ทำไมกรุงเทพฯ เสียแชมป์ให้เกียวโต

เป็นบทความสั้นๆของ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่กล่าวถึงว่า “ทำไมกรุงเทพฯ เสียแชมป์ให้เกียวโต” โดยอ้างอิงมาจากนิตยสาร Travel and Leisure ซึ่งอ่านแล้วก็พบอะไรหลายๆอย่าง โดยถ้ากรุงเทพฯ ไม่ปรับปรุง คนไทยไม่ปรับปรุง มีหวังเราคงได้เสียแชมป์กันยาวๆ

นิตยสาร Travel and Leisure เป็นนิตยสารการท่องเที่ยวชื่อดังของอเมริกา ได้จัดอันดับเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในเอเชียเป็นประจำทุกปี โดยกรุงเทพฯ ของเราเคยครองแชมป์หลายปี คือ ปี พ.ศ. 2548 – 2551 และ ปี พ.ศ. 2553 – 2556 แต่ปีนี้ (พ.ศ. 2557) กรุงเทพฯ หล่นไปอยู่อันดับ 3 เสียแชมป์ให้เกียวโตของญี่ปุ่น โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

1. เกียวโต 2. เสียมเรียบ 3. กรุงเทพฯ 4. โตเกียว 5. ฮ่องกง 6. เซี่ยงไฮ้ 7. ฮานอย 8. ซีอาน 9. ปักกิ่ง และ 10. สิงคโปร์

Travel and Leisure ทำการสำรวจโดยให้ผู้อ่านตอบแบบสอบถามทาง Website ครอบคลุมเรื่องต่างๆ 6 ด้าน คือ 1. สถานที่ท่องเที่ยว 2.ศิลปวัฒนธรรม 3. อาหาร 4. แหล่ง shopping 5. ความมีน้ำใจของประชาชน และ 6. ความคุ้มค่าจากการใช้จ่ายเงิน

ดูทั้ง 6 ด้านแล้ว กรุงเทพฯ ไม่น่าแพ้เกียวโตนะครับ คนไทยมีความเป็นมิตรกับคนต่างชาติดีมาก แต่อาจเป็นเพราะเรามีคนบางส่วนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ หรือหลอกลวงคนต่างชาติ หากินกับนักท่องเที่ยว อีกทั้งความปลอดถัยในกรุงเทพฯ ด้อยกว่าในเกียวโต

คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นคนที่มีน้ำใจมากโดยเฉพาะกับคนต่างชาติ เช่น ยินดีเดินไปส่งเราเมื่อเราถามเส้นทาง เป็นต้น ที่สำคัญ คนญี่ปุ่นมีความซื่อสัตย์มาก เช่น เมื่อคนญี่ปุ่นต้องการให้แท็กซี่ไปส่งเราโดยเขาเป็นคนจ่ายค่าแท็กซี่ เขาจะเซ็นเช็คโดยไม่ใส่ตัวเลขค่าแท็กซี่ แล้วมอบให้คนขับไปใส่ตัวเลขเองเมื่อส่งเราถึงจุดหมายปลายทาง หรือเป็น Blank Check ถ้าเป็นคนขับรถแท็กซี่บางส่วนในกรุงเทพฯ ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเช็ค

เกียวโตเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น มีโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง บ้านเมืองสะอาด ร่มรื่น การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว และทางเท้ากว้างขวาง น่าเดิน

คุณคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้กรุงเทพฯ เสียแชมป์ และเราจะทวงแชมป์คืนได้อย่างไรครับ

