iFew

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ชื่นชอบหลายเรื่องที่ไม่น่าจะไปกันได้ ทำงานไอที แต่ชอบท่องโลกกว้าง รักประวัติศาสตร์ แต่ก็สนใจเทคโนโลยี ชอบสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และไปป้ายยาคนอื่นต่อ

ความอดทน คือ อะไร

ความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาหรือ ไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่น เหมือนแผ่นดินซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีคนเทอะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรก หรือของดีงามก็ตาม

งานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก งานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอัน หนึ่งเป็นพื้นฐาน จึงจะสำเร็จได้ คุณธรรมอันนั้น คือ ขันติ

ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใดสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรรมสำหรับทั้งต่อต้านความท้อถอย หดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้ เกิดความขยัน และทำให้เห็นอุปสรรคต่าง ๆ เป็นเครื่องท้าทายความสามารถ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุกชิ้น ทั้งทางโลก และทางธรรม คือ อนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้น

โดยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

“ยกเว้นปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าขันติเป็นคุณ ธรรมอย่างยิ่ง”

….

ลักษณะของความอดทนที่ถูกต้อง

  1. มีความอดกลั้น คือ เมื่อถูกคนพาลด่า ก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ทำหูเหมือนหูกระทะ เมื่อเห็นอาการยั่วยุ ก็ทำราวกับว่าไม่ได้เห็น ทำตาเหมือนตาไม้ไผ่ ไม่สนใจใยดี ไม่ปล่อยใจให้เศร้าหมองไปด้วย ใส่ใจ สนใจ แต่ในเรื่องที่จะทำความเจริญให้แก่ตนเอง เช่น เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
  2. เป็นผู้ไม่ดุร้าย คือ สามารถข่มความโกรธไว้ได้ ไม่โกรธ ไม่ทำร้าย ทำอันตรายด้วยอำนาจแห่งความโกธนั้น ผู้ที่โกรธง่ายแสดงว่ายังขาดความอดทน มีคำตรัสของท้าวสักกะ เป็นข้อเตือนใจอยู่ว่า “ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธก่อนแล้ว ผู้นั้นกลับเป็นคนเลวกว่า ผู้ที่โกรธก่อน ผู้ที่ไม่โกรธต่อบุคคลผู้กำลังโกรธอยู่ ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ชนะสงครามอันชนะได้ยากยิ่ง”
  3. ไม่ปลูกน้ำตาให้แก่ใคร ๆ คือ ไม่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเจ็บแค้นใจจนน้ำตาไหลด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราดของเรา
  4. มีใจเบิกบานแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ คือ มีปีติอิ่มเอิบใจเสมอๆ ไม่พยาบาท ไม่โทษฟ้า ไม่โทษฝน ไม่โทษเทวดา ไม่โทษโชคชะตา หรือไม่โทษใครๆ ทั้งนั้น พยายามอดทนทำการงานทุกอย่างด้วยใจเบิกบาน

สรุปแบบภาษาที่เข้าใจง่ายๆ คือ ถ้าหากรู้สึกโกรธแล้ว จงมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป เก็บอารมณ์ไว้ และไม่ทำให้ตัวเราและคนรอบข้างต้องเจ็บช้ำน้ำใจ, ส่วนการป้องกันความโกรธนั้น คือ ไม่ให้โทษใครๆ คิดดี และทำใจให้สดใสอยู่เสมอ

….

ทิ้งท้าย

เวลา………….หนึ่ง
สายน้ำ…………หนึ่ง
คำพูด…………หนึ่ง
โอกาส …………หนึ่ง
ลูกปืน……….. หนึ่ง

สิ่งเหล่านี้ ถ้าหากหลุดไปแล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้
คนพูด พูดไปแล้วอาจจะลืม
แต่คนฟัง ฟังแล้วตกถึงหู กระทบถึงใจ…

บางคนอาจจะลืม
แต่ก็มีบางคนไม่สามารถลบเลือนไปจากใจได้เลย… ตลอดชีวิต

….

