ต้องขออภัยก่อนเลยครับ ที่ไม่ว่างมาเขียนเรื่องแชงกรีลาหลายวัน งานเยอะมากมาย ปกติเรื่องตอนหนึ่งผมใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการรวบรวมข้อมูล จึงต้องว่างจริงๆถึงจะได้เขียน
จากความเดิมตอนที่แล้ว แชงกรีลา (Shangri-La) – ตอน 2 ออกลุย พวกเราตกรถนอนไปต้าลี่เป็นที่เรียบร้อย เราจึงต้องจำใจอยู่เที่ยวเมืองจิ่งหง หรืออีกชื่อคือเชียงรุ้ง (ในเขตสิบสองปานนา) แบบ 1 วันเต็มๆ อย่างที่ไม่มีการวางแผนมาก่อน แล้วก็พบว่า มันมีอะไรให้เราค้นหาอีกเยอะ น่าเที่ยวนี่นา..
วันที่ 4 ธันวาคม 2552 … ใจกลางจิ่งหง
เป็นคืนแรกที่ผมนอนบนจีนแผ่นดินใหญ่ ในโรงแรมสามดาวของท่ารถเมืองจิ่งหง สภาพห้องโอเค มีแอร์ แต่ไม่มีเครื่องทำความร้อน รวมถึงเตียงก็ไม่ทำความร้อนด้วย เราจึงใช้วิธีปิดหน้าต่างแล้วเปิดแอร์ในอุณภูมิที่สูงกว่าอากาศข้างนอก จำได้ว่าคืนนั้นผมห่มผ้านวมเท่าไรก็รู้สึกว่าหนาวเท้ามาก นอนไม่ค่อยหลับ
ตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 8 โมงเช้า เดินไปอาบน้ำอุ่นที่ไหลเอื่อยๆจากฝักบัว เสร็จออกมาเจอเจ้าโด ซึ่งเมื่อคืนมันก็นอนหนาวเท้าเหมือนผมเช่นกัน ขยับตัวแทบไม่ได้ เพราะถ้าขยับมันจะมีไอเย็นเข้ามา ส่วนพี่ป๊อปแกไม่อยู่บนเตียง เลยเดาว่าคงออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนหน้าแล้ว
ผมเดินออกมาหน้าห้องพัก ซึ่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม แม้จะเป็นเวลา 9 โมงเช้า แดดจ้า แต่หมอกยังหนาพอสมควร อากาศยังคงเย็นพอให้หน้าชาได้อยู่ มองไปด้านล่างมีผู้คนและรถทัวร์มากมายขวักไขว่ไปหมด
ท่ารถยามเช้าในจิ่งหง
ผมกลับเข้าห้องมาเปิดหนังสือหาข้อมูลจิ่งหง สักพักพี่ป๊อปก็เดินเข้าห้อง หิ้วซาลาเปาลูกเล็กๆมา 1 ถุง หมั่นโถวไส้ผัก 1 ถุง พร้อมเกาลัดของพี่แอนอีกหนึ่งห่อ แกเล่าให้ฟังว่า ใกล้ๆนี้ มี Super Market ไว้ให้ซื้อของกินของใช้ได้ แกบอกว่าแกไปกับพี่แอน แต่พี่แอนซ้อนมอเตอร์ไซต์ของอาเฮียร้านขายของชำไป China Telecom เพื่อทำเรื่องซิมโทรศัพท์ให้ใช้โทรกลับไทยได้
พวกเรารอพี่แอนจนใกล้เที่ยง จึงเดินลงจากห้องไป Check out ไม่นานนักพอพี่แอนกลับมา จึงตกลงกันว่าจะผ่านไปดู Super Market ของจีน (เที่ยวได้บ้านนอกมาก) แล้วเลาะตามถนนไปสุดที่สวนสาธารณะแห่งชาติ – Nationality Park (Minzu Fengqing Park)
เพิ่มเติม: จริงๆ แล้วสวนสาธารณะที่โด่งดังของจิ่งหงคือ สวนสาธารณะม่านทิง (Manting Park) เป็นสถานที่ที่มีรูปปั้นของท่านโจวเอินไหล (Statute of Zhou En Lai) มีการแสดงของชนเผ่าต่างๆในสิบสองปานนา และสวนดอกไม้นานาชาติ แต่ว่ามันอยู่ไกลจากโรงแรมเราพอสมควร กอปรกับพวกเรายังไม่กล้าที่จะนั่ง Taxi ในจีน (อาเฮียที่เคยช่วยเราบอกว่า ที่จีนเสียค่า Taxi 5 หยวน ไปได้ทุกที่ในเมือง) จึงใช้วิธีการเดินไปสถานที่ใกล้ๆ แทน (เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ค่าฝาก 6 ใบ เขาคิด 10 หยวน)
