ตอนอายุใกล้จะ 20 ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังโตที่ชื่อว่า “ชีวิตจริง”มือหนึ่งถือกุญแจ อีกมือหนึ่งเปิดแผนที่โลกหัวใจเต้นแรงเหมือนจะบอกว่า “โลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่ห้องเรียนเคยบอกไว้”ผมตื่นเต้นที่จะได้จบ… ไม่ใช่แค่จากมหาวิทยาลัย แต่จากความเป็นเด็กเหมือนได้สิทธิ์ขับชีวิตของตัวเองสักที
พอเข้าเลข 3 ต้นๆ ผมยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมเหมือนเข้าสวนสนุกโซนผู้ใหญ่ ที่มีเครื่องเล่นท้าทายมากขึ้นความรักก็ซับซ้อนขึ้น งานก็จริงจังขึ้น เงินก็สำคัญขึ้นชีวิตเหมือนหนังที่เริ่มเข้าสู่พาร์ต “พีค” – แต่ดันไม่รู้ว่าความพีคของเราคืออะไร
วันนี้ ตัวเลข 4 แวบขึ้นมานำหน้าอายุแต่กลับไม่ได้รู้สึกเหมือนก้าวเข้าสวนสนุกอีกต่อไปมันเหมือนยืนอยู่หน้าป่า ที่ต้องค่อยๆ เดินด้วยความระแวดระวังเหมือนเราเริ่มรู้แล้วว่า “ทางลัด” มักนำไปผิดที่และ “ความตื่นเต้น” บางทีมันก็แค่ชื่อเล่นของ “ความวุ่นวาย”
เมื่อเร็วๆนี้ ผมอวยพรเพื่อนคนหนึ่งที่เข้าเลข 4 ไปก่อนแล้ว (แชมป์)วันนั้นผมพิมพ์คอมเม้นอะไรจริงจังไปว่า“ยิ่งอยู่ในโลกนาน ยิ่งมีอะไรเข้ามาเยอะ แล้วมันก็คงเป็นหนึ่งในธรรมชาติคัดสรรค์มั้งที่จะทำให้เราเรียนรู้เองว่าอะไรจะหยิบมาไว้ในชีวิตบ้าง และเป็นประโยชน์ในการดำรงค์อยู่”
โพสต์นั้น ผมเขียนให้เพื่อนแต่กลับสะกิดใจผมเอง แบบเงียบๆ
ผมถามตัวเองหลายครั้งว่า “ชิตพงษ์… เดินมาถูกทางไหมวะ”“เอ็งตัดสินใจถูกหรือเปล่า”บางครั้งคำตอบก็มานั่งข้างๆบางครั้งมันก็เดินหนีไปเฉยๆ เหมือนไม่อยากยุ่งกับผม
สิบปีที่ผ่านมา มีทั้งสิ่งที่ได้ กับสิ่งที่ต้องแลกผมได้ทำงานหลากหลาย – บริษัทเล็ก บริษัทใหญ่ สตาร์ตอัพ โค้ช ฟรีแลนซ์เหมือนพายเรือหลายลำ แต่ไม่เคยรู้ว่าเรือไหนจะพาไปถึงฝั่งแต่ยังดี ที่เมื่อหันกลับไปมอง… ก็มาไกลจากฝั่งเดิมพอสมควรอย่างน้อย ก็ทำให้ใจเรานุ่มขึ้นกับผู้คนอาจเพราะเคยลอยคออยู่กลางแม่น้ำบ่อยๆขอเรียกสิ่งนั้นว่า empathy ก็แล้วกันดูเท่ดีเนอะ
ผมได้ไปเดินป่า วิ่งเทรล ปีนเขาแบบที่เพื่อนบางคนมองว่า “ไม่คุ้ม”เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แทนที่จะเอาไปทำอะไร “มีประโยชน์” ตามแบบตำราความสำเร็จแต่สิ่งที่ได้กลับมา คือสุขภาพกาย สุขภาพใจที่หาซื้อไม่ได้มิตรภาพที่เดินไปพร้อมเราได้จริงๆและภาพวิวที่กล้องมือถือไม่เคยถ่ายได้เหมือนตาเห็น
เคยได้รู้จักความรักที่ดีมากๆ แม้เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้มีชีวิตที่ดีที่สุดจากใครสักคน ยังทำให้ยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง(ซึ่งต้าวความรักตอนนี้คือ มิลินท์ ไปแล้ว ฮ่าๆ)
ทั้งหมดนี้ – ถ้าจะพูดให้เท่ๆ ก็คือ “บทเรียนชีวิต”แต่ถ้าพูดจริงๆ คือ “ของฝากจากอดีต”ที่วันหนึ่งข้างหน้า ผมอาจปัดฝุ่นหยิบขึ้นมาใช้อีก… เหมือนหนังสือเรียนเก่า ที่แม้ปกจะซีดแต่สูตรในนั้น… ยังใช้ได้เสมอ
ชีวิตย้อนกลับไปแก้อะไรไม่ได้เราทำได้แค่เดินตามเหตุ ตามปัจจัยตามเกมส์ที่เคยวางไว้ในกระดานของตัวเอง
ผมเคยไม่เชื่อว่าคนเรายิ่งแก่จะยิ่งปลงแต่โพสต์นี้ คงเป็นหลักฐานว่า…ผมเริ่มกลายเป็นแบบนั้นเข้าให้แล้ว
ใจหนึ่งยังอยากโลดแล่นอีกใจหนึ่งกลับอยากสงบเสงี่ยมเหมือนคนอยากออกวิ่ง แต่รองเท้าดันหลวมก็เลยยืนงงๆ อยู่ตรงทางแยกของ “ความกล้า” กับ “ความกลัว”
ที่เขียนโพสต์นี้เพราะผมอยากกลับมาอ่านอีกที ตอนอายุ 50 หรือ 60อยากรู้ว่า… ตอนนั้นผมจะยังรู้สึกตื่นเต้นกับช่วงวัย 30-40 อยู่อีกไหม
หรือบางที…
ชีวิตอาจซ่อนความตื่นเต้นใหม่ๆ ไว้ให้เราเสมอเหมือนของขวัญที่ห่อไว้หลายชั้นแค่ยังไม่ถึงวันเกิดนั้นเท่านั้นเอง
9 May 2025, 00:05เขียนโดย ชิตพงษ์ ในวัย 40ที่ห้องนอนในอารีย์ โดยมีแมวส้มที่น่ารักมากๆ อยู่ข้างๆ และกำลังเรียกร้องความสนใจ