คัดลอกมาจากบล็อกเก่าของผม: http://ifew.exteen.com/20050920/entry

เรื่องของผมกับเว็บมาสเตอร์แชมป์

ไม่ได้อัพ blog มานานแสนนาน และแล้วก็ต้องมาอัพแต่คงพักการอัพประสบการณ์ของการบวชไปก่อน เพราะตอนนี้รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนคนนี้มากเหลือเกิน เพื่อนคนนี้ก็คือ เว็บมาสเตอร์แชมป์ของ Exteen นี่เอง

ก่อนจะไปกล่าวถึงเนื้อหาหลักๆ ก็จะขอเกริ่นถึงความหลังครั้งหนุ่มๆ ที่ได้รู้จักกันมา ร่วม 5 ปี ซึ่งสมัยก่อน แชมป์จะอยู่โรงเรียนนครสวรรค์ ส่วนผมจะอยู่โรงเรียนสตรีนครสวรรค์

ในสมัยนั้นจะมีการแข่งขันเขียนเว็บไซต์ในงานโลกวิชาการ ซึ่ง เราทั้งคู่ต่างก็จะเป็นตัวแทนของแต่ละโรงเรียนมาแข่งกัน เพราะการแข่งขันฟาดฟัน จึงทำให้ได้รู้จักกัน และช่วงเดียวกันนั้น ผมก็ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเว็บไซต์ นักเรียนในจังหวัดนครสวรรค์ของพี่เป้ (PeaPea) (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นwww.ns.edu.th) จึงทำให้พบแชมป์บ่อยครั้งมากขึ้น แล้วได้คุยกันเรื่องของเว็บไซต์ เรื่องของคอมพิวเตอร์

จนปัจจุบัน แชมป์ก็ไปเรียนที่ ม.เกษตร ส่วนผมก็อยู่ที่ราชภัฏนครสวรรค์ จึงทำให้ห่างเหินกันไปพักนึง แต่ก็มีคุยทาง MSN บ้าง จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมต้องการจะทำ Server เป็นของตนเอง จึงได้หาทางก่อตั้งขึ้นมา โดยถามแชมป์ว่าสนใจไหม แชมป์ก็สนใจ เพราะมีแผนการสำหรับ Exteen ในอนาคตพอดี (แต่กว่าแชมป์จะย้ายมาอยู่ ก็หลังจากเปิด Exteen ได้สัก10 เดือนมั้ง) เราก็เลยได้คุยกันมาตลอด และเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ และก็ได้ตั้งชื่อเครือข่ายเว็บไซต์ของพวกเราว่า 2x Network (2 = 2capsule.comtosdn.com | x = exteen.com)

เอ้อ ลืมบอกไปว่า มีเจ้าต่าย อีกคนหนึ่งที่แชมป์พามารู้จัก ซึ่งในสายตาของผม (ใครมองว่าต่ายไม่เก่งก็ช่างมัน) เจ้านี่เก่งคอมพิวเตอร์มากๆ เขียนโปรแกรมได้แบบว่าสุดยอด

เอาหละครับ พอรู้ที่มาของพวกเราคร่าวๆ แล้ว ก็จะมาถึงจุดไคลแม็คที่ผมอยากจะบอกกับเพื่อนๆที่เข้ามาใช้ใน Exteen บางอย่าง แบบเปิดอกเลยหละ

พวกเราที่ทำกันอยู่ตรงนี้เริ่มต้นทำเว็บไซต์ด้วยความที่มีใจรัก มีหลายคนนะครับ ถามกับผมว่า “ทำไปทำไม ไม่เห็นจะได้อะไรกลับมา หรือไม่เห็นจะได้เงินเลย” ผมก็จะตอบกลับได้ทันทีว่า ผมทำเป็นงานอดิเรกทำแล้วสนุกดี ทำเพราะใจรัก หลายคนที่เข้ามาใช้บริการของเราเมื่อเขาได้เข้ามาแล้วเขาพอใจ เราก็ดีใจด้วย เราก็ปลาบปลื้มใจว่า สิ่งที่เราทำนั้น สร้างความสุขให้แก่ผู้ใช้ได้

