Lifestyle

Longevity: กระแสยืดอายุ ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำจริง

By iFew

September 14, 2025

ช่วงนี้คำว่า Longevity ดังมากในวงการสุขภาพและเทคโนโลยีการแพทย์ ใครๆ ก็พูดถึง ไม่ว่าจะเป็น Youtuber สายสุขภาพ, สายพัฒนาตัวเอง, สายนักกีฬา หรือแม้แต่นักลงทุน, คนทำสตาร์ตอัพ แม้แต่เพื่อรอบข้างผมก็เห็นพูดถึงและแชร์กันหลายโพสต์ เกี่ยวกับการ Longevity

แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ มันมีความซับซ้อน ที่ต้องใช้ทุน และเวลา ผ่านการทำกิจกรรมและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจจะทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่ามันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ต้องไขว่คว้าจนภาพนี้สะท้อนชัดมากว่า Longevity วันนี้อาจเป็น privilege ของคนทีนอกจากมีวินัยแล้ว(ซึ่งเป็นเรื่องดีและทำเองได้) แต่ยังต้องมีเวลา และทุนทรัพย์ประมาณหนึ่งเลย

จาก “ดูแลสุขภาพ” สู่ “Longevity”

ลองมองย้อนกลับไปสัก 5-10 ปีก่อนการดูแลสุขภาพหมายถึง “อย่ากินมันเกินไป” หรือ “ออกกำลังกายอาทิตย์ละสามวัน”เป้าหมายคือเลี่ยงไม่ให้เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน

แต่ตอนนี้ กระแส Longevity มีเป้าหมายที่ไกลกว่านั้นมาก เช่น

ดูเหมือนว่า จาก “การเพื่ออยู่รอด” กลายเป็น “การเอาชนะกาลเวลา” ผ่านอุปกรณ์ วิถีชีวิต หรือกิจกรรม ที่เห็นได้บ่อยๆ ช่วงนี้ เช่น

ทั้งหมดนี้ดูจะเป็น mindset ใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับ Longevity ที่ผมสังเกตุเห็นได้ และคิดว่ามันเกี่ยวข้องกันด้วยนะ (เอาจริงๆ ผมก็ทำอยู่หลายข้อ เท่าที่ไม่ลำบากมาก)

ทำไมคนเราถึงอยากทำ Longevity?

  1. ความกลัวตายที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ มนุษย์กลัวตายเสมอ แต่เมื่อก่อนเรายอมรับมันเพราะทำอะไรไม่ได้วันนี้เมื่อมีวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า “อายุยืนได้ถ้าทำแบบนี้” คนก็ยิ่งอยากคว้ามาไว้กับตัว
  2. อยากต่อเวลาให้ความฝันฝันของหลายๆคน ที่อยากมีเวลาในชีวิตมากขึ้น เพื่อทำฝันไปได้เรื่อยๆ
  3. เทคโนโลยีและทุนผลักดันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บริษัทใหญ่ ๆ ตั้งห้องแล็บ anti-aging โดยตรง เช่น Altos Labs หรือ Calico Labs และพวกเงินทุนจาก VC สนับสนุนโครงการประเภท Longevity
  4. สถานะทางสังคมพูดตรง ๆ Longevity ก็กลายเป็น status symbol ไปแล้วเหมือนการขับรถหรูหรือไปฟิตเนสแพง ๆ … การถือซองอาหารเสริม NMN ก็กลายเป็นการบอกโลกว่า “ฉันดูแลตัวเองในแบบที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้”

Longevity = เรื่องของคนบนยอดพีระมิด?

ลองคิดเล่นๆ

ถ้าเปรียบกับ พีระมิด Maslow

แต่แนวคิดนี้ถูกหรือผิด?

