Challenge

เคยบอกตัวเองว่ายิ่งแก่ตัวไป จะต้องยิ่งแข็งแรง
ตอนนี้รู้สึกเป็นเช่นนั้น ปั่นจักรยานหลายๆกิโล วิ่งหลายๆกิโล ทนแดด ทนฝน เดินไกล ปีนเขา และถึงแม้จะยังน่ารักจ้ำม่ำอยู่ แต่ก็แข็งแรงกว่าช่วงหุ่นดีๆตอนเล่นยูโด จะมีแย่อย่างเดียวคือตัวไม่ยืดหยุ่น เลยผาดโผนได้ไม่เต็มที่

ล่าสุดทำสควอตต่อเนื่องได้ 120 ซึ่งก็ไม่เคยทำได้ แต่ก็ทำได้ แอบได้ปรัชญาชีวิตเพิ่มมาอย่างหนึ่ง คือ เราทำได้ทุกอย่าง แต่กลัวที่จะทำ (เพราะเผื่อแรงไว้ทไมไม่รู้ำ) ซึ่งถ้าอดทนทำมัน มันก็ทำได้ทุกอย่าง จริงๆนะ

ตอนนี้มีทัศนะคติที่ดีว่าทุกอย่างป็นการ challenge แต่บอกตามตรง ว่าการ challenge นั้นต้องมีเป้าหมายที่ให้ประโยชน์แก่ตัวเองเสียก่อน เพื่อให้มีเหตุผลที่จะทำ เพราะเราเป็นพวกคิดเยอะไง พอจะแข่ง เราก็คิดว่า จะแข่งไปทำไมวะ ซึ่งทุกวันนี้เจอพวกเด็กแว๊นซ์ท้าแข่งอยุ่บ่อยๆตอนขี่มอเตอไซต์ คือ ไม่รู้จะแข่งไปทำไม ชนะแล้วยังไง ไม่ช่วยให้ชีวิตกรุดีขึ้นมา แต่ถ้าพลาดไป ตายห่าไปก็โครตงี่เง่าเลย

คือบางทีก็คิดว่าการคิดแบบนี้ก็ดี ชีวิตมันปลอดภัย สมดุล เรียบง่าย ไม่ดิ้นรนเป็นไปตามหลักการทางธรรมมากๆ แต่ก็อีกทางหนึ่ง กรูอยากจะใช้ชีวิตโดยไม่ขยับขึ้นไม่ลิขิตอะไรเอง และเพื่อจะตายไปแบบนี้จริงๆหรือ

คือไอ้เรามันเป็นคนที่ contrast ในตัวเองสูง ชิบหาย ตีกันทางความคิดตลอด คือถ้าเห็นผมนั่งเงียบๆ บางทีตอนนั้นกำลังตีกับตัวเองอยู่ ซึ่งนี่แหละคงเป็นเหตุว่าต้องมีคนให้คำปรึกษา ต้องคอยถามคนอื่นบ่อยๆ ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะทางเลือกแม่งเยอะเกิน (มันคือปํญหาของคนคิดมาก) คือเหมือนปลาว่ายทวนน้ำ มีเส้นทางเยอะแยะให้เลือก แต่ไม่เห็นปลายสายว่ากรูจะออกทะเลไหน หรืออย่างเลวก็ไปอยู่ในโคลนตมที่ไหนสักแห่ง

แต่ถ้าย้อนกลับไปแบบคิดไม่ดิ้นรน เรียบง่าย มันก็จะเจอปัญหาของคนไม่คิดอะไรเลย นั่นคือ ก็ไม่มีอะไรเลย สุขแบบไม่มีอะไรจริงๆ แบบปลาไหลล่องไปตามน้ำ แล้วสุดท้าย ก็เหมือนกัน คือ มีเส้นทางเยอะแยะให้ไหลไป แต่ไม่เห็นปลายสายเหมือนกัน

แต่ในความคิด ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมคิดว่า ถ้าจะดีจะเลว จะตัดสินใจอะไร ก็ขอให้เป็นด้วยน้ำมือตัวเอง ลิขิตเองจะดีกว่า แบบ ถ้าจะขี่มอเตอร์ไซต์แล้วคว่ำ ก็ให้กรูคว่ำด้วยตัวกรูเองดีกว่า ไม่ใช่วินพาคว่ำ แม่งรู้สึกเสียศักดิ์ศรี และงี่เง่าแปลกๆ (แค่ยกตัวอย่างนะ ไม่ต้องคิดว่าเป้นลางจะขี่ผาดโผนไปคว่ำที่ไหน)

ตามธรรมเนียมของผม มักคิดอะไรได้เขียนอะไรได้ตอนดึกๆ เงียบๆ อยู่คนเดียว คิดๆบ่นๆ แป๊บเดียวแม่งจะตี 3 แล้ว นอนดีกว่า

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้..