บางครั้งเรามักจะเจอผู้ใช้บางคนแนะนำสิ่งต่างๆ ให้แก่เรา ว่า เราควรจะเพิ่มตรงนั้นตรงนี้ ควรจะมีอย่านั้นอย่างนี้เหมือนที่เว็บอื่นมี ซึ่ง ต้องขอขอบคุณมากๆเลยนะครับ มันเป้นคำแนะนำที่ดีมากๆ และเป้นสิ่งที่พวกเราจะต้องทำตามแน่ๆ แต่บางครั้งที่เราไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้หมดก็ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ
1. ตอนนี้สถานะภาพของเรา คือ นักศึกษา ที่จะต้องเรียน และทำกิจกรรมในชีวิตหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะทางแชมป์และต่าย มีกันอยู่ 2 คนแต่ต้องดูแลสมาชิกมากกว่า 15000 ซึ่งทำให้ผมเห็นใจมากๆ
2. เว็บไซต์แต่ละเว็บจะมีจุดยืนเป็นของตนเอง โดยเฉพาะ Exteen ซึ่งแชมป์ไม่ต้องการจะให้สังคมในนี้เปลี่ยนไป ไม่ต้องการให้ความอบอุ่นเปลี่ยนไป ซึ่งถ้าคุณลองเปรียบเทียบ Exteen กับ Blog ของไทยที่อื่นๆ (หรือไดอารี่บางที่) คุณจะพบได้ว่า สังคมมันไม่เหมือนกับที่นี่ หลายๆ เว็บ จะไปสร้างบริการอื่นๆ ให้หลากหลาย เพื่อยกระดับจำนวนคนเข้าชมให้มากขึ้น ทั้งๆที่จุดยืนของเขาคือ Blog! (หรือไดอารี่) ทำไปทำมา เหมือนกับเว็บนั้นจะเป็นเว็บวาไรตี้ไปเสียแล้ว และเขาไม่เคยพัฒนาระบบบริการหลักของเขาเลย ซึ่งมันจะต่างกับทาง Exteen ที่แชมป์กับต่ายจะไม่ไปทำบริการอื่นๆ แต่จะตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาระบบ Blog อย่างเดียว จนทุกวันนี้ Exteen ถึงมีอย่างที่พวกเราๆ ท่านๆ ได้เห็น

ช่วงหลังๆ มานี้ ผมได้สนทนากับแชมป์บ่อยขึ้น และนานกว่าเดิม ซึ่งเรื่องที่จะพูดกันส่วนใหญ่คือ แชมป์หนักใจเรื่องของความเปลี่ยนแปลงใน Exteen แชมป์กลัวเพื่อนๆ จะไม่เข้าใจคำว่า Blog และจุดยืนของ Exteen (จนหลายคนมองว่า “ทำไมที่นี่ต้องบังคับกันด้วย”)

แชมป์ ไม่อยากเห็นสังคมของ Exteen สับสนเหมือนเว็บไซต์อื่นๆ บางครั้งเราสามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้ แต่บางครั้งเราก็ต้องดูสภาพแวดล้อมสมาชิกและจุดยืนของเว็บไซต์นั้นๆ ด้วย อยากให้เพื่อนๆ มองว่า ถ้าหาก แชมป์รักษาจุดยืนของ Exteen ไม่ได้ บัดนี้ Exteen คงจะเต็มไปด้วย คำหยาบ, ปั่นBlog, ปั่นคอมเม้น, คอมเม้นไร้สาระ, blogไร้สาระ, blogที่ใช้ไม่ถูกจุดประสงค์ เต็มไปหมด….. อยากบอกว่าที่ Exteen ไม่เป็นเหมือนที่อื่น เพราะเพียงประโยคๆ เดียวที่ว่า “จุดยืนเรามั่นคง”

วันนี้แชมป์บอกกับผมว่า แชมป์ร้องไห้ (ถ้าแชมป์ไม่อยากให้ใครรู้ เราก็ขอโทษด้วยนะ) แชมป์ร้องไห้เพราะว่าแชมป์เหนื่อย ผมสงสารเพื่อนผมมากๆ และอาจจะมีสมาชิกหลายท่านที่ได้อ่าน รู้สึกเช่นเดียวกับผม ผมก็เป็นเว็บมาสเตอร์ ผมก็พอเข้าใจในสิ่งที่แชมป์ประสบอยู่ว่ามันหนักใจเหนือยใจแค่ไหน

ที่ผมเขียนมาทั้งหมด ผมอยากบอกเพื่อนๆ สมาชิก ว่า แชมป์(และต่าย) เหนื่อยมาก กับการเรียกร้องบางอย่าง หรือถามปัญหาบางอย่าง ที่มันขัดกับจุดยืนของ Exteen ซึ่งในใจของแชมป์กับต่าย อยากทำให้นะครับ อยากตอบสนองทุกอย่างให้ทันที แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยสาเหตุที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น…. ความเป็นเว็บมาสเตอร์ จะต้องเป็นผู้ที่มีใจรักในงานบริการครับ งานบริการก็คือต้องทำให้สมาชิกทุกคนได้รับความสุข ได้รับประโยชน์มากที่สุด แต่สมาชิกเองก็ต้องคิดถึงเว็บมาสเตอร์ คำนึงถึงส่วนรวม ด้วยว่าสามารถไปกับสิ่งที่เราต้องการได้ไหม…. เว็บไซต์ถูกทำขึ้นด้วยคน เช่นเดียวกับถูกใช้งานด้วยคน ดังนั้นเว็บไซต์ก็มีจิตใจครับ โดยสื่อออกมาผ่านทางรายละเอียดและระบบต่างๆ กราฟิกต่างๆ ด้วยเหตุผลนี้ จะเห็นว่า แชมป์กับต่ายรัก Exteen ครับ Exteen ถึงออกมาให้พวกเราได้เห็นแบบนี้