ว่าด้วย ชีวจิต อาหารคลีน และ T25

จากการสังเกต หลายปีก่อน เทรนด์คนรักสุขภาพด้วยการกินอาหาร เช่น ชีวจิต พอมีปีนี้คนรักสุขภาพด้วยการออกกำลังกายมากขึ้น ไม่เน้นกินอาหารอย่างเดียว
และก็เช่นกัน การออกกำลังกาย ก็เริ่มหลากหลายมากขึ้น นอกจากแค่แอโรบิคหรือทั่วไป โดย ในช่วง 2-3 ปีก่อน จะเป็นความนิยมของการปั่นจักรยาน มาตอนนี้กระแสการวิ่งเริ่มมาแทนที่ และมีการวิ่งมาราธอนเยอะมากขึ้น กอปรกับการออกกำลังกายแบบ T25 ที่กำลังดัง ไอ้เราก็สงสัยสิครับ มันคือะไร บางอย่างก็แยกแยะไม่ถูกว่าต่างกันอย่างไร เช่น Clean Food กับ อาหารชีวจิต ก็เลยไปหาข้อมูลสรุปๆ มา เลยขอแบ่งปันให้คนขี้สงสัยแบบผมเข้าใจตามนี้ครับ

อาหารชีวจิต  คืออะไร

อาหารชีวจิต เป็นอาหารชั้นเดียว ซึ่งความหมายก็คือ เป็นอาหารที่ ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีในการปรุงมากมาย โดยพยายามให้คง รสชาติเดิมๆ และมีความคงสภาพตามธรรมชาติ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น ข้าวที่ใช้เพียงการกะเทาะเปลือกออก เท่านั้น 

อาหารชีวจิต ต้องมีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อม ไม่หวาน ไม่เผ็ด ไม่เปรี้ยว ไม่เค็ม หรือไม่มัน จนเกินไป

ข้อมูลเพิ่มเติม

อาหารคลีน, Clean Food, Eat Clean คืออะไร

(นิยามจากคุณแอน wipawee เจ้าของ Blog Drop Dead Healthy) — อาหารที่ผ่านกรรมวิธีการผลิดน้อยที่สุด เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก ผลไม้สดๆ กรดไขมันแบบดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว อโวคาโด้ ถั่ว…ประมาณนี้น่ะค่ะ พวกไส้กรอก ปูอัด ซาลาเปา ขนมจีบเซเว่น น้ำผลไม้ขวดๆ อาหารกระป๋อง(ยกเว้นทูน่ากระป๋องนะ) ไม่รวม

ส่วนวิธีการปรุง ก็ไม่ต้องเสิรมแต่งรสมาก ไม่ทอดน้ำมันท่วม เวลาผัดก็ใช้น้ำมันพวกน้ำมันมะกอกนิดหน่อย อาหารรสจัดเช่น ยำๆ ส้มตำ ใช้น้ำปลา เกลือ โซเดียมเยอะ ส่งผลให้บวมน้ำ หวานเกินก็ไม่ดี…

อยากรู้ว่าคลีนมั้ย ถ้าไม่ทำเอง ซื้อข้างนอกถ้ามีป้ายฉลาก อ่านดูตรงส่วนประกอบนะคะ ยิ่งส่วนประกอบน้อย ยิ่งดี เพราะมันไม่ได้ถูกปรุงแต่งมาก ไม่ควรมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก
แต่ถ้าอ่านแล้ว ชื่ออ่านยาก ก็วางลง เพราะมันเป็นพวกสารเคมีต่างๆที่ใส่ลงไป มีโทษต่อร่างกาย

(นิยามจากแอดมินอิ่มฮับ) — อาหารวัตถุดิบจากธรรมชาติค่ะ ปรุงแต่งและผ่านการ cook น้อยๆ เช่นให้เทียบระหว่างไข่ต้ม กับ ไข่ลูกเขย ไข่ต้มลงกระเพาะ ใช้เวลาแยกแป็บเดียว อันไหนเป็นโปรตีน วิตามิน ไข่ลูกเขยลงกระเพาะใช้เวลาแยกนาน ไหนจะไขมันจากการทอด น้ำตาลจากน้ำเชื่อมที่ราดไข่ โปรตีน ดีไม่ดีวิตามินร่างกายยังไม่ทันดูดซึมทัน อาจจะโดนกำจัดรวมพร้อมกับกากอาหารที่กระเพาะถีบลงไปหาลำไส้ก็ได้ สรุปคืออหารคลีนทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่สุดๆ และเป็นมิรต่อลำไส้ ในบรรดาอาหารคลีน เราจะไม่นับการทอด และการผัดที่ใช้น้ำมันหนักๆ ถ้าผักยิ่งกินดิบได้ก็ยิ่งดีเช่น สลัด และอีกปัจจัยอาหารคลีนจะแทบไม่ใช้เครื่องปรุงเยอะ ดังนั้นอาหารที่หนักน้ำปลา และเครื่องปรุงหนักๆ ไม่นับค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

