แรงงานต่างชาติ

1535388_10154202514035644_6323895478240818462_n

ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้งานแรงงานต่างชาติเท่าไร โดยเฉพาะชาวพม่า จนเมื่อเร็วๆนี้ ได้เจอและได้คุยกันบ่อย ตอนที่เขาต้องมาทำห้องที่คอนโด

สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างชื่นชมเขาคือ ถ้าหัวหน้าสั่งอะไรไปแล้วเขาทำไม่ได้ เขาก็จะบอกหัวหน้าตรงๆ ต่อหน้าผมเลยว่าทำไม่ได้ เพราะอะไร ติดปัญหาอะไร ไม่มียึกยัก หมกเม็ด หรือโยนงานให้เพื่อนคนอื่นต้องทำ. แล้วเป็นกับทุกคนด้วยนะครับ (หรือเป็นเฉพาะทีมในคอนโดนี้ก็ไม่ทราบ)

แต่ถ้าอะไรเขาทำได้ เขาก็จะก้มหน้าก้มตาขยันทำงานจนเสร็จ

ผมซ่อมพื้นห้องอยู่สามสี่ครั้ง สังเกตเห็นว่าแรงงานเหล่านี้มีพัฒนาการจากครั้งแรกพอตัวเลย ถ้าเทียบจากปัญหาเดียวกัน ความแรงเท่ากัน ทุกหัวข้อดีขึ้นหมด ทั้งเวลาในการซ่อม ความประณีต และวิธีการแก้ไข

ตัวอย่างเช่น ปัญหาพื้นลามิเนตเคลื่อนตัวห่างกัน ปัญหานี้ซ่อมไปครั้งหนึ่งซึ่งครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้ทำอะไรใหม่นอกจากการตอกกลับให้แน่นเข้าที่ แต่แล้วเวลาผ่านไป มันก็เคลื่อนตัวอีก ผมเลยคิดว่าควรอุดซีลีโคนระหว่างช่องว่างของบัวและพื้น, ปรากฏว่า ผมยังไม่ทันบอกความต้องการ เขาก็เสนอขึ้นมาเองตามวิธีที่ผมจะให้เขาทำ พร้อมบอกเหตุผลเลยว่า ยืดหยุ่นได้ ถ้าพื้นหดในหน้าหนาวหรือบวมออกในหน้าฝน, ตั้งแต่นั้นมา พื้นผมก็ไม่มีปัญหาการเคลื่อนตัวอีกเลย

มันชวนให้ผมคิดถึงร้านลือชาฟู้ดคอร์ท ในซอยลือชา (ซ.พหลฯ 1) หรือแม้แต่ร้านเสต็ก Eat Am Are Steak at Fashion Mall ที่มีแรงงานชาวต่างชาติ ถ้าไปก็ลองสังเกตดีๆ ครับ ว่าพนักงานที่นั่นขยันมาก เรื่องแย่งกันรับลูกค้า อาจพอเข้าใจได้ว่าเขาคงได้คอมมิชชั่น แต่การแย่งเทคแคร์ลูกค้า อันนี้ผมก็ไม่ทราบแรงจูงใจ หรือแรงบรรดาลใจอะไร ทำให้เขาเป็นแบบนั้น

ชื่นชมครับๆ แต่ก็แอบน่ากลัวครับ เพราะแรงงานต่างชาติวันนี้โดยเฉพาะพม่า เขาเหมือนคนจีนยุคก่อนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบ แล้วทำงานทุกอย่างที่คนไทยไม่ทำ

เขาได้เงินรายวันรายเดือนกันเท่าไรผมก็ไม่ทราบ รู้แค่คนในรูปส่งเงินกลับบ้านจนสร้างบ้านให้ครอบครัวอยู่ได้หละครับ

ปล1. เสริมย่อหน้าสุดท้าย พม่านิยมจ่ายอะไรด้วยเงินสดนะครับ ระบบบัตรเครดิตหรือกู้หนี้ยืมสินผา่นธุรกรรมทางธนาคารไม่ได้เจริญและแพร่หลายแบบเรา

 