ปล. ยินดีต้อนรับเพื่อนๆ ที่มาจาก ไดอารี่ฮับ นะครับ ผมเชื่อว่า ที่นี่จะเป็นที่ๆ เพื่อนๆได้รับความอบอุ่นไม่แพ้ที่อื่นๆ เลย

ปล2. รูปข้างล่าง คือแชมป์ กับ ต่าย เจอปุ๊บ ดักตีหัวได้ 555 ตอนนี้เป็นตอนที่ เรากำลังทำ Exteen อยู่ที่ ห้องเก็บ Server ในตึก กสท (คิดว่าน่าจะประมาณตี1 ได้มั้ง) ช่วงนั้นมันส์มาก ตี 2 เดินไปซื้อของที่ 7-11 แถวบางรัก แล้วทำกันยันเช้า (4โมงเย็น – 9 โมงเช้าอีกวัน) แต่ก็คุยกันครับว่า เป็นชีวิตที่สนุกมากเป็นชีวิตที่เราต้องการเลยทีเดียว มันบ้าดี 55

52PM0011

52PM0013

source: http://ifew.exteen.com/20050913/entry

บันทึกการออกบวช วันที่ 7

วันที่ 27 พค. 2548 (บ.27/05/2548 – ตอนดึก 28/05/2548exteen.02/07/2548)

วันนี้ตอนบิณฑบาตร ท่านปอนให้เรานำทาง เราเลยนำทางและผู้นำทางจะต้องนำสวดด้วย พอมาถึงตลาด รายแรกที่ใส่ เราขึ้น “สัพพีฯ” แต่ท่านปอนคงไม่ได้ยิน เลยนึกว่าเรารอ ท่านเลยขึ้น “อภิวาฯ” สรุปหน้าแตกครับ เราเลยรีบเปลี่ยนไปท่องตาม แล้วก็รีบเดินจากไปที่ร้านม่าต่อ

binthabat

เส้นทางบิณฯ ของเรา (ณ ตลาดปากน้ำโพ อำเภอเมือง นครสวรรค์)

เสร็จจากร้านม่า เราก็ไปซอยที่ขายดอกไม้ เพื่อไปให้ญาติเส่ คราวนี้ขึ้น “สัพพีฯ” เหมือนกัน แต่เราท่องข้าม ก็เลยหน้าแตกรอบสอง พอเสร็จก็รีบจ้ำไปทันที

เลี้ยวโค้งได้มุมหนึ่ง ดันทำข้าวเหนียวหมูย่างล่วงอีก เลยรีบเก็บ แล้วเดินต่อไป พวกพระใหม่ 2 ท่าน (ท่านก๋า,เก่ง) กับท่านปอนเดินตามเราห่างมาก เราก็ว่าเราเดินช้านะ แต่ท่าน 3 คนเดินห่างจนเหมือนกับมาคนละขบวน

พอเดินไปใกล้จะถึงตลาดบ่อนไก่ หันกลับไปมองขบวน ปรากฏว่าเขารับของจากโยมกันอยู่ 3 รูป แต่ไอ้เราเดินเลยมา โอ้ววันนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ

วันนี้บิณฑบาตรได้ของเยอะมาก เมื่อยไหล่ ปวดแขน พอสมควร จากนั้นก็ฉันเช้า

ถึงเวลาเพล โยมม่าซื้อต้มเครื่องในกับข้าวมันปูมาให้ และหลวงตาท่านสั่งให้เณรไปซื้อผัดไทย เณรดันไปซื้อพิเศษมาอีก ไอ้เราไม่อยากขัดศรทธาโยม ก็เลยฉันข่าวไป 1 ห่อ + ผัดไทยอีก 1 ห่อใหญ่ๆ วันนี้แน่นท้องมากๆ แถม ก่อนเพล โยมปุ้ยให้ซาลาเปา 2 ลูก โดนัท 2 ถุง ไส้กรอก 4 ชิ้น มาด้วย เลยต้องขึ้นมาฉัน ซาลาเปา คนละลูกกับหลวงตา เพราะกลัวเสีย ตกบ่ายเลยหลับยาว

