เขาหลวงสุโขทัย

ฉันห่างหายจากการเดินหนักหน่วง มาได้ 7 ปี ซึ่งครั้งนั้นสมัยยังหนุ่มได้ขึ้นไปบนยอดภูสอยดาว จนวันนี้ ฉันแก่ขึ้นและกลับมาสัมผัสการขึ้นเขาอีกครั้ง นัยหนึ่งก็เป็นความชอบ และนัยหนึ่งก็เพื่อทดสอบร่างกาย

ครั้งนี้เป็นทริปหนึ่งที่ชวนใครไปก็ไม่มีใครไป ทั้งๆที่ในตอนต้นฉันชวนพวกเขาไปเขาช้างเผือก จ.กาญจนบรี เป็นภูเขายอดฮิต ณ ตอนนี้ แต่บังเอิญว่ามีเหตุบางอย่างทำให้เข้าอุทยานไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางมาที่เขาหลวงสุโขทัยแทน ฉันก็เพิ่งค้นพบตอนนี้แหละว่า ฉันหาคนรอบข้างที่จะชอบเที่ยวหนักหน่วงแบบนี้ด้วยยากพอสมควร แต่การไปครั้งนี้ฉันไปครั้งแรกกับกลุ่มเพื่อนใหม่ในเว็บไซต์ trekkerhut.com โดยเป็นเว็บบอร์ดนัดกันไปเที่ยว บางคนก็รู้จักกันมาก่อน บางคนก็เป้นแบบฉัน คือหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักใครเลย แต่ก็เอาเถอะ ลองดูสักตั้ง

เราเริ่มต้นนัดเจอกันที่ BTS จตุจักรตอนสองทุ่ม (24 พ.ค. 2556) เพื่ออกเดินทางไปจังหวัดสุโขทัยด้วยรถตู้ ที่แม้คนขับจะอายุมากแล้ว แต่ฉันเดาได้ว่าเก๋าประสบการณ์มาก เพราะลุงแกคล่องแคล่วและซิ่งแหลกด้วยความแม่นยำ ทำให้เราถึงจุดมุ่งหมายและมีเวลานอนพักอีก 4-5 ชั่วโมงที่อุทยาน

 

20130524_190612
รถตู้ที่เราใช้เดินทางกัน บรรทุกสัมภาระเพรียบ และต้องหุ้มผ้าใบป้องกันฝนตกด้วย เผื่อกรณีผิดพลาด

 

เช้าตรู่ (25 พ.ค. 2556) ที่เขาหลวงสุโขทัย (หรือ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง) อากาศค่อนข้างเย็นสบาย พวกเราตื่นมาทำธุระและทานอาหารเช้ากัน ก่อนจะเตรียมตัวออกเดินทางตามเวลาที่กำหนดคือ 9:00น. ณ ตอนนั้นฉันแอบหวั่นใจเล็กๆ เพราะได้อ่านข้อมุลใน Internet มาบ้างว่าภูเขานี้ชันพอสมควร คือสูงแค่ 1,200เมตร แต่ระยะทางแค่ 3.7 กม. (ภูกระดึงสูงเท่ากัน แต่ระยะทางขึ้นเขา 6 กม.) แต่มาถึงนี่แล้ว ทำได้แค่เพียงจัดการร่างกายและกำลังใจให้ดี และเนื่องจากฉันตัดสินใจแบกสัมภาระเองด้วยประมาณ 9 กิโลฯ จึงต้องหาท่อนไม้คอยค้ำยันอีกหนึ่งท่อนไว้ป้องกันเรื่องหัวเข่า

 

20130525_055535 เรามาถึงประมาณตี 2:00 หาที่หลักปูถุงนอนกันตามศาลาเชิงเขา

 

20130525_080519 ทางขึ้นเขามีต้นไม้ (เข้าใจว่าคือต้าประดู่ยักษ์) ตั้งตระหง่านต้อนรับนักท่องเที่ยว

 