สตอเบอรี่กรอบเสียบไม้
พวกเราลัดเลาะไปตามถนน Mengla Dadao พบ Super Market มันดูคล้ายกับ Big-C, Lotus ในไทย ผมซื้อเกาลัดติดมือมา 1 กิโล (24หยวน=120บาท) พร้อมทดลองกินสตอเบอรี่กรอบเสียบไม้ (ไม่รู้ราคา เพราะไม่ได้จ่ายเอง แหะๆ) รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ แปลกดี แล้วจึงเดินต่อไปจนถึงสวนสาธารณะแห่งชาติ แต่กว่าจะเจอ ทำเรางงพอสมควร เพราะมันแอบมีสวนดอกไม้เล็กๆ ให้เข้าใจว่ามันคือสวนสาธารณะเล็กๆ ไม่เหมือนในแผนที่ แต่พอเดินเข้าไปสอบถามคนจีนแถวนั้น และเดินต่อไปจนถึงสวนสาธารณะจริงๆ มันกว้างขวางพอสมควร พวกเราเดินเข้าไปแค่นิดหน่อย แล้วนั่งพักพูดคุย กินเกาลัดเป็นมื้อเช้ากัน
ทางเข้าสวนสาธารณะแห่งชาติ
สวนสาธารณะแห่งชาติ
เราเดินต่อจากสวนสาธารณะไปในย่านใจกลางเมือง บนถนน Menglong Lu และ Manting Lu อาคารร้านค้าของจิ่งหงดูใหม่มาก ในสไตล์โมเดิร์นผสมกับลายไม้ฉลุพื้นเมืองของหลังคา เหมือนกับเมืองนี้เพิ่งถูกเนรมิตรใหม่ท่ามกลางป่าเขา อาคารและถนนหนทางดูสะอาด ผู้คนและรถไม่มากนัก แม้วันที่เราไปถึงจะเป็นวันทำงานตามปกติ จนชวนให้คิดว่า มันคล้ายๆ กับลาสเวกัสในภาพยนตร์ที่เราเคยได้ดู ถูกย่อส่วนมาไว้ตรงหน้า
บ้านเมืองสะอาดและเรียบร้อยมาก
เราเดิน ไปเจอตึก Thai City Hotel (เขียนภาษาไทยไว้ตัวใหญ่ด้วยครับว่า “โรงแรมไทยซิทีย์”) จึงเดินเข้าไปทักทายเพื่อขอเข้าห้องน้ำ แต่ปรากฏว่าไม่มีคนไทยในนั้น พนักงานไม่เข้าใจภาษาไทยอีกต่างหาก เลยคาดว่าเจ้าของอาจจะคนไทยหรือไม่ก็เอาความเป็นไทยมาทำการตลาด ราคาค่าห้องที่นั่น แพงพอตัว ถ้าผมจำราคาไม่ผิดอยู่ที่ประมาณ 150 หยวน ต่อคืน
โรงแรม(ชื่อ)ไทยในจิ่งหง
บ่อยครั้งที่ผมเจอภาษาไทยในจิ่งหง และเจอศิลปะคล้ายๆ ในประเทศไทยมากมาย มันทำให้รู้สึกว่ายังอยู่เมืองไทย ซึ่งในประวัติศาสตร์แถบสิบสองปานนาเคยเป็นของไทยมาก่อน ภาษาท้องถิ่นก็มีหลายคำที่คล้ายๆภาษาไทย ของกินของใช้หลายอย่าง ถูกนำเข้ามาจากประเทศไทย ดังนั้นถ้ามีเวลาสักสองสามวัน เมืองจิ่งหงในเขตสิบสองปานนา น่าเที่ยวมากครับ เป็นเมืองที่มาได้ไม่ยากและธรรมชาติบริเวณนี้ยังคงสวยอยู่
ศิลปะล้านนาคล้ายๆในไทย แต่คิดว่าค่อนไปทางพม่ามากกว่า
