วันนี้

วันนี้ตื่นเช้าอีกวันหนึ่ง เป็นวันที่รู้สึกอ่อนล้าและเพลียกว่าปกติ
เพราะเมื่อคืนได้นั่งรอโทรศัพท์จากเจ้าหญิงตัวเล็ก และอ่านหนังสือเตรียมสอบ
คืนนี้ฉันได้นอน 2 ชั่วโมง เป็นเวลาที่คุ้มค่ามาก ที่จะทำให้เราได้พักผ่อน เพื่อสู้กับวันใหม่ที่หมองหม่น

“ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย” เป็นคำถามที่ได้นึกขึ้นมา เมื่อมองออกนอกหน้าต่าง
ฉันมองเห็นหน้าแม่ ที่กำลังนอนหลับอย่างสบาย ฉันไม่กล้าปลุก อยากให้เขาได้พักผ่อน

ฉันรีบคว้าโทรศัพท์ทันทีพร้อมกับส่ง SMS ให้เธอ ว่า “อรุณสวัสจ้า ที่นี่ฝนตก หนาวจังเลย”
พร้อมกับส่งใจไปทักทายให้กับเธอในความฝัน

เดินออกมาจากห้องๆหนึ่ง ไปสู่ห้องๆหนึ่งที่มีแต่ความรู้สึกดีๆเก็บไว้อย่างแน่นหนา
เดินผ่าน เจ้าผักกาด กระต่ายน้อยที่เชื่อมความสัมพันธ์ของเรา เมื่อก้าวแรกเข้าสู่ประตู
ภาพของเธอและฉันก็ปรากฏขึ้น น้ำตามันก็เริ่มไหลเพราะมีความรักและความคิดถึง

ฉันเดินมาหยิบกระดาษ 1 แผ่น เพื่อจดเนื้อเพลงให้เธอ พร้อมกับนั่งตัดรูปเรา 1 รูป แนบไป และก็จิ๊กซอว ที่ฉันทำให้เธอ 1 ชิ้น ฉันทำมาได้ 3 วันแล้ว ทุกครั้งที่ได้ทำ น้ำตามักจะเปื้อนกับกระดาษเสมอๆ

ฉันไปสอบชีววิทยาตอนเช้า แสงแดดส่องสว่างสดใส แต่ใจฉันทำไมยังหม่นหมองนัก

ข้าวเ้ช้านี้เป็นอะไรอีก 1 มื้อที่ฉันกินไม่ลง ถึงแม้มันจะมีรสชาติก็ตาม

ฉันกลับบ้านรีบนำจดหมายของฉันส่งให้เธอทันที ถนนทุกเ้ส้นทางที่ผ่าน ทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุข … เมื่อไรนะ ที่จะมีอย่างนี้อีกครั้ง
น้ำตาเริ่มไหล… ก็มีเพียงแต่สายลมที่ช่วยเช็ดน้ำตาของฉันในยามนี้
สายลมที่ยังมีกลิ่นไอของเรา สายลมที่เป็นเสมือนเธอ ได้โอบกอดฉันไว้ข้างๆกาย

“มันช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้”

Windstruck : ยัยตัวร้ายกับนายเซ่อซ่า

มันเป็นเรื่องๆ หนึ่งที่เคยนั่งดูอยู่ข้างกัน
ชีวิตตัวละครในนั้น มันทำให้เราได้พบว่า

ชีวิตฉันและเธอ เราจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด

เธอนั่งดูกับฉันแล้วก็ร้องไห้ เมื่อพระเอกหมดลมหายใจ
เธอเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา และ เธอบอกกับฉันว่า
“ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเค้าและตัวเองเลย”
ฉันก็ปลอบเธอว่า “มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอกนะ ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน”
และเธอก็กอดฉันแน่นกว่าเดิม พร้อมร้องไห้มากขึ้น
ฉันก็เอามือทั้งสองกอดเธอ พร้อมกับน้ำตาเริ่มซึมออกมา
“น่าๆ อย่าร้องเลยนะคะ ยังอีกนานน๊าาา ไม่จากกันไปง่ายๆ หรอก”