การออกกำลังกาย T25 คืออะไร

Focus T25 หรืออีกชื่อที่เราคุ้นหูกันก็คือ T25 มันคือโปรแกรมการออกกำลังกายที่ถูกสร้างขึ้นโดย Shaun T ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงจากโปรแกรมการออกกำลังกายที่มีชื่อว่า Insanity มาแล้ว

Focus T25 นั้นจะเป็นการออกำลังกายที่เน้นสัดส่วนไปทีละส่วนและจะเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่เป็นจุดเด่นของโปรแกรมออกกำลังกายนี้ก็คือการย่นระยะเวลาการออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง ลงมาเหลือเพียง 25 นาทีเท่านั้น ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ และโปรแกรมจะจบลงใน 10 สัปดาห์ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยและอยากเห็นผลไวๆเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ข้อมูลเพิ่มเติม

 

ส่วนการวิ่ง และปั่นจักรยาน อันนี้เป็นที่รู้กันว่าทำอย่างไร เอาเป้นว่า อ่านแล้วใครสนใจอันไหนก็ลองไปกดอ่านจากเว็บคนอื่นๆดูอีกทีละกันนะครับ

2 Jul 2014 19:00 – บ้านกรุงเทพ

หลงกลดูโฆษณา Youtube ไปซะแล้ว

จะเปิด MV ดูใน #Youtube ก็เลยได้ดูโฆษณา DTAC ซะก่อน ตอน The Power of Love ดูเสร็จ ต้องไปค้นหาคลิปแล้วมาแชร์ต่ออีกที รู้ตัวอีกทีก็คลิกปุ่ม Share ช่วย DTAC โปรโมทไปเสียแล้ว

 

เลยนึกย้อนกลับไปว่าทำไมพฤติกรรมตนเองเป็นเช่นนี้ และเป็นกับบางโฆษณาด้วย แต่ส่วนใหญ่ ถ้าเห็นอะไรแปลกๆที่ไม่ใช่เนื้อหาที่ผมต้องการจะกดดู ผมก็จะกด Skip เพื่อไปดู MV ต่อ ดังนั้นพอวิเคราะห์ได้เล็กๆดังนี้

1. ผมไม่รู้ว่าเป็นโฆษณา
จู่ๆ เด็กร้อง ไอ้เราก็คิดว่าเป็นหนึ่งใน MV ว่ะ อันนี้โง่เอง ไม่โทษใคร ไม่ทันดูว่ามีคำว่า Ads เผลออีกทีก็ดูไป 2-3 วินาทีแล้ว ทำให้รู้สึกอยากดูต่อว่าคืออะไร (คิดว่าโฆษณา Youtube ต้องดึงสายตาและความรู้สึกคนใน 2-3 วิให้ได้ เพื่อคนดูตัดสินใจว่าจะกด Skip หรือดูต่อ)

2. โฆษณามันไม่ Hard Core และไม่ทำให้ตกใจ
มันมานิ่มๆ ไม่ใช่มาแบบโผงผาง production ไม่ได้เว่อร์ ไม่มีเพลงตื่นเต้น หรือมีคนมาพูดๆ หรือเริ่มต้นด้วยโลโก้แบรนด์ ซึ่งถ้ามาเหล่านี้ พอรู้สึกได้ว่านี่คือโฆษณา ผมก็จะกดข้ามไปทันที

3. โฆษณามันมีการโปรยให้เห็นแต่แรก
ต้องบอกว่า โฆษณา DTAC มีคนแชร์เยอะ ผมก็เห็นเยอะ แต่ขี้เกียจดู ดังนั้นพอมีโอกาส ดูไปได้สักแป๊บ เกิดอาการอยากดูและสังเกตเห็นคำว่า Ads (ตามข้อ 1) + เห็นคำว่า โฆษณา DTAC + เห็นกระแสคนพูดถึงก่อนหน้านี้ มีตัวเร่งเร้า 3 จุด ก็เลยตัดสินใจดูแบบไม่มีอะไรขัดจังหวะ