เมื่อเสร็จภาระกิจปลดทุกข์ที่โรงแรมไทยซิทีย์ เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปเจอตลาดสด มันดูคล้ายตลาดสดในประเทศไทย คือมีแท่นปูนสี่เหลี่ยมเพื่อแบ่งล็อก แม่ค้าพ่อค้าวางของไว้บนนั้นและขายของ มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว ผักสด ผักดอง ผลไม้ น้ำพริก รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า วางขายกันเยอะพอสมควร เท่าที่พอเห็นราคาจากที่แปะป้ายไว้ รู้สึกว่าผลไม้ รองเท้า เสื้อผ้า ราคาจะถูกกว่าไทยอยู่มากครับ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนไทยนำเข้าของจากจีนในราคาถูกได้ไม่ยาก เพราะแค่เมืองจิ่งหง ที่ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไม่ถึง 15 ชม. (แบบอืดๆ ด้วยนะ!) สินค้าก็สามารถส่งไปถึงเชียงรายได้ทันที แต่ราคาต่างกับที่ไทยหลายเท่าตัว เช่น รองเท้าบูธผู้หญิงสภาพผมว่าใช้ได้นะ ตกคู่ละ 20 หยวน หรือ 100 บาท
ตลาดสดของจิ่งหง
พวกเราเดินไปหลายที่ในเมือง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส เพื่อวกกลับไปโรงแรมที่พักบนถนน Menghai Lu อีกครั้ง
ตอนนี้ประมาณ 15.00 น. เริ่มจะต้องหาของกินอีกครั้ง พวกผู้ชายเลือกที่จะกลับไปกินอาหารจีนเหมือนเดิม ซึ่งครั้งนี้เราลองเลือกเป็นร้านข้างๆที่ติดกับร้านเดิมของเมื่อวาน ส่วนผู้หญิงเลือกที่จะเดินต่อไปห้างเพื่อกินบะหมี่
บังเอิญตอนไปที่ร้านอาหาร เราพบโต๊ะคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีผู้ชายที่พอดูออกได้ว่าเป็นเจ้าของร้านนั่งอยู่ด้วย จึงขออนุญาตเข้าไปชี้นิ้วสั่งอาหาร เอาแบบพวกเขาอีกชุดหนึ่ง (หิวมาก ขี้เกียจแปลแล้ว และขอบอกว่ามันเป็นวิธีการที่ง่าย แต่เราต้องขออนุญาตเขาก่อนจะไปชี้นะครับ พอเขารู้ว่าเราต่างชาติ พูดจีนไม่ได้ เขาก็ยินดีที่จะแนะนำและให้เราชี้จานเขาสั่งได้ แต่ถ้าโชคดีเจอร้านที่มีรูปอาหารอยู่แล้ว ก็ไปชี้ได้ที่รูปข้างกำแพงหรือในเมนูได้เลย)
ถ้าอ่านไม่ออก แนะนำให้ชี้รูป หรือถ้าไม่มี ขออนุญาตไปชี้จานที่โต๊ะอื่น
ตอนนี้จานใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น หิวมาก!
ที่นี่ทำให้เรารู้ว่า ร้านอาหารจีนปกติแล้วจะแพ็คพวกจานชามถ้วยน้ำชาช้อนซุปเข้าด้วยกัน ห่อพลาสติกอย่างดีปานว่าใช้ครั้งเดียวทิ้ง (หรือเพราะเราขึ้นร้านเหลาของจีนก็ไม่แน่ใจ) และเหมือนเดิมอีกเช่นเคยเสริฟพร้อมข้าวไม่อั้น ชาไม่อั้น มื้อนี้ผมมีอาม่ามาด้อมๆมองๆ กาละมังข้าว ตลอดเวลา พอแกเห็นหมดปุ๊บ แกเดินไปตักมาเพิ่มให้ เลี้ยงดูดั่งลูกหลาน สรุปค่าเสียหายมื้อนี้หมดไปคนละ 16 หยวน หรือ 80 บาท
มาเป็น package
นั่งรอไม่นานนักพวกผู้หญิงก็เดินกลับมาจากห้าง ซื้อขนมและน้ำติดไม้ติดมือเพื่อเตรียมเดินทางต่อด้วยรถนอนไปเมืองต้าลี่
เราจองตั๋วรถนอนไว้ 6 ใบ เวลา 17.00น. (เพื่อให้ถึงต้าลี่ในเวลา 11.00 น. เพราะในหนังสือบอกไว้ว่าเราจะต้องใช้เวลาเดินทาง 18 ชม.) แต่กว่าเราจะได้ขึ้นรถ ก็เกือบ 17.30 น.