ผมว่ามันก็ ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด

มีงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันว่า 80% ของ longevity มาจาก lifestyle พื้นฐานเช่น

สิ่งเหล่านี้ “ฟรี” หรือ “ต้นทุนต่ำ” เมื่อเทียบกับอาหารเสริมหลักพัน

ดังนั้น แม้คนทั่วไปอาจไม่ได้ใช้ NMN หรือทำ epigenetic test แต่ก็สามารถ “เพิ่มคุณภาพชีวิต” และ “ยืดอายุ” ได้ด้วยพฤติกรรมประจำวัน

ความย้อนแย้งของ Longevity

สิ่งที่น่าสนใจคือ Longevity กลายเป็นเป้าหมายที่ย้อนแย้ง

มันเลยทำให้ longevity ในวันนี้ยังเป็นเหมือน “ของหรูหรา” (Luxury) มากกว่า “ของจำเป็น” (Necessity)

บางทีก็ดูย้อนแย้งหนักกว่าตอนกระแส Work Life Balance เสียอีก นั่นคือแบ่งเวลา หรือกลายมาเป็นกระแส Work Life Harmony ที่ผสมผสานกันไปเลย, แต่ Longevity อันนี้ยากกว่า เพราะมิติมันมีมากกว่าแค่เรื่องจัดสรรเวลา.. (นึกภาพบอกให้คนหาเช้ากินค่ำนอน 4 ทุ่ม ตื่นตี 5 มาออกกำลังกาย กินอาหารที่มีไขมันดี ลดน้ำตาล ลดคาร์บเชิงเดี่ยว แช่น้ำแข็ง นอนอุณหภูมิ 23 ใต้ไฟแดงคลื่นความถี่ 650nm)..

Longevity ที่แท้จริงสำหรับผม

ผมว่า longevity ไม่ได้แปลว่า “อยู่ให้นานที่สุด”แต่คือ อยู่ให้นานพอ และดีพอ

ลองคิดภาพว่าเราอยู่ถึงร้อยปี แต่ 20 ปีสุดท้ายต้องนอนติดเตียง หายใจด้วยท่อ … มันคงไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากได้แต่ถ้าอยู่ถึง 80–90 ปี แล้วยังเดินทางไหว ยังวิ่งเล่นกับหลานได้ ยังเขียนบล็อกได้ ยังหัวเราะกับเพื่อนได้ … แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่า longevity จริง ๆ

และความจริงคือ ใคร ๆ ก็เริ่มได้ แม้ไม่ต้องอยู่บนยอดพีระมิดเพราะ longevity เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ

สรุป

สุดท้ายแล้ว Longevity สำหรับผมคือการ “ต่อรองกับเวลา”เราไม่รู้ว่าจะชนะหรือไม่ แต่เรารู้ว่าทุกวันเรามีสิทธิ์เลือกว่าจะใช้ชีวิตยังไง

Longevity อาจไม่ใช่เรื่องของคนรวยหรือจน แต่คือ การเลือกว่าทุกเช้าที่ตื่นมา เราอยากให้ร่างกายยังอยู่ข้างเราได้นานแค่ไหน อาจเป็นความหมายแท้จริงของ longevity ที่ไม่ได้อยู่ในแคปซูลยาหรือห้องแล็บ แต่ซ่อนอยู่ใน การใช้ชีวิตประจำวันธรรมดา ๆ ของเราเอง

เอาจริงๆ ผมไม่ได้ต่อต้านกระแสนะ หลายเรื่องผมก็ทำ และอยากให้ทุกคนทำด้วย แต่อยากให้ชวนกันวิจัยและเสนอวิธีการแบบที่เข้ากับสงคมไทยมากกว่า เพราะทุกวันนี้ถ้าถอดตำราฝรั่งมามันดูทำยากนะ อย่าง ไขมันดีก็จะพูดถึงแต่แซลมอน น้ำมันมะกอก อะโวคาโด้ ถั่วแมคคาเดเมีย ฯลฯ

คำถามคือ…เราอยากอยู่ให้นานที่สุด หรืออยากอยู่ให้น่าจดจำที่สุด?