ฉันเคยสัญญาว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นขอให้เกิดขึ้นกับเธอก่อน
เพื่อให้ฉันได้เสียใจ
ฉันไม่อยากให้เธอต้องเสียใจ เพราะเธอเสียใจเพราะฉันมามากพอแล้ว
และนี่เป็นการเสียใจที่สุดในชีวิต ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องเสียใจเพื่อฉันอีก
มันทรมานมากกว่าการเลิกกัน หรือ อยู่ห่างไกลกัน
มันไม่มีอะไรที่จะรอคอย เพราะ มันไม่มีวันแห่งความสุขหวนกลับมา

“ฉันต้องอยู่เพื่อรอเธอหรอกน่า ไม่ตายง่ายๆ หรอก”

 

คนลาวไม่เป็นอย่างที่คิด

ผมได้คุยกับชาวลาว ผ่านเว็บไซต์ http://www.laoupdate.com/CHAT/frameset.php
พิมพ์คุยไทยกับเขาได้ เขาอ่านไทยเราออก แต่เขาจะพิมพ์ อังกฤษ ตอบคุณ

สิ่งที่รู้มาคือ

เค้าต้อนรับเราดีมากๆ เมื่อเข้าไป

เขาฉลาดกว่าที่เราคิด มุมมองการศึกษา การใช้ชีวิต เค้ากว้างกว่าคนไทยบางคนที่ผมรู้จักเสียอีก

เขาไม่ชอบเมื่อเราพูดถึงประเทศตนเองไม่ดี

เขาให้เกียรตเมื่อเรากำลังพูดกัน แม้เป็นห้องรวม ถ้ารู้ว่ากำลังคุยกับอีกคน คนอื่นจะอ่าน จนกว่าจะมีอะไรที่พูดก็จะพูดเรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่พูดแทรก

เหมือนกับว่าเขาจะไปไกลกว่าไทยในความคิด ถ้าเปิดประเทศเมื่อไรก็จะเจริญ และเป้นสังคมที่ดีพอสมควร

เขาจะไม่พูดเรื่องการเมืองกัน (อาจจะเพราะความเป็น สาธารณะรัฐของเขา)

เขาพูดมาประโยคหนึ่งว่า ” you know our learder, are not Doctor. but they sacrified them for country ” ถูกใจมากกกๆ (จะโดนปิด blog ไหมอ่ะ)

ปล.พาที่รักไปอยู่ลาวดีกว่า จะได้สบายๆ ไม่มีปัญหากลัดกลุ้ม

สัมนาฯ อุตสาหกรรม software

วันนี้ไปนั่งสัมนาฯ อุตสาหกรรม software ที่ ม.มหิดล นครสวรรค์ มา

อืมมมม ได้แผ่น จันทรา ของ sipa มา 1 แผ่น มันคืออะไรใครรู้ตอบที 5555

เจอฝ่ายวางแผนบริษัท microsoft ขอบอกว่าทำ slide สวยมาก ให้ความรู้เรอื่ง web service ได้ดี

เจอผู้ก่อตั้ง tarad.com เออ นะ ชอบเข้าเรื่องเว็บ vcd รูป โป๊ เรื่อยเลย แต่ก็ให้ข้อมูลได้ดี

มีการก่อตั้ง nakhonsawan isda ขึ้น คือกลุ่มรวมตัวผู้พัฒนา software อิสระในนครสวรรค์

มีการทำโครงการ 100 ร้านค้า 100 เว็บไซต์ ก็เลยอยากไปดูว่าจะมีอานิสงค์อะไรมาถึงเรา (จ้างเรา) บ้างไหม น้อ…

ไปเติมเชื้อเพลิง เพื่อมีกำลังใจในการพัฒนาเว็บไซต์ต่อไป ว่าคนอื่นเขาสำเร็จแล้วนะ แต่เราทำอะไรอยู่วะเนี่ย

พระเจ้าหรือซาตาล

อ่า สืบเนื่องจาก blog เพื่อนผม ไอ้คุณโอ เรื่อง คุณอยากรู้มั๊ยมันทำให้ผมนึกถึง ความคิดๆ หนึ่งที่เคยวิ่งผ่านหัวของคนที่นับถือพุทธ