ทางขึ้นเขาลูกนี้ช่วงใน 1-2 กิโลฯ แรก จะเป็นหินและดินเกือบทั้งหมด ทำให้การปีนขึ้นทำได้ง่าย เดินเหยียบหินสลับกับทางดินไปเรื่อยๆ และมีถังน้ำที่รองน้ำมาจากบนเขาไว้ให้พักผ่อนเป็นจุดๆ(ประมาณ 500 เมตร) ฉันดื่มและล้างหน้าไปครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นมีเพื่อนร่วมทริปเล่าให้ฟังว่าเจอ ลิงลอยอยู่ในถัง (กางเกงใน) ซึ่งไม่รู้เป็นถังเดียวกับที่ฉันดื่มหรือไม่ ฟังแล้วแทบอยากจะอาเจียนเลยทีเดียว (ปกติที่ฉํนเห็น ถังจะถูกขันน็อตปิดฝาไว้ แต่คาดว่าบางถังอาจจะพังและเปิดได้)

 

20130525_083156 ทางขึ้นในช่วงแรก ชิลๆ สบายๆ ชันเล็กน้อยประมาณ 30-45 องศา

 

20130525_084552 เริ่มมาเจอทางชันและก้อนหินขนาดใหญ่ ที่ต้องก้าวเท้ายาวๆ เพิ่มความล้าตรงช่วงขาเป็นอย่างดี

 

20130525_091605 คงถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ทางเดินที่เคยดีๆ ก็พังถล่มตามอายุขัย ทำให้จากทางสบายๆ ก็กลายเป็นทางลำบาก แต่ยังดีที่มีราวให้จับ (ผุบ้าง ดีบ้างก็ระวังกันให้ดี)

 

เราเดินมาถึงจุดชมวิว ซึ่งประมาณ 40% ของระยะทาง ค่อนข้างเริ่มล้า เนื่องจากต้องยกขาสูงเพราะไต่หินสูงชันมาตลอดทาง แต่ลูกหาบที่แบกสัมภาระกลางบอกกับฉันว่า ไอ้ที่เดินขึ้นมายังเด็กๆ แต่ต่อไปนี่สิของจริง เพราะเขาเรียกกันว่ามออีหก ที่มาของชื่อคือ มันเป็นป่าไผ่และมีความชันมาก จึงทำให้ไผ่ล้มประปราย หรืออีกความหมายคือคนที่เดินอาจจะหกล้มได้ เพราะเป็นทางชันที่ปกคลุมด้วยใบไผ่ โอกาสลื่นมีสูง

 

20130525_095334 วิวจากจุดชมวิว ยังไม่สูงนัก แต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน

 

20130525_095405 ชาวคณะที่มาร่วมทริปด้วยกัน ส่วนใหญ่จะอายุไม่น้อยกันแล้ว แต่อึดโครตๆ เดินเร็วกว่าคนหนุ่มๆแบบผมเยอะ

 

ในจุดตรงที่เป็นมออีหก ไม้เท้าช่วยฉันได้เยอะ ฉันใช้มันเขี่ยๆทางด้วย และโชคดีอย่างหนึ่งคือก่อนหน้าที่เราจะขึ้นมีฝนตก ทำให้ดินมีความเหนียวบ้าง จุดนี้จึงไม่ลื่นอย่างที่คิด แต่ชันและเดินยากพอสมควร ฉันว่าเป็นจุดที่ยากสุดในทริปแล้วหละ ทั้งขาขึ้นและขาลง

20130525_101628 จุดเดินยากและอันตรายอีกจุด คือ มออีหก ดินลื่น และใบไผ่ปกคลุม ถ้าเดินไม่ดีก็ลื่นได้ง่ายๆ

 

ธรรมชาติระหว่างทางขึ้นเขา ค่อนข้างหลากหลาย เริ่มจากป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ทั่วไป มาเจอเต็มไปด้วยต้นประดู่ยักษ์ ตามมาเป็นป่าไผ่ และบนๆจะเป็นป่าผสม ที่ฉันเจอต้นไม้ใหญ่ๆ รวมถึงต้นไทรงาม เป็นจุดพักที่เรากินข้าวเที่ยงกัน อยู่ข้างๆต้นไทรขนาดยักษ์ ทำให้ฉันคิดถึงเรื่อง Avatar เลยทีเดียว ที่จะมีต้นหนึ่งเป็นตัวควบคุมธรรมาติทั้งหมด เสียดายที่มีคนมือบอนไปขีดเขียนซะเต็มต้นไทรเลย

 

20130525_092750 ป่านี้เต็มไปด้วยต้นประดู่ยักษ์ และต้นไม้ขนาดใหญ่หลายๆชนิด สมบูรณ์ดีครับๆ

 

20130525_121547 เราพักกินข้าวกลางวันกันที่ไทรงาม ร่มรื่น ร่มเย็น แต่ยุงและแมลงเยอะมากๆ (จริงๆก็เยอะตลอดเส้นทาง)

