ช่วงนี้คำว่า Longevity ดังมากในวงการสุขภาพและเทคโนโลยีการแพทย์ ใครๆ ก็พูดถึง ไม่ว่าจะเป็น Youtuber สายสุขภาพ, สายพัฒนาตัวเอง, สายนักกีฬา หรือแม้แต่นักลงทุน, คนทำสตาร์ตอัพ แม้แต่เพื่อรอบข้างผมก็เห็นพูดถึงและแชร์กันหลายโพสต์ เกี่ยวกับการ Longevity
แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ มันมีความซับซ้อน ที่ต้องใช้ทุน และเวลา ผ่านการทำกิจกรรมและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจจะทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่ามันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ต้องไขว่คว้าจนภาพนี้สะท้อนชัดมากว่า Longevity วันนี้อาจเป็น privilege ของคนทีนอกจากมีวินัยแล้ว(ซึ่งเป็นเรื่องดีและทำเองได้) แต่ยังต้องมีเวลา และทุนทรัพย์ประมาณหนึ่งเลย
จาก “ดูแลสุขภาพ” สู่ “Longevity”
ลองมองย้อนกลับไปสัก 5-10 ปีก่อนการดูแลสุขภาพหมายถึง “อย่ากินมันเกินไป” หรือ “ออกกำลังกายอาทิตย์ละสามวัน”เป้าหมายคือเลี่ยงไม่ให้เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน
แต่ตอนนี้ กระแส Longevity มีเป้าหมายที่ไกลกว่านั้นมาก เช่น
- ไม่ใช่แค่ “ทำอย่างไรให้ไม่ป่วย” แต่คือ “ทำอย่างไรให้แก่ช้าที่สุด”
- ไม่ใช่แค่ “ทำอย่างไรให้อยู่ถึงอายุ 70” แต่คือ “เมื่อฉันอายุ 60 แต่ยังแข็งเรงเหมือน 40 หน้าใสเหมือนวัยรุ่น”
ดูเหมือนว่า จาก “การเพื่ออยู่รอด” กลายเป็น “การเอาชนะกาลเวลา” ผ่านอุปกรณ์ วิถีชีวิต หรือกิจกรรม ที่เห็นได้บ่อยๆ ช่วงนี้ เช่น
- ลดการอักเสบร่างกายด้วยการคุมระดับอินซูลิน
- กิน IF (Intermittent Fasting), กินคีโต, กิน KCD
- แช่ย้ำแข็ง
- ติดเครื่องตรวจ CGM (Continuous Glucose Monitor) หรือ CKM (Continuous Ketone Monitor)
- นอน 4 ทุ่ม ตื่นตี5
- นอนอุณหภูมิ 23 ใต้แสงสีแดงคลื่นความถี่ 650nm
- กินอาหารเสริมชะลอวัย เช่น NMN
ทั้งหมดนี้ดูจะเป็น mindset ใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับ Longevity ที่ผมสังเกตุเห็นได้ และคิดว่ามันเกี่ยวข้องกันด้วยนะ (เอาจริงๆ ผมก็ทำอยู่หลายข้อ เท่าที่ไม่ลำบากมาก)
ทำไมคนเราถึงอยากทำ Longevity?
- ความกลัวตายที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ มนุษย์กลัวตายเสมอ แต่เมื่อก่อนเรายอมรับมันเพราะทำอะไรไม่ได้วันนี้เมื่อมีวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า “อายุยืนได้ถ้าทำแบบนี้” คนก็ยิ่งอยากคว้ามาไว้กับตัว
- อยากต่อเวลาให้ความฝันฝันของหลายๆคน ที่อยากมีเวลาในชีวิตมากขึ้น เพื่อทำฝันไปได้เรื่อยๆ
- เทคโนโลยีและทุนผลักดันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บริษัทใหญ่ ๆ ตั้งห้องแล็บ anti-aging โดยตรง เช่น Altos Labs หรือ Calico Labs และพวกเงินทุนจาก VC สนับสนุนโครงการประเภท Longevity
- สถานะทางสังคมพูดตรง ๆ Longevity ก็กลายเป็น status symbol ไปแล้วเหมือนการขับรถหรูหรือไปฟิตเนสแพง ๆ … การถือซองอาหารเสริม NMN ก็กลายเป็นการบอกโลกว่า “ฉันดูแลตัวเองในแบบที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้”
Longevity = เรื่องของคนบนยอดพีระมิด?
ลองคิดเล่นๆ
- ตรวจเลือดหาค่า biomarker ละเอียด ๆ ราคาหลักหมื่น
- อาหารเสริม NMN, NR, Resveratrol ขวดละเป็นพัน
- โปรแกรม biohacking ต้องมีเครื่องมือวัด HRV, continuous glucose monitor (CGM)
- เวลานอนตรงเวลา ต้องมี “เวลา” ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องงานกลางคืน หรือทำงานสองกะ
ถ้าเปรียบกับ พีระมิด Maslow
- คนชั้นล่างยังติดอยู่กับ “ปัจจัยสี่” ปากท้อง หนี้สิน รายได้
- คนชั้นกลางเริ่มพอมีเวลาออกกำลัง กินคลีนบ้าง
- คนชั้นบนที่มีเวลา เงิน และสังคมเอื้อ จึงเข้าสู่ longevity ได้จริงจัง
แต่แนวคิดนี้ถูกหรือผิด?