ปล.วันนี้ ฉันเช้า ได้ขึ้น “ยะถาฯ” เป็นครั้งแรกด้วย

บันทึกการออกบวช วันที่ 6

วันที่ 26 พค. 2548 (บ.27/05/2548 exteen.02/07/2548)

วันนี้จำวัดทั้งวัน มีช่วงบ่ายที่นั่งคุยกับหลวงตาตลอด เลยไม่ได้จำวัด คุยกันตั้งแต่เรื่องสามัญชน – นายก – เชื้อพระวงศ์ วกกลับมาเรื่องส่วนตัวของเรา เรื่องสถาบัน เรื่องแนวคิดทางการใช้ชีวิตบางอย่าง สารพัด จนหลวงตาบอกว่าวันนี้ต้องปลงอาบัติอย่างหนัก ข้อหาพูดเพ้อเจ้อ 55

แต่หลวงตาท่านชอบพูดว่า “แหม่ พูดไปก็บาป แต่ขอพูดหน่อยเหอะ” ฟังแล้วก็ขำในใจ สรุปวันนี้ก็เลยปลงอาบัติกันยกใหญ่ (ปลงทุกวันอยู่แล้ว)

ตกเย็นฝนตก ก็เลยคุยโทรศัพท์กับโยมแม่ โยมม่า ท่านพูดทำนองว่ากลัวเราจะไม่สึก หรือสึกช้ามั้ง เลยเร่งให้เราไปดูวันสึกได้แล้ว เราเลยบอกว่าเดี๋ยวจะดูให้ จากนั้นก็คุยกับโกวจั่น เล่าเรื่อง ประสบการณ์วันที่ 25 ให้ฟัง และโกวจั่นก็เล่าว่า วันที่เราบวชช่วงเช้าเสร็จ ตอนบ่ายโกวจั่นก็หลับ ฝันเห็นป๊า อากง อาม่า ญาติเราที่เสียไปแล้วมาหาที่บ้าน แต่ไม่มีท่าทีหรือพูดอะไร โกวจั่นเลยบอว่าเขามารับรู้ว่าเราบวชให้ เราเลยเล่าเรื่องที่ฝันถึงป๊าติดคุกตอนใกล้จะบวชให้ฟังก็หวังว่าการมาเข้าฝันโกวจั่น คงจะเป็นการบอกว่าเป็นสุขดีแล้ว

source: http://ifew.exteen.com/20050702/entry-1

บันทึกการออกบวช วันที่ 5

วันที่ 25 พค. 2548 (บ.27/05/2548 exteen.02/07/2548)

วันที่เป็นวันที่มีนาคสองรูปมาบวช (ท่านก๋า ท่านเก่ง) เราเลยต้องลงโบสถ์ จากนั้นก็กลับมารอฉันเพล แต่พอดีว่ามีหลวงพี่มานิมนต์ไปฉันข้างนอก เราก็เลยไป (ไปกับท่านชิว นอกนั้นก็มีพระที่แก่พรรษาไปอีก 7 รวมเป็น 9)

ขอบอกครับว่าวันนี้ก็เป็นสุดยอดประสบการณ์ตั้งแต่เกิดครับ เพราะที่ๆ ไปฉันนั้น คือ.. ซ่อง แถมไม่ได้ไปธรรมดาด้วยครับ แต่ไปสวดทำบุญให้กับผู้ตาย

โอ้โฮ ก้าวแรกที่เข้าไป เจอแต่เด็กสาว อายุน่าจะไม่เกิน 18 กันซะเยอะ บรรยากาศ อึมครึมๆ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามาสวดอะไร ถามหลวงพี่ท่านหนึ่ง เขาก็ยิ้มๆแล้วบอกให้ไปถามอีกท่านหนึ่ง เราก็เลยไม่ได้อะไร แต่พอสวดจบ เห็นว่านานมากและทำน้ำมนต์ไปพรมตามบ้านด้วย กอปรกับต้องถือสายสิญด้วย เราเลยถามหลวงพี่อีกรอบว่า “เหมือนที่ผมคิดหรือไหม” ท่านเลยยิ้มๆ และพยักหน้า เราเลยถามอีกว่า “เรามาไล่ผีกันใช่ไหม” ท่านก็พยักหน้า โอ้โฮ มีความรู้สึกทันทีว่ามีอะไรบางอย่างครอบงำบ้านหลังนั้นไว้ ทุกอย่างดูวังเวงทันที