4. ไม่ได้รีบร้อนดูคลิปขนาดนั้น
นั่งชิลๆ เพื่อดู MV เลยไม่รีบร้อยดูเนื้อหาจริงๆ ยอมเสียเวลา 1 นาทีดูได้

สรุปคือ ณ ตอนนั้นใจมันสบาย ผัสสะทั้งหกเลยเปิดรับอะไรก็ได้ ความมีตัวตนของสิ่งนั้นเกิด ความอยากรับรู้ต่อก็เกิด ความเป็นเทนา ตามที่ DTAC ต้องการคือ Feel Good ก็เกิด ดูเสร็จอยากมีลูกอุ้มลูกเลย ปัดโธ่ แม่มพาลไปเกิดภพเกิดชาติอีกต่างหาก

ไกลไปโน่นเลย…

เอวังด้วยประการฉะนี้

2 Jul 2014 18:00 – บ้านกรุงเทพ

เด็กฝรั่ง แข็งแรงว่ะ

ที่สังเกตมา ฝรั่งมักสอนลูกให้แข็งแรงแต่เด็กเลย คิดถึงที่พี่ๆกับอาจารย์ในแก๊งโรงเรียนพ่อแม่เล่าให้ฟังเลย ว่าเด็กต้องเริ่มฝึกจากฐานกาย(sensing) ฐานใจ(felling) ฐานคิด(thinking) เด็กถึงจะสมบูรณ์ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา, ไม่ใช่เกิดมาก็ฝึกฐานคิด เรียนๆ สุดท้ายมีปัญหา eq, ร่างกายอ่อนแอ โตไปก็มีปัญหา แก่ไปก็่มีแต่โรค เพราะชินแบบนั้น

ถามตอบเรื่อง Wearable Device เกี่ยวกับสุภาพ

20140401_223136

ช่วงนี้กระแส Wearable Device มาแรงมาก ผมก็ไม่รู้จะแปลเป็นไทยว่าอย่างไร แต่มันคืออุปกรณ์ที่สวมใส่ร่างกายต่างๆนานา เช่น นาฬิกา แว่นตา ริชแบรนด์ แล้วมันสามารถรับมือถือได้ จับการเคลื่อนไหว จับการเต้นของหัวใจ บลาๆๆ ก็ตามแต่ละยี่ห้อจะทำออกมา ผมเองก็ตามกระแสไปด้วย ช่วงเมษายนที่ผ่านมา ไปถอย Jawbone UP24 ตอนนั้นมันเพิ่งออกมาใหม่ๆ หายากพอสมควร เดินไปไหนก็เจอแต่ Jawbone UP รุ่นเก่า สุดท้ายไปได้ที่ .life สาขาเซ็นทรัลเวิร์ล (จริงๆ หาไม่ยากหรอก แต่ที่ต้องถ่อไปที่นั่นเพราะจะเอาของแถม ฮ่าๆ) เห็นเพื่อนหลายคนเห็นผมใส่ ก็ถามคำถามคล้ายกัน เลยขอสรุปไว้ที่นี่ ถ้าอยากได้รีวิวละเอียดลองค้นหาใน Google ดู มีหลายคนเขียนไว้แล้วหละ

ใช้ทำไม?

จริงๆ ต้องการใช้พวก Wearable Device เพื่อจับการเต้นของหัวใจ จะได้รู้ว่าวันหนึ่งตัวเองใช้พลังงานกี่แคลลอรี่ (จะลดน้ำหนักว่างั้นเถอะ) แล้วการเต้นหัวใจมีติดขัดหรือมีปัญหาอะไรไหม ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ว่าพวก Wearable Device ประเภทตรวจวัดสุขภาพ (Healthy Tracker) มันแยกเป็นสองแบบ คือ จับการเต้นของหัวใจ (HR) กับ จับการเคลื่อนไหว (Precision Motion Sensor)