ผมว่ามันก็ ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด
- ไม่ผิด เพราะปัจจัยฐานะ เวลา และรายได้ ส่งผลต่อการเข้าถึง longevity จริง ๆ
- ไม่ถูกทั้งหมด เพราะ longevity ไม่ได้ขึ้นอยู่กับของแพงเสมอไป
มีงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันว่า 80% ของ longevity มาจาก lifestyle พื้นฐานเช่น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- นอนเพียงพอ
- ไม่สูบบุหรี่
- ควบคุมอาหาร
สิ่งเหล่านี้ “ฟรี” หรือ “ต้นทุนต่ำ” เมื่อเทียบกับอาหารเสริมหลักพัน
ดังนั้น แม้คนทั่วไปอาจไม่ได้ใช้ NMN หรือทำ epigenetic test แต่ก็สามารถ “เพิ่มคุณภาพชีวิต” และ “ยืดอายุ” ได้ด้วยพฤติกรรมประจำวัน
ความย้อนแย้งของ Longevity
สิ่งที่น่าสนใจคือ Longevity กลายเป็นเป้าหมายที่ย้อนแย้ง
- คนที่ “ต้องการ longevity ที่สุด” คือคนที่สุขภาพย่ำแย่ มีโรค มีอายุสั้น … แต่พวกเขามักเข้าถึงยากที่สุด
- คนที่ “เข้าถึง longevity ได้” คือคนที่รวย แข็งแรง มีเวลา … ซึ่งจริง ๆ เขาก็อาจมีโอกาสอายุยืนอยู่แล้ว
มันเลยทำให้ longevity ในวันนี้ยังเป็นเหมือน “ของหรูหรา” (Luxury) มากกว่า “ของจำเป็น” (Necessity)
บางทีก็ดูย้อนแย้งหนักกว่าตอนกระแส Work Life Balance เสียอีก นั่นคือแบ่งเวลา หรือกลายมาเป็นกระแส Work Life Harmony ที่ผสมผสานกันไปเลย, แต่ Longevity อันนี้ยากกว่า เพราะมิติมันมีมากกว่าแค่เรื่องจัดสรรเวลา.. (นึกภาพบอกให้คนหาเช้ากินค่ำนอน 4 ทุ่ม ตื่นตี 5 มาออกกำลังกาย กินอาหารที่มีไขมันดี ลดน้ำตาล ลดคาร์บเชิงเดี่ยว แช่น้ำแข็ง นอนอุณหภูมิ 23 ใต้ไฟแดงคลื่นความถี่ 650nm)..
Longevity ที่แท้จริงสำหรับผม
ผมว่า longevity ไม่ได้แปลว่า “อยู่ให้นานที่สุด”แต่คือ อยู่ให้นานพอ และดีพอ
ลองคิดภาพว่าเราอยู่ถึงร้อยปี แต่ 20 ปีสุดท้ายต้องนอนติดเตียง หายใจด้วยท่อ … มันคงไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากได้แต่ถ้าอยู่ถึง 80–90 ปี แล้วยังเดินทางไหว ยังวิ่งเล่นกับหลานได้ ยังเขียนบล็อกได้ ยังหัวเราะกับเพื่อนได้ … แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่า longevity จริง ๆ
และความจริงคือ ใคร ๆ ก็เริ่มได้ แม้ไม่ต้องอยู่บนยอดพีระมิดเพราะ longevity เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ
- เข้านอนตรงเวลา
- เดินวันละ 8,000–10,000 ก้าว
- กินน้อยลงนิดหน่อย แต่เลือกของที่ดีกว่า
- มีความสัมพันธ์ที่ดี เพราะ social connection ก็พิสูจน์แล้วว่ายืดอายุได้
สรุป
สุดท้ายแล้ว Longevity สำหรับผมคือการ “ต่อรองกับเวลา”เราไม่รู้ว่าจะชนะหรือไม่ แต่เรารู้ว่าทุกวันเรามีสิทธิ์เลือกว่าจะใช้ชีวิตยังไง
Longevity อาจไม่ใช่เรื่องของคนรวยหรือจน แต่คือ การเลือกว่าทุกเช้าที่ตื่นมา เราอยากให้ร่างกายยังอยู่ข้างเราได้นานแค่ไหน อาจเป็นความหมายแท้จริงของ longevity ที่ไม่ได้อยู่ในแคปซูลยาหรือห้องแล็บ แต่ซ่อนอยู่ใน การใช้ชีวิตประจำวันธรรมดา ๆ ของเราเอง
เอาจริงๆ ผมไม่ได้ต่อต้านกระแสนะ หลายเรื่องผมก็ทำ และอยากให้ทุกคนทำด้วย แต่อยากให้ชวนกันวิจัยและเสนอวิธีการแบบที่เข้ากับสงคมไทยมากกว่า เพราะทุกวันนี้ถ้าถอดตำราฝรั่งมามันดูทำยากนะ อย่าง ไขมันดีก็จะพูดถึงแต่แซลมอน น้ำมันมะกอก อะโวคาโด้ ถั่วแมคคาเดเมีย ฯลฯ
คำถามคือ…เราอยากอยู่ให้นานที่สุด หรืออยากอยู่ให้น่าจดจำที่สุด?