บ้านดินแดง – 25 May 2014 23:51

อย่าเกลียดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ

ในความเป็นไปของโลกใบนี้มันช่างวกวน
ผมนั่งฟังใครๆหลายคนพูดเรื่องต่างๆนานา
หลายคนพูดถึงตัวเอง และหลายคนก็พูดถึงคนอื่น
ถ้อยคำที่ถูกเปร่งออกมาท่ามกลางเสียงสาดของสายฝน
ผมแทบฟังไม่ได้ยิน ว่าสิ่งที่ผ่านอากาศมานั้นเขาจะสื่ออะไร
แต่การที่ฟังไม่ได้ยิน ยังไม่น่าอารมณ์เสียเท่าคำที่ถูกแต่งเติมโดยผู้พูด
บ่อยครั้ง ผมจะทำตัวนิ่งๆ เหมือนไม่สนใจและพยายามฟังให้แน่ใจว่าได้ยินเช่นนั้นจริงๆ
แต่ทำไมบุคคลที่ฟังพร้อมกันกับผม ถึงเล่าให้คนอื่นฟังไม่เหมือนที่ผมเข้าใจ
ผมอาจจะผิด ถ้าผมเข้าใจผิดไปเอง
แต่ผมไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งจะผิดไหม
ว่าสิ่งที่เขาเข้าใจและสื่อสารต่อ จะทำให้คนอื่นลำบากและเกิดความแตกแยก
ผมสังเกตุว่าคนหนึ่งรู้สึกดีกับคนหนึ่ง
จะตีความคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่ดีและเป็นเรื่องปกติที่คุยกันได้
แต่ถ้าคนหนึ่งอคติกับใครคนหนึ่ง
ผมพบว่าเขาจะตีความคำพูดคนนั้นผิดเสมอ และคิดแง่ร้ายกับตัวเขาเสมอ
ที่สุดแล้วไม่ว่า คนพูดจะพูดเรื่องดีหรือเลวแค่ไหน
มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนฟังแค่นั้นเองหรือ?
มันเป็นความน่าเวทนาของคนฟังที่เขามองโลกในแง่ร้ายแบบนั้น
(ทุกคนอาจจะรู้ว่าคนมองโลกในแง่ร้าย เขามีความน่าสงสารขนาดไหน และน่ารำคาญขนาดไหน ใช่ไหมครับ?)
สิ่งที่เขาฟังจากคนที่เขาอคติ มีแต่ถ้อยคำที่รู้สึกว่าเป็นเขา และมีเขาอยู่ในนั้นเสมอ
นัยหนึ่งผมชื่นชมที่เขาเป็นคนคิดเยอะ คิดหลากหลาย
แต่นัยหนึ่งผมก็สงสารคนที่เป็นเช่นนั้น
พวกเขาเหล่านั้น เมื่อฟังคำพูดจากคนที่เขาอคติ
เขาคงต้องคิดๆๆๆ คิดเยอะๆ และแปลความให้เข้ากับตัวเขาในแง่ร้ายให้ได้
และการตอบกลับ พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องคิดๆๆๆๆ คิดเยอะๆ
เพื่อรจนาคำพูดจากปกติให้เป็นคำเสียดสีทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามให้สาสม
หากเปรียบเปรยพวกเขาเป็นหนุ่มสาวยามมีความรัก
ต่างฝ่ายต่างพยายามโกหกตัวเองและฝ่ายตรงข้าม
เพื่อให้รู้สึกว่ามีความคิดและคำพูดเข้ากับอีกคนหนึ่งให้ได้
ทั้งๆที่ตัวตนเขาอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย…
แต่วังวนของเรื่องอคตินี้ ต่างกับความรักตรงที่ ต่างคนต่างพากันลงเหว
คิดอคติไปต่างๆนานา ยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้น
แต่ความรัก คือที่ต่างฝ่ายต่างคิดดีต่อกัน เกื้อกูนกัน ยิ่งนานวันยิ่งผูกพัน สามามัคคีกันมากขึ้น
ผมอยากบอกเขาเหล่านั้นว่าการพูดและการฟัง
โดยไม่ต้องเอาความอคติกับบุคคลอีกฝ่ายมาเติมสีสัน
ดูมันจะเป็นความสบายใจและง่ายกว่ากันเยอะ
การรับฟังและไม่เข้าใจก็ว่าแย่ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของการรับรู้ที่ยากง่ายของคน
ส่วนการฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วเอาไปตีความต่อแบบผิดๆ คิดไปเอง
และเป็นความมั่นอกมั่นใจในตัวเองแบบผิดๆ เพราะมีอคติ อันนี้ยิ่งแย่กว่า
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะคิดไปเองหรือไม่ได้คิดไปเอง
แต่ถ้าไปสื่อสารต่อให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก หรือตั้งใจเล่าให้คนอื่นเข้าใจตามที่ตนเองอยากให้เข้าใจ
อันนี้ “เลว”
สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
การฟังโดยยังไม่ทันจะเข้าใจ แต่มีความอคติต่อผู้พูด แล้วตีความอคติไปเองเสียหมด
“เหมือนการเกลียดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ”
จึงอยากให้ลองถามตัวเองต่อว่า “แล้วเราเกลียดอะไร? ในเมื่อเรายังไม่เข้าใจมันเลย”
———
เพิ่มเติม
1. การชักจูงให้คนอื่นเชื่อตามเรา เอาไปใช้ประโยชน์ทางอื่นเถิด อย่าเอามาทำเพื่อสร้างความแตกแยกเเป็นการส่วนตัวเลย
2. การรู้และการนำกิเลสของคนอื่นไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความแตกแยก อย่าไปทำเลย มันบาป และจากประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าคุณไม่แข็งจริง คุณเองก็จะตกไปในวังวนกิเลสเดียวกันพร้อมกับเขา
3. เสียอะไรเสียไป รักษาใจตนเองให้ดี
4. อย่าเกลียดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ – don’t hate what you don’t understand เป็นประโยคที่ John Lennon ได้กล่าวไว้