Interstellar

เป็นหนังที่คิดว่าอาจเฉยๆ(จนเกือบเบื่อ)ในมุมคนดูหนัง แต่จะสนุกมากสำหรับคนชอบเรื่องจักรวาลวิทยา หรือเคยอ่านหนังสือ A Brief History of Time และ The Universe in a Nutshell ของ Stephen Hawking

ที่บอกว่าพวกจักรวาลวิทยาจะชอบ เพราะมันเต็มไปด้วยทฤษฎีฟิสิกส์เรื่องของหลุมดำ รูหนอน กาลเวลา มิติที่ห้า ที่โนแลนได้สร้างเป็นภาพเติมเต็มจินตนาการในสิ่งที่เราจินตนาการไม่ถึง โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นภาพภายในรูหนอน, singularity ที่ก้นหลุมดำ, มิติที่ห้าที่ว่าด้วยเวลาเป็นกายภาพ และผมเข้าใจว่ามันถูกแสดงในรูปแบบสนาม String (เพราะมันทำเป็นเส้นๆ แสดงภาพซ้อนของกาลเวลา ฮ่าๆ) และปิดท้ายด้วยการค้นพบทฤษฎีอะไรบ้างอย่างส่งกลับไปยังโลกด้วยการสื่อสารผ่านแรงโน้มถ่วง (Gravity) อันนี้ผมเข้าใจว่าอาจเป็นทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (The Theory of Everything)

ไอ้ที่เขียนมาเกือบทั้งหมดนักวิทยาศาสตร์ยังเถียงกันอยู่เลยเพราะยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ไม่รู้หละ โนแลนทำให้เห็นละ ถ้าอ่านๆแล้วพอเข้าใจและชอบ ก็สมควรไปดูอย่างยิ่ง

ลองอ่านเรื่องย่อหลุมดำที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนก็ได้ https://myifew.com/956/amazing-black-hole/

สรุปว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการสำเร็จความไคร่ชั่วขณะให้บรรดาสาวกจักรวาลวิทยา ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะเดินทางไปถึง

ความคิดในทุกๆก้าว

ความคิดของผมชัดเจนทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับตัวเอง
บนลู่วิ่ง หรือเส้นทางที่ก้าวเหยียบในทุกๆก้าว
เมื่อเราไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการเคลื่อนไหว..

เริ่มวิ่งไปที่กิโลเมตรแรก..
ผมคุยกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมาจุดนี้ได้ แน่นอนมันเป็นความทะเยอทะยานบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องมาจากการชอบเที่ยว ชอบเข้าป่าและปีนเขา ผมคิดเสมอ ถ้าร่างกายผมไม่แข็งแรงพอ ผมจะพิชิตยอดเขาที่สูงขึ้นไปได้อย่างไรกัน อาจจบที่เขาใดเขาหนึ่ง ไม่สามารถไปต่อที่ที่สูงขึ้นหรือยากขึ้นได้เลย

เข้าสู่กิโลเมตรที่หนึ่ง..
ผมเคยลังเลว่าตัวเองหมดไฟแล้วหรือยัง ทำไมฉันถึงไม่ขยับไปไหนสักที แต่เปล่าเลย สิ่งต่างๆในกิจกรรมที่ผมทำ ผมพบว่าตัวเองยังมีไฟ ยังมีความทะเยอทะยาน และมีพลังมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีใครคนหนึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยมี คุณก็ต้องทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ” นั่นคือการที่ผมลุกมาทำอะไรบ้าๆบอๆ ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ในชีวิต  ผมจึงได้โลกใหม่ ได้ชีวิตที่แข็งแรงขึ้น  และก็ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ๆ

เข้าสู่กิโลเมตรที่สอง..
มันตอกย้ำกับความคิดผมที่ว่า เรื่องราวระหว่างทางย่อมมีความหมายและสวยงามของมันในทุกๆช่วงขณะ และเราจะได้ประสบการณ์จากตรงนั้น ส่วนปลายทางความสำเร็จ  มันเป็นความภูมิใจของเรา ที่ได้สั่งสมประสบการณ์จนมาถึงจุดๆนี้ได้ รอบข้างเราเต็มไปด้วยสิ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจดจำมันไว้ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ดีเสมอ และผ่านมาแล้ว

เข้าสู่กิโลเมตรที่สาม..
ผมเริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากที่มาได้เกิน 60% แล้ว พอๆกับร่างกายที่ตึงพอสมควร แต่เราก็ทำมันได้  ผมพยายามหาเหตุผลและวิธีคิดให้ตัวเองบรรลุอะไรบางอย่าง ผมควรทำอย่างไรดีเพื่อเปลี่ยนพลังความทะเยอทะยานบ้าๆบอๆและไฟเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ บ้าง เช่น งาน เงิน ความรัก บางทีมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีและเร็วกว่านี้ก็เป็นได้

