ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสิ้นสุดไปเมื่อนั้น

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีสภาความตอนหนึ่งว่า

“ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสิ้นสุดไปเมื่อนั้น”

หลังจากทรงกล่าวแล้ว ก็ทรงเลี่ยงการเผชิญหน้า เลี่ยงการทำสงคราม แต่ทรงใช้วิธีทางการทูตผูกไมตรีกับชาติอื่นๆ เช่น รัสเซีย อังกฤษ เพื่อถ่วงดุลอำนาจฝรั่งเศส พร้อมกับทรงประกาศความเป็นศิวิไลซ์ในแดนสยามด้วยการประภาสยุโรป สร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ สร้างอาคารสถานที่ด้วยแบบเดียวกับยุโรป

กษัตริย์สยามและราชวงศ์จักรี มีพระมหากรุณาธิคุณกับเรามากนัก แม้ประวัติศาสตร์จะถูกปรุงแต่งบิดเบือนให้ดูหรูเลิศเพียงใด แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริงว่าทรงได้กระทำบางอย่าง และประเทศเราก็อยู่รอดเป็นเอกราชจนทุกวันนี้

แนะนำให้อ่านประวัติศาสตร์กันบ้างนะ เพื่อจะได้รู้ว่ารากเหง้าเราคือใคร และบรรพบุรุษเราสุดยอดแค่ไหน

แนวทางสู่ Living Company โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

 อย่าเอา KPI ไปผูก กับ “โบนัส-รางวัล-เงินเดือน-ตำแหน่ง”

เป็นบทความที่เขียนโดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่เขียนไว้ใน blog โดยใช้ชื่อ บันทึกคนไร้กรอบ ซึ่งผมอ่านแล้วค่อนข้างชอบมากครับ

โดยความรวมแล้ว ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ กล่าวถึง การใช้ KPI (Key Performance Indicators) ที่ไม่ฉลาดนัก คือ การเอาผลของ KPI ไปผูก กับ โบนัส รางวัล ตำแหน่ง ฯลฯ
ท่านให้ความเห็นว่า จริงๆแล้ว KPI เป็นแค่มิเตอร์วัดเพื่อให้รู้ตนเองและใช้ในการพัฒนาจนเพื่อความก้าวหน้า กล่าวคือจะได้ย้อนไปดูได้ละเอียดๆถึงกระบวนการทำงาน ว่าต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” หรือไม่
เพราะถ้าสังเกตไปไม่สุดๆ จะมีแต่การคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น มีอคติ ลำเอียง อวิชชา ฯลฯ  ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ใช้คำว่า “สังเกตๆ คือ ห้อยแขวนคำพิพากษา” (ผมยอมรับว่าไม่เข้าใจประโยคนี้จริงๆแฮะ)

ท่านยกตัวอย่างประกอบให้เห็นเรื่องหนึ่งว่า
สมมุติเราจ้างคนขับรถ แล้วบอกเขาว่า KPI คือ เร็ว และ ปลอดภัย
แต่พอถึงตอนประเมินผลปลายปี มิเตอร์ความเร็วเฉลี่ย บอกว่า ต่ำกว่า 90 กม.ต่อชั่วโมง
เราเลยด่าคนขับว่า เธอทำได้แย่มาก เพราะ KPI ความเร็วต่ำกว่ากำหนด
ทั้งๆที่หลุมเต็มถนนไปหมด แต่เรา(คนตรวจหรือเจ้านาย)มองไม่เห็น

แล้วเรายังไปตรวจสอบอีกว่า มิเตอร์ความร้อนของเครื่องยนต์ร้อนแล้วนะ
เราเลยไล่คนขับรถออก เพราะขับไปได้อย่างไรให้น้ำร้อนได้ ทั้งๆที่ ตอนเราสั่ง เราวัด เราใช้ KPI อีกตัวว่า ขับเร็วๆๆๆๆๆๆ

ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ บอกว่า คนตรวจ KPI หรือ มาตรฐานต่างๆ ส่วนใหญ่ตกหลุมพรางของความมักง่าย คือ เอาแต่ ดูเอกสาร ไม่รู้จักการสังเกต การลงไปตั้งวงสนทนากัน (dialogue)
ไม่เคยลงมา ทำงานร่วม ทำตัวเป็น “คนนอก” ที่มีทัศนคติ “ฉันไม่ไว้ใจใคร” “ฉันเก่งกว่าใคร” ทำตัวกร่างมาแต่ไกล
ท่านบอกว่าคนตรวจประเมินแบบนี้ ทำตัวเหมือนนายพลในเรื่อง AVATAR คือ ไม่มีจิตใจ ไม่รู้จักคุณค่าของมนุษย์เลย ไม่เชื่อมโยง (Connect) จิตใจตนเองกับผู้คน

ในหนัง AVATAR จะมีนกอีกราน ที่เชื่อมโยงกับชาวนาวี
แต่ของไทย มี CEO มี Board บริหาร และ คนตรวจประเมิน ที่เป็น “อีกร่าง” เยอะมาก

Intangible benefit (ผลตอบแทนที่จับต้องไม่ได้ หรือผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงิน) เป็น อะไรที่ พวกผู้บริหารและคนตรวจ KPI แนวบ้าเลือด ยังไม่เข้าใจ
เวลาดูภาพโดยรวม คนพวกนั้นพบว่า KPI ได้ผล (ซึ่งอาจโดนหลอกว่าได้ผล) แต่ทุนทางปัญญาเสื่อมสลาย ทุนทางใจพังย่อยยับ

ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ตำหนิคนเหล่านี้ไว้ว่า
“คนบ้า เท่านั้น ที่ เอา KPI ไป ไล่ ตำหนิ ตัดสิน ลูกน้อง สมัยนี้ เขาใช้ Collective intelligent กันแล้ว  ใช้ Collective conversation กันแล้ว จนกลายเป็น Collective leadership ในที่สุด”

—-
ขอเสริมเรื่อง “Collective Leadership” หน่อยครับ โดยนำมาจาก Facebook Fanpage Life 101 Co.,Ltd.
ลักษณะของ “Collective Leadership” คือ ภาวะการทำงานของกลุ่มคนซึ่งสามารถผลัดกันนำ ผลัดกันตามในแต่ละสถานการณ์ สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม …ซึ่งไม่ใช่ทีมที่มีผู้นำเพียงคนใดคนหนึ่ง
แต่เป็นทีมซึ่งอาจมีการสลับปรับเปลี่ยนผู้นำ โดยขึ้นกับธรรมชาติของงาน หรือธรรมชาติรอบข้างของงานนั้นๆ (บริบท) ปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น การเล่นดนตรีแจ๊ซ ทีมฟุตบอล ทีมกีฬาต่างๆเราพบว่า…การทำงานเป็นทีม ของคนเก่งมากๆ หลายๆ คน ที่มิได้จำเป็นต้องมีโครงสร้างทีม ซับซ้อน เพียงแค่ต้องมาทำงานร่วมกันเนื่องจากตัวเนื้องานนั้น
มักจะไม่มี “ผู้นำ” ที่ผู้บริหารเบื้องบนจัดตั้งมาให้ หรือจะให้เลือกตั้งกันเองก็ยังตะขิดตะขวงใจ ทำใจไม่ค่อยได้ ถ้าจะให้ใครมาทำตัวเป็น “หัวหน้า” หรือ เหนือกว่าคนที่เหลือปัญหาที่ตามมา ก็คือ พอนำคนเก่งๆ มารวมกันนี้ กลับมีอาการ ต่างคนต่างใหญ่ ต่างคนต่างมีความสามารถ  เรียกว่า “รวมดาว” เก่งๆ กันทั้งนั้น
แต่แปลกที่ว่า พอรวมดาวมาไว้ด้วยกัน กลับทำงานได้ผลงานน้อยกว่าการทำงานด้วยคนธรรมดาๆ รวมกันทำ !?