 

Don't hate what you don't understand

วันที่ผมคิดจะเข้าป่า

ในชีวิตคนๆหนึ่ง หนีไม่พ้นการแสวงหาความสุข สบาย และสงบ ต่างคนต่างมีวิธีเป็นของตนเอง บ้างเลือกที่จะเดินช้อปปิ้ง ไปต่างประเทศ หาของกิน เที่ยวทะเล เข้าป่า หรือแม้แต่กระทั่งนอนอยู่ห้องเงียบๆคนเดียว

ชวาหระลาล เนห์รู นายกคนแรกของอินเดียเคยกล่าวไว้ว่า “เราอยู่ในโลกอันน่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความงดงาม เสน่ห์ และการผจญภัยมากมาย, ไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับการผจญภัยที่เราสัมผัสมันได้  ถ้าเพียงเราเปิดดวงตาค้นหาความงดงามเหล่านั้น”

 

ใกล้หนึ่งปีพอดี (25 พค) ที่ผมได้ค้นพบอะไรบางอย่างในชีวิต ที่ไม่มีใครคาดเดาว่าผมจะทำ แม้แต่ตัวผมเอง นั่นคือการ เข้าป่า และไต่เขา หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Hiking

สองสิ่งที่ผมเล่าให้คนรอบข้างฟังแล้วฉงน คือ เปลี่ยนจากเที่ยวปกติไปเข้าป่า และผมไปกับคนไม่รู้จัก ไว้ผมเขียนถึงสาเหตุในเรื่องหน้าก็แล้วกัน

มนุษย์เมืองแบบเรา ต่างถูกสวมหมวกให้เป็นไปตามหน้าที่ในครอบครัว หน้าที่การงาน สายตาของคนรอบข้าง เราถูกตัดสินจากความรู้และไม่รู้ของคนเหล่านั้นว่าเราเป็นเช่นไร บ้างก็เปลี่ยนตนเองไปตามหมวกที่คนอื่นหยิบยื่นใส่ บ้างก็ทนรับความผิดๆถูกๆเก็บไว้กับตนเอง  แต่ไม่ว่าจากเหตุใด ผลที่กระทบจิตใจเรายิ่งกว่า เพราะเราเองนอกจากไม่ละเลยสิ่งเหล่านั้น แต่จะแต่งเติมให้มันมากขึ้น จนปลีกความคิดตัวเองจากสังคมโดยไม่รู้ตัว

อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่อ้างว้างเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ความรู้สึกแบบนี้้ถ้าได้เกิดกับใคร มันสุดแสนจะเหงาเลยครับ ยากที่จะหาคนมาเข้าใจ เพราะมันเกิดขึ้นจากตนเอง และเป็นเองตามความรู้สึกที่ไร้เหตุผล

 