เข้าสู่กิโลเมตรที่สี่ กิโลเมตรสุดท้าย..
ผมเริ่มประมาณการระยะทางที่เหลือ และนับถอยหลังเรื่อยๆ  คำสบถเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัว “แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบหาย เมื่อไรจะถึง” บางทีก็คิดถึงอนาคตที่ว่า “วิ่งจบเมื่อไรกรูจะลงไปนอนแผ่ทันที” กิโลเมตรนี้สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผม มันทำให้ผมเห็นหน้าบรรพบุรุษที่เสียไปแล้ว กำลังกวักมือเรียก เหงื่อแตก น้ำมูกไหล ดั่งธาตุไฟเข้าแทรก มันเป็นช่วงที่ต้องนึกถึงบุญกรรมที่เคยสะสมไว้ในชาตินี้และชาติที่แล้ว  ช่วยดลบรรดาลให้เรามีพลังเฮือกสุดท้ายทำการใหญ่ได้สำเร็จ

สิ้นสุดห้ากิโลเมตร..
อยากจะร้องไห้น้ำตาไหลเพราะทำสำเร็จ  แต่น้ำระบายทั้งตัวผ่านเหงื่อและน้ำมูกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความปวดร้าว จังหวะหัวใจที่เต้นแรง และความภูมิใจลึกๆ ว่า “หนูทำได้” (ตามด้วยเสียงบีบแตร ปี๊บๆ ปี๊บๆ)

 

เรียบเรียงจากคำให้การของนักวิ่งหน้าใหม่

ทำไมคนที่วิ่งชอบอวดในเฟส..

เพิ่งได้นั่งอ่านกระทู้ “ทำไมคนที่วิ่งชอบอวดในเฟส..” รู้สึกว่าจะถามไปทำไมวะ ก็เหมือนคนอวดสิ่งอื่นๆแหละ, ในความคิดผม คนทำ activity แนวนี้ ทั้ง วิ่ง ปีนเขา เดินป่า ปั่นจักรยาน (คือกรูทำหมดไง เลยเข้าใจ) ชอบก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองมากกว่า ไต่เขาสูงและยากไปเรื่อยๆ วิ่งได้ไกลเรื่อยๆ ปั่นจักรยานไกลได้เรื่อยๆ มันก็ภูมิใจในตัวเองนะว่า “เมื่อก่อนกรูทำไม่ได้ แต่ตอนนี้กรูทำได้แล้วว่ะ” มันค่อนข้างสร้างแรงบันดาลใจ (ignite) ให้ตัวเองทำต่อไป และให้คนอื่นได้ลองทำบ้างว่ะ มันเป็นพันธสัญญาอย่างหนึ่งกับตัวเองและผู้อื่นเลยนะเว้ย

รัชกาลที่ 7

เมื่อเช้าได้ดูรายการสารคดีไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ พระราชประวัติของ ในหลวง รัชกาลที่ 7

ผมมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ช่วงนี้น้อยมาก แต่ที่น่าสนใจคือ เรื่องราวของ รัชกาลที่ 7

ถ้าคุยกันในแบบภาษาชาวบ้าน ก็เรียกได้ว่า รัชกาลที่ 7 ท่านทรงขึ้นครองราชในช่วงวิกฤติพอดี ไม่ว่าจะเป็นเงินในท้องพระคลังเหลือน้อย จนประเทศเกือบล้มละลาย, เศรษฐกิจโลกย่ำแย่, สงครามโลก, กบฏล้มล้างราชบัลลังก์

จนสุดท้าย ท่านสละราชสมบัติคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ถูกยึดทรัพย์ ถวายกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเสด็จไปประภาสที่ประเทศอังกฤษเป็นการถาวร ทรงประทับอยู่ในบ้านชานเมืองของกรุงลอนดอน และไม่ได้กลับแผ่นดินเกิดตนเองอีกเลย

ในวันที่ท่านทรงสวรรคต ท่านทรงสวรรคตเพียงพระองค์เดียวภายในบ้านพัก ไม่มีผู้ใดใด้อยู่ดูใจพระองค์ท่าน เนื่องจากท่านรับสั่งให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพฯ ไปดูบ้านที่เคยประทับว่ายังอยู่ดีหรือไม่ (บ้านหลังเก่าที่ถูกทางการอังกฤษยึดไป ท่านย้ายที่ประทับมาสองสามแห่งเพราะภัยสงคราม)

หลังการเสด็จสวรรคต 3 วัน มีการถวายพระเพลิงที่สุสานเล็กๆ
ไม่มีพระมาสวดแม้แต่รูปเดียว ท่านเคยรับสั่งไว้ก่อนเสด็จสวรรคตว่า
ไม่ต้องมีพระบรมโกศ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเป่าปี่ ไม่ต้องประโคม ให้ใส่หีบแล้วก็เผา…

และท่านได้สั่งไว้ด้วยว่าไม่ให้นำกระดูกกลับประเทศไทย
ท่านขอเพียงอย่างเดียว ขอเพลงบรรเลงไวโอลินเพราะๆ หวานๆ สักเพลง ในงานพระศพท่านก็เพียงพอ

นี่แหละครับ ผมคิดว่าคนไทยหลายคนก็คงไม่รู้เหมือนผมมาก่อน หากใครลองค้นหาข้อมูลดู จะพบว่าท่านเป็นกษัตริย์ที่น่าสงสารมากๆ

Exit mobile version