แล้วอะไรดีกว่ากัน ระหว่าง จับการเต้นของหัวใจ (HR) กับ จับการเคลื่อนไหว (Precision Motion Sensor)

บอกตามตรง พยายามหาข้อมูลเหมือนกันครับว่าอะไรดีกว่ากัน แต่สังเกตุได้ว่าอุปกรณ์ติดตามสุขภาพรุ่นใหม่ๆ จะใช้ จับการเคลื่อนไหว รวมไปถึงผมเจอข้อมูลว่า Nasa เองก็ใช้เทคนิคนี้ดูสุขภาพของนักบินอวกาศ ด้วย ก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่านะ แล้วถามว่าโกงได้ไหม ก็โกงได้บ้างนะ เขย่าๆๆ มันก็คิดว่าเราเคลื่อนไหวจริง แต่ผมก็ไปค้นดูอีกว่ามันฉลาดกว่านั้น ตรงที่มันจับรูปแบบการเคลื่อนไหว (Pattern) แล้วไปคำนวณต่อ

ทำไมใช้ Jawbone UP24

ตอนที่ซื้อ(เมษายน2014) มี Wearable Device ไม่กี่ยี่ห้อที่เข้ามาขายในไทย แล้วตอนนั้นเห็นเพื่อนใช้ครับ เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจนรู้ว่ามันทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น จับการนอนหลับ หลับลึก หลับไม่สนิท จับการเคลื่อนไหว ออกกำลังไปแล้วกี่แคลลอรี่ ต้องเดินกี่ก้าว ต้องนอนกี่ชั่วโมง เตือนถึงเวลานอน เตือนการนั่งนานไปต้องลุกเดินบ้าง เตือนว่าเมื่อวานเดินน้อยไปวันนี้ชดเชยด้วยนะ คำนวณแคลลอรี่อาหารที่กิน สารอาหารอะไรมากอะไรน้อยเกินไป ฯลฯ แต่ถามว่ายี่ห้ออื่นทำได้ไหม ก็ทำได้เช่นกันครับ แต่หาซื้อไม่ได้ เช่น Nike, Fitbit, Garmin, Basis ซึ่งทั้งหมดนี้ความสามารถคล้ายกันหมด (ต่างกันเล็กน้อย) รูปแบบ แล้วก็ราคา

Jawbone UP กับ Jawbone UP24 ต่างกันอย่างไร

ถ้าเริ่มสนใจแล้วไปหาข้อมูลดูจะเจอ 2 รุ่น Jawbone Up ราคาประมาณ 4,500 บาท กับ Jawbone Up24 ราคา 6,250 บาท ซึ่ง UP24 เป็นรุ่นล่าสุดที่เพิ่งออกเมื่อเมษายน 2014 ซึ่งจุดหลักที่ต่างกันคือ UP24 จะส่งข้อมูลเข้ามือถือด้วย Bluetooth (BLE) แต่สำหรับ UP คุณจะต้องเอามันไปเสียบเข้ากับแจ็คหูฟังของมือถือ (3.5mm headphone port) เพื่อดึงข้อมูลออกไป แต่ด้วยความต่างข้อนี้ทำให้ UP24 มันส่งข้อมูลตลอดเวลา ทำให้มันแจ้งเตือนคุณได้ตลอดทั้งวันตามที่ผมกล่าวข้างต้น สรุปผลให้คุณเห้นได้ทันทีที่ต้องการ นั่นทำให้ UP24 มีลูกเล่นที่ดีกว่า UP (ลองดูการเปรียบเทียบ Jawbone UP และ Jawbone UP24)