“ศาสนาที่มีพระเจ้า จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พระเจ้าสอนนั้นถูกต้องและดีงาม และพระเจ้าเหล่านั้นถ้าหากว่าเป็นซาตาลแปลงกายเป็นพระเจ้า เราจะรู้ได้อย่างไร และคำสอนเหล่านั้นทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ที่ดีแล้วพ้นทุกข์อย่างนั้นหรือ”

นี่คือสิ่งที่เรา ซึ่งนับถือพุทธ ได้ถามกับตนเอง ว่ามันดีหรือป่าว รวมไปถึงได้อ่านหนังสือที่อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ได้พูดไว้ทำนองว่า “ศาสนา ที่ดีที่สุดในโลก เท่าที่มนุษย์
ชาติพึงมี ตัวไอน์สไตนเองยกย่อง พระพุทธเจ้ามากว่าเป็นผู้รู้จริง…เป็นศาสนาของคนที่ต้องการรู้จริง
เป็นศาสนาเดียวในโลกที่สามารถจะไขปริศนาของความลับโลก
ได้จากพลังจิตอันบริสุทธิ์ของผู้ที่ปฏิบัติ”
และก็พูดไว้อีกว่า “พวกเราจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดอย่างมีเหตุผล ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดต่อไปได้”

ทำให้เรากลับมคิดว่า หากพระเจ้าของบางศาสนา บอกให้ทำสงครามเพื่อศาสนาของตน มันถูกต้องแล้วหรือ, หากพระเจ้าของบางศาสนาสอนให้คนรักกันมันถูกแล้วหรือ

มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข ความสุขที่ศาสนาที่มีพระเจ้าคือความสุขทางโลกของศาสนาพุทธ หากต้องการความสุขที่แท้จริงจะต้องเป็นความสุขเหนือโลก ขึ้นไปอีก

ยกตัวอย่างกรณีที่ผมได้กล่าวไว้ ว่าหากทำสงครามเพื่อศาสนา มันอาจจะมองในแง่ที่ว่าจงรักภักดีต่อพระเจ้าและศาสนา มันก็เป้นส่วนดี แต่มันเบียนเบียนและทำลายชีวิตผู้อื่น โลกมันจะสงบได้อย่างไร ตอให้ทั้งโลกนับถือเหมือนกันหมด คนในศาสนาเดียวกันแท้ๆ ยังฆ่ากันเลย อันนี้ผมมองว่าเป็นความเชื่อที่รุนแรงไป ไม่น่าพูดถึงต่อ

และบางพระเจ้าสอนให้คนรักกัน ข้อนี้ไม่แรง ข้อนี้เป็นสุข เป็นสุขทางโลก ทำไมผมถึงบอกว่าเป็นสุขทางโลก ให้ลองไปถามคนมีความรักสิครับ คิดถึงเขาเป็นทุกข์ไหมว่าเขาจะเป็นอย่างไร เป็นห่วงเขาเป็นทุกข์ไหมว่าเขาจะอยู่อย่างไร รักเขาเป็นทุกข์ไหมว่าเขาจะมีคนอื่นไหม ได้อยู่กับเขาเป็นทุกข์ไหมว่าสักวันเขาจะพรากจากเราไป ทุกสิ่งที่พูดมาถ้าเรามองดูดีๆ มันเป็นอวิชชาบังตา ที่เราหลงเชื่อว่าความรักนั้นเป็นของดี มีความสุข แต่ถ้าคิดให้ดี มันมีความทุกข์แฝงอยู่ มีความยึดติดแฝงอยู่ (แม้แต่ผมเอง ยังหลงยึด)

แต่สำหรับศาสนาพุทธ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยสอนให้คนรักกัน แต่ศาสนาพุทธสอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข (หรือพูดอีกนัยหนึ่งให้เขาใจก็อาจจะเรียกว่ารัก แต่เป็นรักที่หวังดี รักที่อยู่อย่างมีสุขที่แท้ รักที่ไม่ยึดติด รักที่เป็นกลาง)ซึ่งอาศัย พรหมวิหาร 4 มาอธิบายได้ดังนี้

ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

มี เมตตา ( การปรารถนาดีรักใคร่ต่อสัตว์ทั้งหลาย
เมตตาคือความไม่โกรธ
ความรักใคร่ชื่นชมนี้ มี2 อย่าง คือ (1) เมตตาอโทสะ
(2) ตัณหาเปมะ ใน ๒ อย่างนี้ เมตตาอโทสะ เป็นความ
รักใคร่ชื่นชมปรารถนาดี ไม่มีการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร
ธิดา ภรรยา สามี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แต่อย่างใด ถึงจะจากไป
อยู่ที่อื่นก็ไม่เดือดร้อน ส่วนตัณหาเปมะนั้น เป็นความรักใคร่ชื่นชม
ด้วยการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สามี
ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงและแยกจากกันไม่ได้ ดังนั้นความรักใคร่ชื่นชม
ชนิดที่เป็นชนิดตัณหาเปมะนี้ จึงได้ชื่อว่า เป็นเมตตาเทียม เพราะยัง
มีโลภะอยู่ด้วย
)

มี กรุณา ( เมื่อเห็นสัตว์ทั้งหลายได้รับ
ความลำบาก จิตใจของสัปบุรุษ (สัปบุรุษ – สัตบุรุษ คือ คนสงบ
คนดี คนมีศีลธรรม คนที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม – พจนานุกรม
พุทธศาสน์) ก็เกิดความหวั่นไหว นิ่งดูอยู่ไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง
หมายความว่า ย่อมช่วยผู้ที่ได้รับความลำบากนั้นให้ได้รับความสุข
ดังแสดงวจนัตถะว่า
ปรทุกฺเข สติ สาธูนํ หทยกมฺปนํ กโรตีตี = กรุณา
ธรรมชาติใดย่อมทำให้จิตใจของสัปบุรุษทั้งหลาย หวั่นไหว
อยู่นิ่งไม่ได้ เมื่อผู้อื่นได้รับความลำบาก ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น
ชื่อว่า กรุณา
กิณาติ ปรทุกฺขํ หึสติ วินาเสตีติ = กรุณา
ธรรมชาติใดย่อมเบียดเบียนทำลายความลำบากของผู้อื่นเสีย
ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า กรุณา
)

มี มุทิตา ( ความรื่นเริงบันเทิงใจ
ในความสุขความสมบูรณ์ของผู้อื่น มี ๒ อย่าง คือ มุทิตาแท้และ
มุทิตาเทียม ใน ๒ อย่างนี้ มุทิตาแท้ แม้ว่าจะมีความรื่นเริง
บันเทิงใจต่อสัตว์ที่มีสุขอยู่ หรือจะได้รับความสุขต่อไป
ข้างหน้าก็ดี จิตใจหาได้มีการยึดถือหรืออยากโอ้อวดต่อผู้อื่น
แต่อย่างใดไม่ มีแต่ความเบิกบานแจ่มใสอันเป็นตัวมหากุศล

สำหรับมุทิตาเทียมนั้น แม้จะมีความยินดีปรีดาก็จริง
แต่ก็มีการยึดถืออยากได้ดีมีหน้า ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ส่วนมากย่อมเกิดขึ้นเมื่อได้เห็นบิดา มารดา ญาติพี่น้อง
บุตร ธิดา มิตรสหายของตนมียศ มีทรัพย์ อำนาจ หรือ
ได้ทราบว่าจะได้รับยศอำนาจในวันหน้า โดยความยึดถือ
ว่าผู้นั้นเป็นบิดา มารดา ฯลฯ ของตน
)

มี อุเบกขา ( วามวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลาย
โดยมีจิตใจที่ปราศจากอาการทั้ง ๓ กล่าวคือ ไม่น้อมไปในความ
ปรารถนาดี ในการที่จะบำบัดทุกข์ ในการชื่นชมยินดี ในความสุข
ของสัตว์แต่อย่างใดทั้งสิ้น พิจารณาในสัตว์ทั้งหลายพอประมาณ
ด้วยการที่ไม่รักไม่ชัง คือ สละความวุ่นวายที่เนื่องด้วยเมตตา กรุณา
มุทิตา และมีสภาพเข้าถึงความเป็นกลาง

การวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลายนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๒ อย่าง คือ
เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัตตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์
นั้นๆ / ภาวะที่จิตและเจตสิกตั้งอยู่ในความเป็นกลาง)
นี้เป็นอุเบกขาแท้

ส่วนที่เป็นไปด้วยอำนาจโมหะนั้น เมื่อได้ประสบกับสิ่งที่น่ารัก
ก็ไม่รู้จักรัก น่าขวนขวายอยากได้ก็ไม่มีการขวนขวายอยากได้
เฉยๆ ไป น่าเคารพเลื่อมใสก็ไม่รู้จักทำการเคารพเลื่อมใส
น่ากลัวน่าเกลียดก็ไม่รู้จักกลัวจักเกลียด ควรสนับสนุนส่งเสริม
ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์
ในการงานทั้งปวงก็นิ่งเฉยเสีย นี้เป็นอุเบกขาเทียม
)

ที่มาของคำแปล http://board.dserver.org/e/easydharma/00000024.html

ซึ่งถ้าใครยังไม่เข้าใจอวิชชาบังตา ก็ลองดูคาวมหมายของ พรหมวิหาร 4 แต่ละตัวก็ได้ เช่น คำว่า อุเบกขา ถ้าเรารู้อย่างคร่าวๆ เราจะรู้ว่ามันคือการวางตัวเป้นกลาง ไม่ถือดีถือร้ายใดๆ นี่แหละยังเรียกว่าบังตา แต่สิ่งที่เรียกว่าวิชชา คือเราจะรู้ลึกซึ้งไปกว่านี้ว่า “มันมีแยกเป็น 2 แบบนะ คือการวางเฉยแบบอารมณ์และจิตเป็นกลาง กับการวางเฉยแบบใครจะทำอะไรก็ปล่อยมัน ไม่สนใจ”

คราวนี้กลับมาหัวข้อของเรา ว่า พระเจ้าหรือซาตาล …. สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วคือบางศาสนาสอนให้สุขทางโลก คือให้อยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย ถึงแม้จะสุขแค่ไหนก็ยังมีทุกข์แฝงอยู่เป็นเรื่อยๆ เป็นศาสนาที่ยึดติดกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ชอบสิ่งใด ต้องทำสิ่งนั้นให้ มันเป็นทางโลก

แต่ศาสนาที่เหนือโลก (หรือที่เรียกว่าโลกุตระ) มันอยู่เหนือการยึดติดกับพระเจ้า อยู่เหนือการยึดติดกับความทุกข์ หรือแม้แต่ความสุข (หลายคนชาวพุทธมักเชื่อว่า ศาสนาพุทธที่สุดคือการพ้นทุกข์และมีสุข แต่ที่จริงแล้วสูงสุดคือการ พ้นจากทุกข์และพ้นจากสุข อยู่ในสภาพเป็นกลาง)

ถึงแม้ว่าการปฏิบัติอย่าที่กล่าวมาทางพุทธ จะเป็นเรื่องยาก เป็นการปฏิบัติชั้นพระอริยะ แต่สิ่งที่พุทธสอนให้ปุถุชนใช้ในทางโลกคือ ศีล 5 ก็เพียงพอแล้วสำหรับทางโลก แล้วมันจะเป้นรากฐานไปสู่ความเป็นพระอริยะ และพ้นทุกข์ถึงพระนิพพานต่อไป

** ปล. ความคิดเห็นส่วนตัวเด้อ ว่าศาสนาแตกต่างอย่างไร แต่มิได้จะว่าพระเจ้าของศาสนาใดๆ ว่าไม่ดี เพียงแต่อยากเสนองแง่มุมของคนที่ไม่มีพระเจ้าให้แก่คนที่มีพระเจ้าได้ทราบว่าพวกเราคิดอย่างไร