 

20130525_120026 ลองเทียบไทรงามกับตัวฉัน ฉันตัวเล็กไปเลย นี่ยังเก็บได้ไม่ครบทั้งต้นนะ แล้วด้านหลังก็ยังมีรากแผ่กระจายเยอะมาก

 

20130525_115656 ไทรงาม สูงมาก

 

20130525_112607 เถาวัลย์ขนาดมหึมา ขนาดต้องยืนมองหาที่มากันเลยทีเดียว

 

เราถึงจุดกางเต้นท์ประมาณ 13:00 น ใช้เวลาเดินไป 4 ชม ถือว่าปกติทั่วไป แต่สถิติที่มีจดบันทึกไว้งานวิ่งมาราธอนพิชิตยอดเขาหลวงสุโขทัย เร็วสุดคือ 46 นาที ช้าสุด 8 ชั่วโมง และอายุมากที่สุดที่พิชิตได้คือ 72 ปี

 

20130525_131533 ในที่สุดเราก็ถึงจุดกางเต้นท์

 

20130525_133621 เต้นท์กลางที่เราจะใช้พักแรมกัน

 

20130525_141221 ย่างหมู ยางเนื้อ ไว้รอมื้อค่ำ

 

เรากางเต้นท์และย่างเนื้อทิ้งไว้เสร็จ ก็เริ่มไปเดินสำรวจบนยอดเขากันต่อ ระยะทางประมาณ 2.2 กม. โดยจุดพีคที่นี่คือ ยอดเขานารายณ์ จะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านยื่นออกไป ให้ได้ยืนถ่ายรูปเเสียวๆกัน และว่ากนัว่าถ้ามองจากกลางคืน จะเห็นดาวดินสองฝั่ง หรือแสงไฟจากเมืองพิษณุโลก และเมืองสุโขทัย

 

20130525_160021 ยอดเขานารายณ์ จุดที่ใครๆก็ต้องมา

 

20130525_155645 วิวด้านล่าง สวยแปลกตา เพราะมันค่อนข้างอยู่ใกล้ชุมชน พ้นจากเขตป่าไปก็เป็นบ้านคนและทุ่งนาทันที

 

20130525_160254 ถ่ายคู่หน่อยๆ

 

20130525_160209 ตื่นเต้นดี อิอิ

 

เราเดินจากจุดเขานารายณ์ไปต่อที่ เขาพระแม่ย่า ซึ่งฉันลองมองไปรอบๆ คิดว่าสูงที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งหมด วิวดีที่สุด และพวกเราตั้งใจว่าจะอยู่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่  แต่น่าเสียดายที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจ แถมระหว่างทางเดินไปอีกเขาก็เจอฝนตกด้วย ไอ้ฝนตกยังพอเข้าใจ แต่เดินหลงทางนี่สิ ทำเอาออกกำลังกายฟรีกันทั้งทีม เพราะเห็นป้ายไปเขาภูกา แต่เดินลุยป่าเข้าไปเท่าไรก็ไม่พบ ยิ่งเดินเส้นทางก็ยิ่งหาย เจอแต่หญ้าและต้นไม้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นฝนตก และเวลาใกล้จะ 18:00 น. พวกเราจึงตัดสินใจรีบเดินกลับ เพื่อความปลอดภัย

 

20130525_164511

20130525_164119

20130525_164050 ถ้ามองจากยอดเขาพระแม่ย่าลงไป จะเห็นยอดเขาทุกลูก สวยงามมากๆ

 

และยอดเขาเจดีย์ เป็นยอดสุดท้ายที่เรามาพิชิตและชมวิวกัน บนยอดนี้ก็สวยมาก เห็นได้รอบด้านเช่นกัน และจุดนี้เอง เราก็เห็นกลุ่มฝนตกห่าใหญ่ มาจากทุกทิศ และเป็นไปได้ว่ากำลังมุ่งหน้ามารวมตัวกันที่เรา แต่ ณ ตอนนั้น เป็นภาพที่สวยและควรบันทึกไว้เลยครับ และก็เป็นจริงตามที่คาด ระหว่างเดินลงกลับไปที่จุดกางเต้นท์ ฝนก็เริ่มตกทันที และหนักขึ้นเมื่อเราถึงจุดกางเต้นท์พอดี

 

20130525_175430

20130525_175036 ฝนตกทั่วทิศทางเลย

20130525_174453

20130525_174938 ยอดเขาเจดีย์ อีกมุมที่นั่งชิลสบาย

 