มันใส่ที่ข้อมือ แล้วมันจับการกินอาหารของเราได้อย่างไร

บอกตามตรงว่าคงไม่มีเครื่องมืดใดจับการกินอาหารของเราได้ ทุกยี่ห้อเลยครับ ซึ่งเราจะต้องกรอกข้อมูลเอง ว่ากินอะไรเข้าไปเท่าไร โดยในโปรแกรมมันจะมีรายการอาหารให้เราเลือกหรือค้นหา ซึ่งคุณจะได้ฝึกภาษาอังกฤษทุกมื้อลเยครับ ว่าอาหารแต่ละอย่าง ภาษาอังกฤษคืออะไร บางอย่างมีตรงๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว จะใช้คำว่า “Thai Style Noodle” หรือ ผัดไท ก็จะมี “Pad Thai”, แต่บางอย่างก็ต้องเทียบเคียงดู เช่น ข้าวมันไก่ ผมจะใช้คำว่า “Hainanese Chicken Rice” (แปลตรงๆ ก็ ข้าวไก่ไห่หนาน) ตรงนี้ต้องอาศัยการค้นหาใน Google ว่ามันคืออะไร ถ้าหน้าตาเหมือนกัน แล้วดูแคลลอรี่มีความเป็นไปได้ก็ใช้แทนได้เลยครับ

ถ้าไปกินอาหารที่ขายแบบทั่วโลก เช่น McDonald, KFC, โค๊ก, เป็ปซี่ พวกนี้ค้นหาเจอแน่นอน ใช้ของมันได้เลย

แต่ก็มีหลายอย่างที่หาไม่ได้จริงๆ เช่น ลาบเป็ด บัวลอย ซาลาเปาลาวา ฯลฯ ผมก็ค้นใน Google หาเลยครับว่า “ลาบเป็ด กี่แคล” , “บัวลอย กี่แคล”, “ซาลาเปาลาวา กี่แคล” พอได้ข้อมูลมาแล้ว เราก็ไปสร้างเมนูอาหารขึ้นมาเองแล้วกรอกจำนวนแคลลอรี่ลงไป

แล้วถ้าไปกินอะไรที่มันมีตารางโภชนาการ ส่วนมากเป็นของผลิตขายตามห้างและร้านสะดวกซื้อ เช่น นมถั่วเหลืองแล็คตาซอย, โค๊ก, เป็ปซี่, ชาเขียว(บางยี่ห้อ) เราก็สร้างเมนูและกรอกข้มูลตามตารางนั้นได้เลย เพื่อความแม่นยำ

Wearable Device วัดค่าได้แม่นไหม

ข้อนี้ ผมตอบไม่ได้จริงๆ และจากที่เคยใช้แค่ Jawbone UP24 ผมเคยนับก้าวเอง กับดูในโปรแกรมที่มันบันทึกได้ บางทีก็ตรง บางทีก็ไม่ตรง หรือไปเล่นฟิตเนสที่มีเครื่องคำนวณแคลลอรี่ ก็ไม่ตรงเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ถ้าคุณเคยอ่านข้อมูลพวก การใช้พลังงานในการออกกำลังกาย ปริมาณแคลลอรี่ในอาหาร คุณเองจะพอประมาณการได้นะ ซึ่งใช้ไปสักพักจะจำได้เองว่า เราออกแรงประมาณนี้ เวลาเท่านี้ แล้วเครื่องมือก็วัดได้ไม่ต่างกับข้อมูลที่เคยอ่านมา ผมก็ถือว่าเหมาะสม

สำหรับตัว Jawbone เอง มันบันทึกได้ว่า เราออกแรงมากหรือน้อย กี่นาที ประเภทการออกแรงคืออะไร แต่ผลแคลลอรี่ที่ได้ บางทีเยอะเกินไป ผมก็จะปรับลดปริมาณการออกแรงเองเพื่อให้เหมาะสมกับที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม (ส่วนใหญ่จะลดลง ไม่ค่อยเพิ่ม ถือว่าควรออกแรงเยอะๆ ดีกว่าออกน้อย, อาหารก็เช่นกัน ประมาณไว้ให้เยอะกว่าปกตินิดหน่อย จะได้พยายามไม่กินมาก)

แต่มีเพื่อนผมบอกว่าจับการนอนถือว่าแม่นพอสมควร ผมเองก็รู้สึกเช่นกัน เคยทดสอบด้วยการนอนทำสมาธิ ปรากฏว่า มันจับได้ว่าผมหลับลึก แต่พอผมหลับไป มันก็ตื้นบ้างลึกบ้าง แต่ผมเองก็ไม่รู้สึกตัวหรอกนะ เลยไม่รู้จะทดสอบอย่างไรดีในช่วงไม่รู้ตัว ฮ่าๆ