แนวทางของ Collective leadership จะช่วยอำนวยให้ คนเก่งๆ ที่อยู่กันในทีม แต่ละคนมีความสามารถพลิกแพลงในงานที่ตนถนัดได้ดี สามารถสลับกันเป็นผู้นำในส่วนงานที่ตนถนัดได้
และที่สำคัญ “ลงเป็น” ยอมให้เพื่อนคนอื่นขึ้นไปนำได้เช่นกัน
โดยคนที่เหลือก็ช่วยประคอง ช่วยเล่นประกอบช่วยเล่นเสริมให้เพื่อนที่กำลังเล่นนำอยู่นั้น สามารถสร้างสีสันให้สวยงามได้

ที่มา – เขียนไว้ในบทความแล้วนะจ๊ะ

เดี๋ยวนี้สาวเกาหลีเขาฮิตอัดวีดิโอ ควีโยมี (Gwiyomi) กันช่ายม๊าย รวมๆมา น่ารักโครตๆ

เห็นมาได้สักพักแล้วหละครับ โดยมีสาวเกาหลีมาอัดคลิปการทำท่าประกอบเพลง ที่สำคัญคือน่ารักทุกคลิปเลยทีเดียว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้รับความนิยมขนาดไหน แต่ถ้าในประเทศไทย อะไรน่ารักๆแบบนี้เดี๋ยวคงได้เห็นสาวไทยทำบ้าง หรือไม่ก็ทำกวนโอ๊ยๆ ให้ได้ฮากัน

ส่วน ควีโยมี (Gwiyomi) คือ การนับ 1-10 แล้วทำท่าน่ารักๆประกอบเพลง ซึ่งฮิตมากที่เกาหลี และกำลังโด่งดังมากบนโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยความที่เป็นเพลงน่ารักๆ และมีท่าทางการเต้นประกอบเพลงที่เเสนจะคิขุอาโนเนะ ทำให้ให้เหล่าบรรดาเซเลบหรือนักร้องเกาหลี จึงทำท่าทางตาม จนเกิดกระเเสระบาดทำกันอย่างเเพร่หลาย

ควีโยมี มีท่าทางการเต้นที่ทำการยกมือ 1+1 2+2 หรือเเม้กระทั่ง 3+3 เห็นเเล้วน่ารักดีจริงๆ โดยผมได้ลองรวบรวมคลิป สาวเกาหลี จากทางบ้านมาให้ดู ว่าเป็นตามที่เขียนมาหรือเปล่าครับ ลองหาดูคลิป สาวเกาหลี จากทางบ้านตาม Youtube ได้เลยครับ ว่าเป็นตามที่เขียนมาหรือเปล่าครับ อิอิ

Continue reading “เดี๋ยวนี้สาวเกาหลีเขาฮิตอัดวีดิโอ ควีโยมี (Gwiyomi) กันช่ายม๊าย รวมๆมา น่ารักโครตๆ” »

Sansiri Life Comes Home 2013

ต้องบอกว่า คราวนี้มาแปลกที่ผมไปเดินดูงานคอนโดอย่าง Sansiri Life Comes Home 2013 ซึ่งปกติไม่ค่อยได้สนใจอะไรมากนัก จนถึงวันที่คิดจะซื้อและต้องเลือกเยอะๆ ว่าจะตกแต่งห้องตัวเองอย่างไรดี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ไปเดินเล่นงานประเภทนี้

งานนี้จัดที่ Siam Paragon ชั้น 5 ตรงส่วนที่เป็น Hall ค่อนข้างเป็นงานใหญ่มากๆ (ถ้าใครไปทัน ลองไปดูครับ 15-17 กุมภาพันธ์ 2556)
อย่างแรกที่ผมรู้สึกคือ คนเยอะมากๆ ซึ่ง Sansiri ค่อนข้างโปรโมทงานนี้หนักพอสมควร และคนส่วนใหญ่ก็สนใจในตัวโครงการต่างๆเองด้วย ถ้าจากที่ผมไปเดินดูมาทั้งงาน โครงการแต่ละที่สวยทั้งตัวตึกและตัวห้องจึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คนสนใจมากๆ
จุดลงทะเบียนหน้างาน คนเยอะ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่มาดูแลเยอะเช่นกัน
ก่อนเข้างาน จะมีจุดให้ลงทะเบียนก่อนครับ แล้วเขาจะแจก QR Code มาให้ใบหนึ่ง เวลาเราสนใจโครงการไหน พนักงานจะสแกน QR Code ของเรา แล้วข้อมูลมันจะส่งมาให้เรา ซึ่งถือว่าสะดวกมากครับ และเข้าใจคิดเลยทีเดียว
QR Code ที่ว่าครับ มีหมายเลขระบุไว้เชื่อมกับข้อมูลที่เราลงทะเบียนไว้