สภาพร่างกายฉันตอนนี้มันเลยจุดเหนื่อยไปแล้ว ไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่รู้สึกปวดขาเท่าไรนัก อาจเพราะฉันกินยาพาราดักไว้หลังจากที่ขึ้นถึงจุดกางเต้นท์ก็ได้มั้ง

ค่ำนั้นเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งที่มีฉันอยู่ด้วย ทะยอยย้ายข้าวของไปอยู่ในศาลาเก็บของของเจ้าหน้าที่ แล้วจัดแจงที่นอนและที่ทานข้าวให้พร้อม ส่วนอีกกลุ่มก็จัดการทำอาหารอย่างขะมักขะเม่น ฉันว่าอาหารมื้อนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในรอบหลายปี เนื่องจากหิวโครตๆเลยหละ

คืนนั้นฝนตกหนักและลมพัดแรงตลอดทั้งคืน ดีอย่างหนึ่งตรงที่อากาศเย็นสบายจนถึงเกือบหนาว แต่เราก็พลาดโอกาสที่จะได้นอนดูดาวบนฟ้า และดาวบนดิน ไปอย่างน่าเสียดาย

 

20130525_185116 ฝนตกหนักและลมแรงตลอดคืน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น (26 พ.ค. 2556)  พวกเรารีบกระเสือกกระสนวิ่งขึ้นไปที่ยอดเขานารายณ์ บางคนตะโกน นั่นไง! ทะเลหมอก! ขาวโพลนเต็มท้องฟ้าไปเลย สวยมากๆ นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ฉันโชคดี (ครั้งแรกที่ภูทับเบิก) คือได้มาบนเขาหลังฝนตกหนักตอนกลางคืน ซึ่งปรากฏการณ์ตอนเช้าคือจะมีทะเลหมอกหนาแน่นให้ได้เห็น

 

20130526_061113 ทะเลหมอก!

 

แต่อาจเพราะอากาศในหน้าร้อน เลยทำให้ทะเลหมอกมีให้เราเห็นประมาณ 30 นาที แล้วก็เริ่มจางหายไป

เราทำอาหารเช้ากินกันง่ายๆ และก็เริ่มออกเดินทางลงเขาด้วยเวลาเดิมคือ 9:00 น. ซึ่งการเดินลงเขาครั้งนี้เราประเมินกันไว้ว่าทางจะลื่นและชันมากๆ จึงต้องเตรียมรองเท้าให้ดี เขี่ยดินออก และหาไม้ค้ำที่แข็งแรง ส่วนกระเป๋าเดินทาง คราวนี้เราให้ลูกหาบแบกกันทุกคน แต่ไม่ใช่เพราะต้องการเตรียมตัว แต่เพราะลูกหาบที่นี่ค่อนข้างขาดร้ายได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาเที่ยวกัน เขาจึงขอให้เราอุดหนุนเขาบ้าง

 

20130526_074822 มื้อเช้าง่ายๆ อร่อย อิ่มแล้วก็เตรียมออกเดินทาง

 

การเดินลงเป็นอะไรที่ลำบากกว่าขึ้นมากพอสมควร นอกจากเราต้องรับน้ำหนักตัวเองแล้ว ยังต้องคอยระวังด้วย เนื่องจากตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยโคลนและดินลื่นๆ ใบไม้ลื่นๆ แต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องแบกสัมภาระ เดินตัวปลิวได้สบาย จึงทำให้ขาลงเราเดินถึงด้านล่าง 11:30 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. 30 นาที แต่ขอบอกว่า ช่วง 1 กม. ท้ายๆที่ต้องเดินตามโขดหิน ช่วงข้อขาฉันรู้สึกล้าเต็มทน แม้ยกขาขึ้น แต่ข้อขาทำงานไม่สมบรณ์ก็มีสิทธิทำให้สะดุดหรือก้าวไม่พ้นสิ่งกีดขวางได้ วันนั้นฉันรู้เลยว่าฉันไม่เคยออกกำลังกายข้อขาเลย จึงทำให้เกิดอาการแบบนี้

 

20130526_085635 หลังจากฝนตกหนักทั้งคืน ขาลงก็ไม่ได้สบายอย่างที่คิด มีแต่ดินโคลนตลอดทาง

20130526_105906 ทางพังและโคลน

 

20130526_123545 ว่ากันว่า ใกล้ตา แต่ไกลตีน มันเป็นแบบนี้เอง

 

ระยะทางโดยรวมทั้งหมด ขึ้น 3.7 กม. ลง 3.7 กม. เดินบนเขาอีก 2.2 กม. หลงอีกอีก 1 กม. ก็ประมาณ 10.6 กม.

ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ฉันได้ข้อคิดที่ว่า การก้าวยาวๆ ก็ทำให้เราหมดพลังเร็ว และอาจไปไม่ถึงยอด หรือถึงยอด แต่ก็เหนื่อยเต็มทน แต่การก้าวทีละก้าว ถี่ๆ และอาจต้องยอมเดินอ้อมเล็กน้อย ฉันพบว่าประหยัดแรงกว่าการฝืนใช้ทางตรงที่ชันเกินไป และปลอยภัยมั่นคงกว่า

บางทีต้นไม้ใบใหญ้าที่มันขึ้นตามทางลื่นทั้งหลาย การเหยียบไปที่มัน ที่โคนรากของมัน ก็ช่วยทำให้ที่ลื่นๆ ก็หนึบติดรองเท้า แต่บางทีวัชพืชเหล่านี้ เราไปเหยียบมัน มันอาจเป็นหลุมพลางก็ได้ เหยียบไปก็อาจเป็นหลุมที่มันปกคลุมซ่อนไว้ หรือเหยียบไปแล้วเราพลาดลื่นเอง ซึ่งการร่วงมาทีจากทางชัน หรือจากที่สูง ค่อนข้างเจ็บหนัก และเสียงดัง..

การเดินและการดูรอยเท้าผู้อื่นที่เขาเดินไปข้างหน้าเราแล้ว ทำให้เรารู้ว่า เราต้องระวังตรงจุดไหนบ้าง บางทีเขาลื่นไปแล้ว เราก็ไม่ไปเหยียบซ้ำ จะได้ไม่ลื่นล้มตามเขา และเราควรต้องระวังตัวให้มาก แต่บางทีจำเป็นต้องเหยียบก็ต้องเหยียบ แต่เหยียบด้วยความระมัดระวัง หาอุปกรณ์หรือตัวช่วยไว้บ้าง เช่น ไม้เท้า ก็จะช่วยเราให้ถึงจุดหมายได้เร็วและปลอดภัยขึ้น

ทริปนี้ฉันค่อนข้างประทับใจ ทั้งเพื่อนใหม่ที่ดี ทั้งความมันส์ที่ได้รับ และประสบการณ์ใหม่ๆที่ได้เจอ ไฟในตัวได้กลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง เหมือนเป็นหนุ่ม เพราะอย่างน้อยเราได้พิสูจน์ไปเล็กๆว่า ใจเรายังสู้ ร่างกายเรายังแข็งแรง

มุมมองผมกับการอ้างอิงข้อมูลในอดีต

เพิ่ง อ่าน บทความหนึ่งใน Facebook ว่า

1013401_577405078948977_1082603250_n
“ขายเซ็กส์” ทำลายเพลงลูกทุ่งจริงเหรอ? #ตอแหลแลนด์จากกระแสด่าทอใบเตย อาร์สยามเจ้าของฉายา “สั้นเสมอหู” ว่าทำลาย “ศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม” ของเพลงลูกทุ่ง [1] มันได้สะท้อนความ “ตอแหล” อีกครั้งของสังคมไทย ที่พยายามปฎิเสธความจริงที่ว่าเพลงลูกทุ่งได้หากินกับเรื่อง “เซ็กส์” มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับสองแง่สองงามแบบเพลง “หมากัด” ของเอกชัย ศรีวิชัย หรือระดับโจ่งครึ่มแบบ หน้าปกแผ่นเสียงในอดีต เช่น สาวอยู่บ้านใด๋ โดย ปอง ปรีดา [2]

นอกจากนั้น Admin ออกจะแปลกใจนิดหน่อยว่าการขาย “เซ็กส์” ดังกล่าวเป็นการทำลายเพลงลูกทุ่งจริงหรือ? เมื่อย้อนกลับไปตรวจสอบดูหากการขายเซ็กส์ทำลายเพลงลูกทุ่งจริง ป่านนี้วงการเพลงลูกทุ่งคงต้องพินาศย่อยยับสาบสูญไปจนสิ้นแล้ว เพราะวงการเพลงลูกทุ่งก็เหมือนวงการบันเทิงชนิดอื่นๆ ที่มีเซ็กส์ปะปนมาอยู่ด้วยเสมอ ดูจากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว

ความจริงระคายหูมันอาจมีอยู่ว่าวงการบันเทิงที่เป็นอุตสาหกรรมชนิดหนึ่งมานานแล้ว ไม่ได้อยู่รอดด้วย “ศีลธรรมจริยธรรม” หากแต่อยู่รอดด้วยการมี “ผู้ซื้อ” สินค้าและบริการความบันเทิงนั่นเอง เพลงลูกทุ่งไม่ใช่เป็นเพียง “การละเล่นพื้นบ้าน” อย่างที่ใครอยากให้เป็น แต่มันเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงมาตั้งนานแล้ว

บางทีที่ใบเตย “สั้นเสมอหู” นี่เอง อาจเป็นการ “รักษาอุตสาหกรรมบันเทิง” ของเพลงลูกทุ่ง ให้ยังมีคนฟัง คนไปดูคอนเสิร์ตของเธอต่อไปก็ได้ และ แอดมินเชื่อว่า เมื่อใครๆ “ห่วงใยถึงความอยู่รอดของลูกทุ่ง” ไม่มีใครทราบเรื่องนี้ดีเท่ากับนักธุรกิจในวงการเขาหรอกครับว่า “ทำอย่างไรถึงจะอยู่รอด”

ครับ เมื่อแยก “ความอยู่รอด” ออกจาก “ศีลธรรมอันดีงาม” แยก “อุตสาหกรรมเพลงลูกทุ่ง” ออกจาก “ศิลปะการละเล่นพื้นบ้าน” (ซึ่งก็ไม่แน่อีกว่าไอ้การละเล่นพื้นบ้านนั้นจะ “เรียบร้อยดีงาม” อย่างที่ใครๆ เชื่อหรือไม่) เราอาจจะเห็นประเด็น “สั้นเสมอหู” อย่างสมเหตุสมผลและอยู่กับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

อ้างอิง

[1] http://fb.kapook.com/musicstation-64829.html

[2] http://th.wikipedia.org/wiki/ปอง_ปรีดา

เครดิตภาพประกอบ Tone Tipayanon

– Admin AC, Jo, & Ao

 

ส่วนตัวผมคิดว่า สันดานเสียอย่างหนึ่งของคนไทยโดยเฉพาะบางกลุ่มคือ การไปหยิบข้อมูลในอดีต ที่สมัยนั้นอาจจะเคยถูกแบนหรือต้องหลบเร้นเผยแพร่ แต่หลงเหลือหลักฐานเพื่อให้ไอ้คนเหล่านั้นเอามาเผยแพร่ในปัจจุบันเพื่อมาเพิ่มความชอบธรรม ว่าบรรพบุรุษก็เคยทำมาก่อน.. แถมแม่งก็จับต้นชนปลายกันมั่ว ทำเหมือนว่าน่าจะเชื่อถือได้เพราะมีหลักฐาน แต่แม่งก็เป็นแค่มุมเล็กๆนิดเดียว คือเมิงทำแบบนี้ ไปเขียนลงต่วยตูนอ่านสนุกๆ ยังจะดีกว่ามาหลอกตีกินชาวบ้านไปวันๆนะ.. ผมไม่ให้ผ่านครับ

ขนมชั้น

ใจฉันบางทีก็เหมือนเป็นขนมชั้น ที่ชั้นบนๆ ฉันคอยทบทวนกับตัวเองอยู่เสมอว่าฉันไม่เป็นไร และไม่รู้สึกอะไรกับหลายๆเหตุกา

แต่ชั้นกลางๆจนถึงล่าง ฉันเริ่มเห็นความรู้สึกของฉันที่มันชัดเจนขึ้น.. ฉันก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ฉันเองก็เสียใจ เหงา และโดดเดี่ยว

คนที่ฉันไม่พอใจ

ในชีวิตของฉัน ฉันเคยไม่พอใจใครหลายคนจากครั้งแรกที่ฉันพบ
ส่วนมากเป็นเพราะการกระทำของเขาในสถานการณ์ ณ ขณะนั้น
ฉันรู้สึกโชคร้ายที่เป็นคนหงุดหงิดง่าย แต่ก็โชคดีที่ไม่แสดงออกให้ใครรู้ได้ง่ายนัก