สรุป

ก็ประมาณนี้ครับ ผมถือว่าโอเคนะ กับคนที่ออกกำลังกายบ่อยๆ คนต้องการคุมอาหาร อย่างน้อยก็มีบันทึกคอยไว้เตือนตัวเองว่ากินมากไป ออกกำลังน้อยไป ส่วนใครสงสัยเพิ่มเติมก็คอมเม้นถามได้ แล้วจะตอบให้ครับ

ถ้าอยากได้ข้อมูล Jawbone แบบที่ผมใช้ มีคนรีวิวดีๆ รายละเอียดครบ ตามนี้ครับ

  • http://www.manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9570000057519
  • http://specphone.com/web/%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7-jawbone-up24-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD-bluetooth-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%81/89375

ป.ลิง ยกตัวอย่างจากที่ใช้จริง ไม่ได้รับตัง Jawbone มาเขียนนะแจ๊ะ

20140401_221337

นี่ไง ของแถวที่ดั้นด้นไปซื้อถึงเซ็นทรัลเวิร์ล เป็นถุงใส่น้ำ Jawbone และหูฟังกันน้ำ Philips, ประเมินกับคนขายว่า ถ้าไปซื้อเอง หูฟังก็น่าจะพันสอง ถุงน้ำน่าจะ 3-4ร้อย

20140401_223201

ตัว Jawbone ไม่มีจอ และไม่มีอะไรเลย (เศร้า) แต่มันก็ดูคงทนแข็งแรงดี ทำจากยางอะไรสักอย่าง ชื่อ hypoallergenic TPU rubber ยืดหยุ่นได้ดี กันน้ำได้ แต่ใส่ว่ายน้ำดำน้ำไม่ได้ ตรงนี้ผมไ่รู้ว่ายี่ห้ออื่นที่มีจอหรือเป็นมือถือได้ด้วย มันจะทนหรือลุยแบบนี้ไหมนะ แต่สำหรับผม มันเหมาะกับเข้าป่า ลุยฝน เปียกเหงื่อ นะ

20140401_223218

 

ทั้ง Jawbone UP และ UP24 มันจะถอฝา เพื่อเสียบตัวแปลงเป็น USB ได้ เอาไว้ชาร์ตไฟ (1-2 ชั่วโมง ไฟเต็ม อยู่ได้ 7 วัน) แต่ถ้า UP จะต้องเสียบเพื่อดึงข้อมูล (Sync)

Screenshot_2014-06-12-01-09-37

หน้าตาของ Application UP มันก็ประมาณนี้ สรุปเลขของการ นอน ขยับ กิน ต่างๆนานา

Screenshot_2014-06-12-01-09-50

 

มันบอกได้ว่าเราอยู่เฉยๆกี่นาที หายไปกี่แคล และออกกำลังกี่นาที หายไปกี่แคล รวมแล้วครบ 10,000 ก้าวไหม (มันใช้คำว่า step เป็นตัววัด จริงๆไม่ต้องเดิน แต่ปั่นจักรยาน ยกน้ำหนัก มันก็จับได้นะ แปลงออกมาเป็น step ให้)

Screenshot_2014-06-12-01-10-04

เรื่องอาหารต้องเลือกหรือกรอกเอง แล้วมันจะบอกว่าเรากินมากไปหรือเปล่า

Screenshot_2014-06-12-01-10-23

การนอนก็บอกได้ว่า หลับลึก หลับไม่สนิท กี่นาที หรือมีการตื่นกลางดึกกี่ครั้ง กว่าจะนอน กว่าจะตื่น ใช้เวลากี่นาที ครบ 8ชั่วโมงไหม

Screenshot_2014-06-12-01-10-48

มันจะมีคำแนะนำต่างๆให้เราทุกวัน อันนี้มันวิเคราะห์ให้ผมว่า เมื่อคืนนอนไป 5 ชั่วโมง ต้องกินโปรตีนเยอะๆในตอนเช้าด้วยนะจ๊ะ เช่น ไข่6กรัม