การเลือกเส้นทางที่ปราศจากผู้คนมากมาย คงมีสองทาง ถ้าไม่ไปยาก ก็ต้องไปในที่ที่ไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าเลือกไปอย่างหลัง คงเป็นที่สำหรับคนอาการหนัก ปลีกวิเวก และไม่ต้องการความสนุกหรรษาแต่อย่างใด เพื่อรอวาระสุดท้ายในชีวิต

การเข้าป่าไต่เขา ดูเป็นทางเลือกที่ดีในความคิดผม ภาพถ่ายจากผู้ชำนาญล้วนเผยให้เห็นสวรรค์บนดิน แสงอาทิตย์กับน้ำค้างบนยอดหญ้า ทะเลหมอกราวขนมปุยฝ้าย และอากาศที่ไม่ว่าฤดูกาลใด ก็ต้องห่มผ้านอน

สถานที่เหล่านี้ไม่ต้องเดินทางไกล ใครก็อยากชื่นชม จะมีเพียงแต่การเผชิญความยากลำบากต่างๆนานา ที่บั่นทอนกำลังใจของใครเหล่านั้น รวมถึงผมในการตัดสินใจเดินทางครั้งแรกด้วย

มาถึงวันนี้ ผมยังเป็นเพียงน้องใหม่ในการเข้าป่า 1 ปี 8 แห่งที่ผมไป ประสบการณ์ล้วนต่างกัน วันแรกที่คิดว่าความยากลำบากคือความลำบาก มันหายไป แต่ความลำบากวันนี้ กลายเป็นความท้าทาย และความมันส์ เป็นบททดสอบหนึ่งของสังขารที่กำลังเริ่มมากขึ้นในทุกๆวัน สัญญาณความคิดที่บอกกับตัวเองในทุกย่างก้าวว่าเรายังไหว เราไปต่อได้ ก้มหน้าเดินต่อไป เดี๋ยวก็ถึงปลายทาง มันคงดังก้องในความคิดทุกครั้งที่เดินทาง

สมาธิที่ได้อยู่กับร่างกายของตนเอง จิตใจของตนเอง สนใจกับเพื่อนร่วมทางเพียงไม่กี่คน ช่วยเหลือ และรับน้ำใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน

ณ ที่แห่งนั้น ช่างตรงข้ามกับความอ้างว้างที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ ท่ามกลางคนเป็นล้าน เสียอีก

นี่อาจเป็นบทสรุปของการแสวงหาความสุข สบาย และสงบ ในนิยามของผมก็เป็นได้

 

 

ปล1. หากคุณอ่านถึงตอนนี้ และคุณเคยพบกับคนที่ชอบเที่ยวในถิ่นทุรกันดาร คุณจะพบว่าทุกคนมีความรู้สึกคล้ายคลึงกันนี้

ปล2. หากคุณกำลังติดสินใจที่จะเดินทาง ไม่ว่าจะไปที่แห่งใด แต่ยังกล้าๆกลัวๆ ผมอยากให้คุณไป ถ้ามีครั้งแรก ครั้งต่อๆไปก็จะง่าย และคุณจะกลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าให้คนรอบข้างฟัง

ปล3. หากอ่านมาแล้วยังไม่มีแรงบันดาลใจ ลองดูเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty มาดู

ปล4. ภาพประกอบเป็นภาพเท้าผมในสถานที่ต่างๆ เล็กๆอย่างตั้งแต่ร้านส้มตำไปถึงจนนครวัด ถ้าสนใจลองดู Stand on Earth

บ้านกรุงเทพ – 20 May 2014 01:23

ภูมิปัญญาบรรพบุรุษ

10257811_10154173467235644_6573115383575877373_n

ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นเสี้ยวหนึ่งที่ถูกบอกเล่าในประวัติศาสตร์ และบางเรื่องเป็นระดับสร้างชาติ หรือวัฒนธรรมมาจนทุกวันนี้ ยิ่งชาติใดมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ก็ยิ่งมีอะไรสนุกๆให้ต้องสงสัย

อย่างเรื่องปลูกข้าว สงสัยไหมครับว่า คนสมัยก่อนรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ต้นเขียวๆคล้ายหญ้า เมล็ดมันกินได้ รู้ได้อย่างไรว่าต้องสีเปลือกออก แล้วรู้ได้อย่างไรว่าใช้หุง ไม่ใช่การเผาไฟหรือต้ม นี่ผมยังไม่พูดถึงการค้นพบไฟ การค้นพบการหุง ไหนจะข้าวหมดแล้วอยากปลูกเองทำอย่างไร

ลองคิดถ้าเป็นเรา เราจะรู้ไหมวะ แล้วต้องใช้ระยะเวลากี่ปีกว่าจะรู้ว่า ข้าวต้องปรุงแบบนี้ถึงจะกินได้..