พอฉันเพลเสร็จก็กลับมาที่วัด หลวงตากับหลวงพี่ปอนก็กลับจากฉันเพลบนศาลาพอดี หลวงตาบ่นตลอดว่าฉันไม่ได้เลย เพราะเผ็ดบ้าง,แข็งบ้าง ฉันได้อย่างเดียวคือข้าวผัดไข่

ถึงเที่ยง เราก็เลยไปราชภัฏ เพื่อคุยกับอาขารย์อ้อย ขอเวลาให้ทีมงาน Young Quality Assuranceขึ้นไปปฐมนิเทศน์ กับขอเข้าเรียนตอนเป็นพระ แต่อาจารย์ท่าน ให้ไปเข้าประชุมกับพวกอาจารย์ ก็เลยได้เป็นขี้ปากไปโดยปริยาย(ปล.ที่เราต้องไปทำ YQA เพระเราเป้นประธานอยู่ ดังนั้น ถ้าไม่ดำเนินการก็จะไม่มีคนทำแทน+ ไปขอเข้าเรียน ก็เลยจำเป็นจะต้องไป)

อาจารย์บางท่านก็ถือฐิถิว่าเราเป้นลูกศิษย์เขา บวชไม่นานก็สึก เลยไม่ยกมือไหว้ บางท่านก็พูดเหมือนแซวๆ บางท่านก้เหน็บแนม เช่น พูดให้เราได้ยินแล้วชวนให้คิดว่า การมาของเราเป็นเกียรติอย่างสูง (เน้นเสียง เกียรติ หนักๆ) และก็บอกว่า “ท่านนี่รักกิจกรรมดีนะ” พูดเหมือนกับว่าเราบ้ากิจจกรมโดยไม่ดูสถานะตัวเองเลย

แต่เราก็ไม่ได้อะไร คิดแล้วก็ผ่านไป ได้แต่นั่งสำรวมฟังที่ประชุม เลยได้ความลับบางอย่างว่า ท่านเหล่านั้นพยายามจะหาประโยชน์จากกิจกรรมปฐมนิเทศน์ ซึ่งมันก็ไม่ผิดหรอก แต่รู้สึกว่าจะ อยากได้กันแบบเกินหน้าเกินตาไปหน่อย บางครั้งถ้าให้คำตอบไม่ได้ ท่านประธานก็จะบอว่า “ไว้คุยกับผมเป็นการส่วนตัวดีกว่า” (เอาเป็นว่ารู้กัน)

หลังจากนั้นก็ได้ไปพบกับผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ เพื่อคุยว่า เราเป้นพระจะขอเรียนได้ไหม เพราะการสึกจะกินเวลาเรียนไปอีก 10 วัน ท่านเลยบอกว่า ตามกฏแล้วห้ามพระมาสมัครเรียนที่นี่ แต่พอดีเรามาบวชกลางครัน ก็เลยให้เราไปถามอาจารย์ผู้สอนแต่ละท่านว่าสะดวกไหม ถ้าสะดวกก็มาเรียน ถ้าไม่ก็ไม่ต้องมา และก็บอกเสริมอีกว่าถ้ามาเรียนเกิน 80% ก็ยังมีสิทธิสอบ เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า”หยุดแค่สองอาทิตย์ คุณไม่ต้องมาหรอก หยุดไปเถอะ” (ตอนแรกคิดว่าเราเป็นพระมานาน ก็เลยยกมือไหว้ แต่พอรู้ว่าเราเป้น นศ.ของเขา ตอนจะกลับ เข้าเลยไม่ไหว้เราเลย แถมก้มหน้าทำงานต่อไม่สนใจเราด้วย เหอๆ)

วันนี้มันทำให้รู้สึกเบื่อทางโลกอย่างไรก็ไม่รู้ รู้สึกว่าฟุ้งซ่านมาก รู้ทันทีว่าถ้าสึกออกไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง แค่คิดก็วุ่นวายแล้ว กลับมาถึงวัดก็เลยเล่าให้หลวงตาฟัง และตกเย็นก็เล่าให้แม่ฟัง แม่เลยบอกว่าอย่าคิดมากและก็ถามวันสึกของเรา เราเลยบอกว่าเอาไว้ก่อน เขาก็เลยคุยเรื่องอื่นแล้วก็กลับบ้าน

source: http://ifew.exteen.com/20050702/entry