นั่งรอรถกันต่อไป
ระหว่างรอพวกเรากะวนกะวายใจพอสมควร กลัวรถจะออกไปก่อน แล้วเจ๊พนักงานไม่ยอมบอก เพราะป้ายดิจิตอลที่บอกเที่ยวรถ มีแต่ภาษาจีน เราทำได้แต่เปิดหนังสือเพื่อจำรูปตัวอักษร แล้วนำไปเทียบบนตาราง บังเอิญว่ามันมีเที่ยวหมายเลขรถเที่ยวต่อไปขึ้นมาแซงเที่ยวของเรา ทำให้พวกเราเดินกันพัลวัล หยิบตั๋วให้พนักงางานดูอยู่เรื่อยๆ จนเขารำคาญแล้วพูดภาษาจีนอะไรสักอย่าง ทำนองว่า มาแล้วจะบอก
จีนล้วนๆ
ระหว่างที่รอ แต่ละคนผลัดกันเข้าห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัวและสวมชุดกันหนาว
พี่ป๊อปกับโดมเดินออกมา บอกให้ผมไปเข้าต่อ แล้วก็ไม่พูดอะไร
ก้าวแรกที่เดินเข้าไป หันซ้าย ผมเห็นโถยืนปัสสาวะของผู้ชาย สูงมากจนถึงพื้น เหมือนกับที่เคยเห็นในการ์ตูน แต่หันขวา ผมเห็นห้องน้ำที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เฮียแกกำลังก้มมองอะไรสักอย่างในโถ และบังเอิญไอ้เราก็สายตาเร็ว ดันมองตามสายตาแกไปด้วย… โอ้วเหี้ย.. จิ้งจกอาเฮีย!
หันกลับมา เข้าซองเสร็จ ล้างมือ ผมเดินออกมาแบบไม่คิดอะไร.. พี่ป๊อป โดม ไม่พูดอะไรนอกจากคำว่า “เห็นอะไรไหม” แล้วก็พยักหน้า..หงึก.. หงึก..
ครั้งแรกกับรถนอนในจีน
เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ขึ้นรถนอน ซึ่งมันทำจากรถบัสขนาดกลาง สภาพภายในรถติดแอร์ ปูพรม ซึ่งก่อนจะขึ้น เราต้องถอดรองเท้าใส่ถุงที่คนขับรถได้เตรียมไว้ให้ และที่นอนถูกซอยแถวเป็นสามแถว มีทางเดินคั่น ซึ่งแต่ละแถวเป็นเตียงสองชั้นติดๆกัน ปลายเตียงจะมีช่องไว้ให้ใส่ของจิปาถะ แต่ส่วนมากจะวางรองเท้า
ดังนั้น หัวคนที่นอนจะแทบนอนหนุนรองเท้าของคนที่นอนอยู่เหนือเราถัดไป (มันโชคดีมากที่รองเท้าคนข้างบนไม่เหม็น แต่เป็นความโชคร้ายอย่างแสนสาหัสของคนนอนต่อจากผม เพราะรองเท้าผม เหม็น โอ้วชาบู…)
รถนอน.. สบ๊ายย!
เราเลือกที่จะนอนเตียงชั้นบนกันทุกคน และมีสิ่งหนึ่งที่แปลกตาตั้งแต่ขึ้นรถ คือ ในช่องทางเดินสองทาง จะมีถังเล็กๆ แต่ใส่น้ำไว้นิดหน่อย อารมณ์ว่าถังขยะ มีอยู่ประมาณ 6 ถังเห็นจะได้ ถือว่ารถคันนี้มีถังขยะเยอะมาก
เนสแจกยานอนหลับให้ทุกคน มีผมคนหนึ่งหละที่ขอกิน เพราะผมเป็นพวกนอนยาก ถ้าไม่ง่วงจริงๆ ตอนนั้นพวกเราคึกกันมากครับ คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนพระอาทิตย์เริ่มตกดิน และรถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ..
พอความมืดปกคลุม ประสบการณ์นั่งรถนอนในจีนครั้งแรกของหนุ่มสาวชาวไทยก็ได้เกิดขึ้น..