แล้วคุณคิดดู สาคูไส้หมู! กับข้าวเกรียบปากหม้อ!

เฮ้ย คิดได้ไงว่าต้องต้มน้ำ เอาผ้าปิดปากหม้อ ปั้นแป้งสาคูหรือทาน้ำแป้ง ใส่ไส้ พลิกไปพลิกมา ไหนจะโรยกระเทียมเจียว กับราดน้ำกะทิอีก บ้างต้องหยิบผักห่อใส่ปากด้วย

ต้องกราบบรรพบุรุษจริงๆครับ ที่ใช้เวลาสังเคราะห์และวิเคราะห์จนได้ออกมาเป็นอาหารเลิศรสแบบนี้

เรื่องบางเรื่องทำตามๆกันมาหรือเห็นจนชินตา แต่ถ้าลองสงสัยที่มา นี่มันเป็นนวัตกรรมชัดๆ และอาจจดสิทธิบัตรอะไรก็ว่าไป เหมือนที่ชาวอเมริกาคนหนึ่งตกใจมาก ที่คนไทยคิดค้นถุงหิ้วแก้วน้ำได้ เพราะบ้านเขาไม่มี

บ้านนครสวรรค์ – 18 May 00:54

ประชุม WEF 2012 จัดอันดับการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน ชี้เด็กไทยคิดไม่เป็น

1006065_10151811318962450_682607266_n

นายภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลการประชุมของ World Economic Forum (WEF) – The Global Cometitiveness Report 2012-2013 ซึ่งเป็นการประชุม “เวทีเศรษฐกิจโลก” จัดอันดับการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน ชี้เด็กไทยคิดไม่เป็น

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก และได้สั่งการให้ตนวิเคราะห์ที่มาที่ไปของผลการจัดอันดับดังกล่าว ซึ่งตนจะไปศึกษาว่าผลการจัดอันดับที่ออกมามีความเที่ยงตรงมากน้อยแค่ไหน โดยจะต้องดูวิธีการจัดว่าใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัดบ้าง สั่งทำการบ้านด่วน ก่อนปรับการศึกษาทั้งระบบ

ที่มา Nation Channel

จากเนื้อข่าว, ชีวิตบน KPI มันเป็นแบบนี้จริงๆ สิ่งแรกที่ทำคือ ดูเครื่องมือและที่มาของตัวชี้วัดว่าเหมาะสมและเที่ยงตรงไหม พอรู้เกณฑ์ ก็เร่งพัฒนาเพื่อตอบโจทย์เกณฑ์นั้น แต่ไม่ได้มองความเป็นจริงและอื่นๆ และที่สำคัญ ทั้งๆที่คนส่วนมากรวมถึงตัวท่านเองก็รู้ว่าการศึกษาประเทศตัวเองก็ไม่ได้ดีจริงๆ แล้วยังจะไปสงสัยเกณฑ์มันทำไม

ชีวิตแบบนี้สินะ มันเลยทำแค่ให้มี แล้วก็มีแค่ที่ทำ ไม่มากไปกว่านี้และไม่น้อยไปกว่านี้ แล้วก็รอให้อนาคตเกณฑ์เขาเปลี่ยนแปลง ก็ค่อยไล่ล่าเปลี่ยนแปลงใหม่ ตามตูดเขาต่อไป

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีวิสัยทัศน์แบบนี้ ก็ไม่ต่างไปจากเด็กที่เรียน ติว เก็งข้อสอบ เรียนสูตรลัด หาทริค “เพื่อแค่” ไปสอบให้ผ่าน หรือให้ได้คะแนนเยอะๆ

เรื่องพวกนี้จริงๆก็ไม่อยากแสดงความเห็นเท่าไร เพราะเป็นคนเรียนไม่เก่ง เอ็นไม่ติด และโง่เกินกว่าจะพูดเรื่องแบบนี้ แต่ก็คิดเสียว่า เป็นความเห็นจากคนโง่คนหนึ่งละกัน