ฉันพบว่าข้อดีที่ฉันมี มันทำให้ฉันได้พยายามใช้ชีวิตร่วมกับคนเหล่านั้นได้อย่างไม่มีความผิดปกติ
และคนเหล่านั้นเองก็คงไม่คิดว่าฉันจะรู้สึกไม่ดีกับเขาตั้งแต่แรกที่พบกัน

เมื่อกาลเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ฉันมักพบว่าคนเหล่านั้นคือคนที่น่าคบหา
ฉันตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร เหตุผลมันมีมากมายเกินจะเขียนจบในหนึ่งบันทึก
การที่เขาแสดงออกในครั้งแรกแล้วที่ฉันไม่ชอบใจ เพราะพวกเขาเป็นแบบนั้นเอง
มันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของคนตรงไปตรงมาและผลพลอยได้ของคนเหล่านั้นคือเป็นคนจริงใจ

(แต่ก็ไม่ได้หมายถึงทุกคนนะ ฉันว่าฉันพอมองออกว่าใครตรงไปตรงมาจริงๆ หรือเสแสร้งที่จะเป็น)

ทุกครั้งที่ฉันเจอพวกเขาทำดีกับฉัน ฉันก็ยังแอบรู้สึกผิดลึกๆว่า เราเคยคิดไม่ดีกับเขา
อาจเพราะเป็นแบบนั้น มันเลยทำให้ฉันต้องดีกับเขาตอบกระมั้ง สุดท้าย ฉันกับคนเหล่านั้นก็มักเป็นเพื่อนกัน
บางคนก็สนิทระดับได้พูดคุยกันในเรื่องส่วนตัวมากๆ บางคนก็ช่วยงานกันจนเกรงใจเลยทีเดียว

คนในสังคม รวมถึงครูสอนวิชาศาสนามักบอกเราว่า ให้เปิดใจเพื่อเรียนรู้คบเพื่อนใหม่
ฉันคิดว่า ถ้าฉันท่องประโยคนี้สักหมื่นครั้ง ฉันก็คงยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ที่เขียนมาทั้งหมด
เพียงเพราะฉันลองพยายามนึกถึงคนที่ฉันเคยรู้จักในชีวิตนี้ และฉันไม่พอใจ

คำตอบคือ ไม่มี..

..
.
6/6/2013 00:50 ห้องนอน

เมื่อฉันไปอัมพวัน

ได้ยินกิตติศัพท์ว่าการไปนั่งสมาธิวัดอัมพวันเป็นอะไรที่เข้มข้น hard core มากกก

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปฝึกนั่งสมาธิที่วัด และจากที่ไปมาสามวันสองคืน ยังโชคดีที่ไม่เจอแบบเต็มหลักสูตร เพราะตรงกับวันพระพอดี ยังมีสลับให้ฟังเทศน์ฟังธรรมแทรกอยู่เนืองๆ

กำลังคิดว่าอนาคตอาจจะไปลองแบบ 7 วันบ้าง ยังไม่มั่นใจตัวเองว่าจะรับได้ไหม แต่ก็คิดว่าลุงๆป้าๆเขาทำกันได้ ทำไมตรูจะทำไม่ได้วะ, แต่ยอมรับว่า ร่างกายต้องปรับตัวอีกเยอะ เพราะต้องนั่งพับเพียบนานๆ คุกเข่านานๆ ยังมีปัญหามาก

ที่นี่ค่อนข้างระเบียบเยอะ เนื่องจากคนมาร่วมฝึกเป็นหลักพันคน (ช่วงผมไปมีแค่ 900 กว่าคน แต่ช่วงอื่นๆเห็นว่าถึงสามพันคนก็มี) และหลวงพ่อเองก็ชื่นชอบข้อระเบียบและวินัยแบบทหาร ดังนั้น มาที่นี่ ต้องมีวินัยเข้มงวดมาก ห้ามคือห้าม ทำคือทำ และต้องตรงเวลาทุกอย่าง

ไม่คิดว่าจะได้เรียนกรรมฐานแบบ สติปัฏฐาน 4 จากที่นี่ เพราะนึกว่าท่านสอนชาวบ้านทั่วไปจะเป็นเรื่องของนั่งแบบ อานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออก ปรากฏว่า พอเป็น สติปัฏฐาน 4 จึงค่อนข้างไม่ชินกับที่เราเคยฝึกมาเลย ซึ่งที่เราเคยฝึกมันต้องจดจ่อเพื่อได้สมาธิ แต่ที่นี่เน้นเรื่องสติ ฝึกการรับรู้ตามความเป็นจริง จริงๆ ดังนั้นค่อนข้างฟุ้งซ่านอย่างแรง