ไอ้เด็กเตียงข้างล่างอายุน่าจะประมาณ 5 ขวบ มันโหวกเหวกโวยวายเล่นกันอยู่ 2 คน แรกๆ ดูน่ารัก ครื้นเครงดี หลังๆรู้สึกรำคาญ กรี๊ดกร๊าด วิ่งไปวิ่งมา โชคดีที่ผมนอนเตียงบน แต่มันก็ไม่วายยังปีนขึ้นมาตรงเตียงผมด้วย หัวมันหลิมๆ กลมๆ ตอนนั้นอยากจะเอาเท้ายันหัวมันลงไปเสียจริงๆ ส่วนแม่มันก็ไม่ได้สนใจอะไร คนจีนในนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร เราได้แต่ทนต่อไป และแล้ว.. พวกเราก็เริ่มได้กลิ่นบุหรี่..
ควันขาวๆ เริ่มลอยขึ้นจากใต้เตียงพี่ป๊อป ใช่แล้ว..มันมีไอ้แป๊ะคนหนึ่งดูดบุหรี่บนรถแอร์ เราทำได้แต่มอง แต่มันก็ดูดต่อไปพร้อมเล่นเกมส์มือถือ ไอ้เด็กนรกสองตัวก็ยังคงเล่นกันอย่างเมามัน
เสียงเพลงจีนดังขึ้นเป็นระยะจากข้างหลัง ต่อด้วยเสียงคนพูดที่รับสายโทรศัพท์มือถือจากใครสักคน
ควันสีขาวมันเริ่มโผล่ด้านหน้ารถ.. oh shit! คนขับรถก็ดูดบุหรี่ หัวเรือเปิดทาง ไม่นานนักมันก็มีหลายเตียงที่ดูดตาม..
ดูดกันควันโขมง.. ปานว่าเป็นยาบำรุงกำลังให้ไอ้เด็กเวร 2 ตัว เล่นกันต่อไป
พวกเราได้แต่มองหน้าคุยกันงึมงำๆ ส่วนผมได้แต่พยายามทำใจว่าเมื่อไรยาจะออกฤทธิ์แล้วหลับเป็นตาย
ผมนอนดมบุหรี่พร้อมฟังเสียงบรรเลงเพลงมวยจากไอ้เด็กนรกสองตัว พรางมองออกไปดูวิวนอกหน้าต่าง แม้จะมืดแต่ก็พอเห็นและรู้สึกได้ว่าถนนที่วิ่งจากเมืองจิ่งหงไปต้าลี่เป็นเขาคดเคี้ยวไปมา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตลอด
ถนนหลายจุดเป็นสองเลนมีรถสวนกันตลอด ดูไปดูมารู้สึกสนุกและลุ้นตลอดทาง บางทีล้อของรถคันข้างหน้าหมิ่นเกือบตกถนนมาก รถเราเองก็คงไม่ต่างกันนัก แต่คงเพราะความชำนาญทางของคนขับ มันก็ไม่ยอมตกถนนเสียที!!!
“อ้วกกก..!”
มีเจ๊คนหนึ่งเมารถ..
“แหวะ….!”
ใครก็ไม่รู้มาอีกระลอก..
“ขากกกกกก.. อ้วววววก..”
อีเจ๊คนเดิม..
“@#$)!(#@J@Q!)FIQ”
เสียงไอ้เด็กนรกสองตัวยังโวยวายตีกันอยู่
ควันบุหรี่ลอยฟูฟ่อง เป็นระยะ…
…
..
.
ยานอนหลับไม่ช่วยอะไรกรูเลย.. T-T
…
..
.
