรตรงเกินไป ว่าพอใจและไม่พอใจอะไร โดยสิ่งที่ไม่พอใจ ผมก็ไม่แคร์สิ่งเหล่านั้นเลย ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไปอ่านเจอจากไหนสักแห่งว่าการแสดงว่าไม่พอใจแต่แสดงออกว่าพอใจ ไม่ใช่การ fake แต่เป็นการแสดงความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเรา เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น

การทำงานร่วมกัน

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีผลจากหลายปัจจัย ตั้งแต่วิธีการทำงานของแต่ละคน ความรอบคอบ รวมไปถึงความไม่ดีของผมในหัวข้อแรกด้วย แต่ก็พอจะสรุปเป็นบทเรียนของผม ได้ ดังนี้

Prestashop

ช่วงเริ่มทำงาน ต้องทำ Research ระบบที่จะมาทำเป็น E-Commerce Platform ผมได้รับ requirement มาระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าเขียนเองคนเดียว คงใช้เวลานานแน่ๆ เลยกลับไปดูพวก Open Source ซึ่งตอนแรกจะใช้ Magento แต่ด้วยระบบใหญ่มาก มีซับซ้อนทั้งทางฝั่งคนทำและผู้ใช้งาน เลยมองเบอร์สองคือ Prestashop ที่ดูจะเป็นมิตรกว่า

Amazon Web Service

Payment System

จริงๆ มีเรื่องราวที่ได้อะไรมากกว่านี้เยอะแยะ แต่เขียนไว้เท่าที่นึกออกเท่านี้ หลายเรื่องก็แตกเป็นบล็อกได้เป็นเรื่องๆ เลยทีเดียว

จู่ๆก็นึกถึงเรื่องราวหลายอย่างในชีวิต และก็นึกถึงเพลงพี่ตูน

ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำว่าครั้งนึงเคยก้าวไป แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยก็ยังต้องเดินต่อไป