ที่ฟุ้งซ่านเพราะ กำลังจับอาการปวดขา ก็ต้องไปจับเสียงหมาเห่า แต่ยังไม่ทันได้จับเสียงหมา หมาก็หยุดเห่า ไอ้เราก็ดันคิดเรื่องอื่น ก็ต้องตามไปกำหนดรู้ แล้วดึงกลับมา ก็ดันปวดหลังอีก คือ ไม่ได้จดจ่อแบบที่เคยๆทำเลยทีเดียว วันสุดท้ายเลยกราบถามหลวงพี่ หลวงพี่ก็บอกว่าที่ทำแบบนี้ถูกแล้ว เลยแอบสงสัยว่า แล้วอย่างนี้ฉันจะนิ่งได้หรอเนี่ย โธ่ กรรมเยอะจริงๆ

แต่เอาเถอะ ไปไม่กี่วัน คงไม่ได้อะไรมาก ไว้ถ้าได้ไป 7 วัน น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น

วันสุดท้ายมีโอกาสได้กราบหลวงพี่อจรัญ ซึ่งเป็นบุคคลไม่กี่ท่าน ที่ผมเจอแล้วเกิดปิติสุขมากๆ ขนลุกน้ำตาซึมเลยทีเดียว แล้วความรู้สึกมันบ่งบอกลึกๆได้ทันทีว่า เหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้น

สรุปคือ หากใครมีโอกาสได้ไปก็อยากให้ลองไปดูครับ สัก 3 วันก่อนก็ได้ กำลังดี ติดใจค่อยไปใหม่ แล้วอย่าลืมชวนผมด้วยล่ะ ฮ่าๆ

20130531_155840คนเยอะมากเลยครับ วัดตรงเขตปฏิบัติก็มีพื้นที่ไม่ได้ใหญ่นัก ดังนั้นต้องอยู่ในกฏของวัดอย่างเป็นระเบียบมากพอสมควร เพื่อให้อยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข

20130531_160058ไปถึง ก็จะมีปฐมนิเทศนืวิธีการสมัครเข้าอบรม ว่าจะต้องกรอกข้อมูบอย่างไร รับชุดขาวที่ไหน รับข้าวของเครื่องใช้ที่ไหน บุคคลใดห้ามเข้าอบรม เข้าอบรมได้กี่วัน ออกวันไหน สำคัญมากครับ จะอยู่ในช่วงนี้หมด โดยปกติแล้วคนอยู่สามวันจะต้องเข้าไปสมัครในวันศุกร์ก่อน 4 โมงเย็น

20130531_161114

กฏระเบียบคร่าวๆ ที่แปะไว้ตรงที่สมัครครับ

20130601_071602ชอบมากครับ ประโญคนี้แปะไว้ตรงจุดรับสมัครเช่นกัน “เราจะพูดแต่ความจริงใจและถูกต้อง เราจะไม่พูดให้ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง”

20130531_210751ที่นอนจะแยกหญิง-ชายคนละตึก แล้วทางวัดมีน้ำไฟให้ใช้ฟรีๆ มีหมอนผ้าห่มเสื่อปูให้พร้อม โดยพระที่นี่จะเป็นคนจัดให้เรา เราผู้ที่ไป ค่อนข้างเป็นหนี้สงฆ์เยอะเลย เพราะที่วัดอัมพวันอำนวยความสะดวกเราทุกอย่างเพื่อให้เราปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ (และก็สอนเราอย่างเต็มที่เช่นกัน)

20130602_080239ที่วัดอัมพวัน เวลาสวดมนต์หรือทำกรรมฐานเสร็จ จะมีการอธิษฐานจิตให้แก่หลวงพ่อและในหลวงพระราชินีให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วย ซึ่งดีมากๆครับ และที่สังเกตุอีกจุดคือ วัดนี้จะบูชาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอีกพระองค์ด้วย

20130602_094148ได้กราบหลวงพ่อจรัญก่อนกลับบ้าน เป็นบุญจริงๆครับ ครั้งหนึ่งในชีวิต

20130602_094612คนรอกราบหลวงพ่อเยอะมากครับ วันหนึ่งจะเปิดสองเวลาคือ 09:30 กับ 14:30 ใครสนใจไปได้ทุกวันครับ