จีน 101
จำไม่ได้ว่าทนดม ทนฟัง ไปนานแค่ไหนกว่าจะหลับ
แต่รู้ตัวอีกทีรถบัสจอด ผมจึงตื่น
มองออกไปฟ้ายังมืดมาก มีรสบัสหลายคนจอดเรียงข้างๆ
ได้ยินไอ้เฮียคนขับพูดอะไรสักอย่าง “@#!@ เช้อซัว @!#”
โอเค พอจับใจความได้ว่า จอดให้กรูเข้าห้องน้ำ (Cèsuǒ แปลว่า ห้องน้ำ)
ก้าวแรกที่ลงจากรถ แทบอยากกระโดดกลับ เพราะหนาวมากครับ
เริ่มมีกลิ่นเปรี้ยวๆ โชยมาแต่ไกล.. พวกเรารู้ทันทีว่านั่นคือห้องน้ำ
เหล่าคนจีนหลายคนรีบสาวเท้าลงจากรถเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
พวกเราก็เดินตามไปสำรวจพื้นที่ด้วย
ทางเข้าห้องน้ำเป็นช่องแคบๆ
พอเดินเข้าไปคล้ายๆจะมีทางเข้าสองฝั่ง
เขียนด้วยตัวอักษรจีนเพื่อบ่งบอกว่า คือ หญิง (女) ชาย (男)
(จริงๆ ผมจำได้แต่ตัวอักษรหญิง แค่อย่าไปเข้าทางนั้นก็พอ)
ก้าวแรกที่เดินเข้าไป กลิ่นแรงมากๆๆๆ
สิ่งที่ผมเห็นคือบ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน บนพื้นปูนยกสูง
หลังจากเจอตอนเย็นไปแล้ว บวกกับความมืด เลยพอทำใจได้
ผมก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นปูนปรัมพิธี
ไม่หันซ้ายและขวาเพราะรู้ว่าจะมีสิ่งใด
บรรจงมองลงไปที่ร่องกลางระหว่างขาตัวเอง
oh shit!!..
นี่มันไม่ใช่คำอุทานที่ตั้งใจจะเขียน
แต่มันเป็นขี้จริงๆ ขี้เต็มร่องเลยครับ!
ผมรู้ว่าร่องมันลึก แต่ขี้ก็พูนทะเนินสูงเกือบปริ่มร่อง
แล้วมันก็ทับถมยาวลงไปจนถึงรางด้านหน้า
คือผมไม่รู้ว่ามันทับถมกันมากี่วัน หรือกี่คน
รู้อย่างเดียวคือ พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองฉี่แรง
คือถ้าผมฉี่แรง เกรงว่าขี้มันจะกระเด็นติดรองเท้า
ห้องน้ำผู้หญิงที่พี่แอนถ่ายไว้
คือ หลายปีก่อนผมมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้กับครอบครัว ผ่านบริษัททัวร์
ทัวร์มันพาผมแวะห้องน้ำข้างทาง มันยังไม่น่าอนาถขนาดนี้
คือ จมูกก็ต้องกลั้นหายใจ แล้วฉี่ค่อยๆ
รีบทำธุระให้เสร็จ แล้วผมก็รีบเดินออกมา
สอบถามความรู้สึกของเพื่อนแต่ละคน
เหนือคำบรรยายทุกคนเลยครับ โดยเฉพาะผู้หญิง!
หลังจากบ่นกันเสร็จ เราเดินไปที่บ้านอีกหลัง
ที่นั่นเป็นร้านข้าวต้มที่ทางรถโดยสารเขาจัดไว้ให้เราทาน (เหมือนของไทยเลย)
แต่พวกเราเลือกที่จะไม่ทานครับ
เพราะดูจากสภาพจานและตะเกียบ
คงมีแววได้เข้าไปขี้ทับถมกันส้วมสถานีหน้าแน่ๆ
พวกเรา เดินไป เดินมาแถวหน้ารถ จนคนขับเปิดประตูและกวักมือเรียกให้ขึ้นไปได้
นั่งไปสักระยะ ก็เริ่มบรรเลงกันอีกรอบแล้วครับ
ทั้งบุหรี่ และอ้วก และดีหน่อย รอบนี้ไม่มีเสียงเด็ก มันคงหลับไปกันหมดแล้ว
วงจรเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งคืนการเดินทางของผม
เดี๋ยวก็ดูดบุหรี่ ดูดเสร็จนอน นอนเสร็จลุกมาอ้วก อ้วกแล้วดูดต่อ แล้วก็นอน…
ผมก็ทำได้แค่หลับๆ ตื่นๆ เพราะเพลียมากๆ
เริ่มชินและเริ่มทำใจยอมรับมัน
เอาเป็นว่า นี่แหละครับ original chinese
พวกผมมาถึงจีนแล้ว!
ไว้ตอนหน้า ผมจะเริ่มพาเข้าไปสู่ต้าลี่และลี่เจียงต่อไป
ตอนนี้ขอจบเท่านี้ครับ
บาย….