ช่วงที่ผมไป สยามพารากอนไฟดับไปแป๊บหนึ่ง แต่งานก็ยังดำเนินต่อไปได้

ผมมางานวันแรก (15กพ) แต่มีคนแห่มาจองเพรียบเลยครับ ถ้าใครคิดจะไปต้องรีบแล้วหละครับ
จุดเด่นของงานที่ผมมองว่าน่าสนใจ และต้องไปดูให้ได้เลย คือส่วนของ Ready to move in เนื่องจากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้ว ยังเป็นโครงการที่นำมาลดราคาเพิ่มอีกด้วย! (ปกติเราจะเห็นโครงการที่ขายราคาถูกระดับนี้่เฉพาะช่วง Pre Sale คือช่วงที่เสาเข็มยังไม่ทันได้ตอก)
ส่วนของ Ready to move in เป็นส่วนโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว และนำมาลดราคาด้วยครับ ใครต้องการที่อยู่แบบรอไม่ได้ ก็เดินตรงมาจุดนี้ได้เลย
ดูจากราคาแล้วลดหลักแสนอยู่ครับ เยอะมาก และก็มี Sold Out แล้วบ้างพอสมควร
จุดเด่นอีกจุดคือห้องตัวอย่างครับ อันนี้ผมรักมาก เพราะได้เป็นไอเดียเก๋ไก๋ในการนำไปทำห้องมาก และต้องยอมรับว่าห้องที่แสนสิริทำให้ลูกค้า ค่อนข้างสวยในระดับที่ว่าไม่ต้องต่อเติมเพิ่มก็หาเฟอร์มานิดหน่อยแล้วอยู่ได้เลย
โครงการแต่ละที่ของแสนสิริ ยอมรบเลยครับว่าสร้างสวยทั้งในตึกและนอกตึกจริงๆ
ห้องตัวอย่างของโครงการ Edge จัดดูดีมาก และแบ่งสัดส่วนได้คุ้มดีครับ
ห้องนี้ของโครงการ dcondo ครับ พื้นที่แค่ 29 ตรม เอง แต่จัดห้องได้ดูกว้างดี อันนี้ชอบครับๆ
โครงการของแสนสิริ ทำประตูแน่นหนาใช้ได้เลยครับ รู้สึกปึ้กดี
ภายในงาน แบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนนอก Hall จะเป็นโครงการ บ้านเพียงเพลิน, dcondo ส่วนภายใน Hall จะมีโครงการ the Base, WYNE, NYE, EDGE รวมถึงมีส่วนของ Ready to move in พร้อมอยู่ทั้ง บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ และ คอนโด (ต้องขออภัย ผมจำมาไม่หมดครับ)
ภายใน Hall จะมีบอลลูนที่บอกตำแหน่งว่าจุดไหนคือ บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ และ คอนโดครับ

มีของแถมนิดหนึ่งครับ หากใครไปร่วมงาน แล้วถ่ายภาพโพส Instagram ติด tag คำว่า #livinstagram และ #LCH2013 มีสิทธิลุ้นรับ Samsung Note2 และ Furby  ด้วยนะครับ

 

The Go-Giver – ยิ่งให้ยิ่งได้

The Go-Giver: A Little Story about a Powerful Business Idea 

เป็นหนังสือที่เขียนโดย Bob Burg และ John D. Mann เล่าถึงเรื่องพลังแห่งการให้

ผมคงไม่ขอลงรายละเอียด เนื่องจากไม่ได้อ่านเต็มๆครับ แต่ได้ตามอ่านจากบทความสรุปมา

น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ กฏที่ชื่อว่า

Five Laws of Stratospheric Success

  1. The Law of ValueYour true worth is determined by how much more you give in value than you take in payment.
  2. The Law of CompensationYour income is determined by how many people you serve and how well you serve them.
  3. The Law of InfluenceYour influence is determined by how abundantly you place other people’s interests first.
  4. The Law of AuthenticityThe most valuable gift you have to offer is yourself.
  5. The Law of ReceptivityThe key to effective giving is to stay open to receiving.

ซึ่งได้มีผู้แปลเป็นภาษาไทยดังนี้ครับ

กฎห้าข้อแห่งความสำเร็จล้นฟ้า

  1. กฎแห่งคุณค่า: ค่าที่แท้จริงของตัวคุณวัดได้โดยการดูว่า มูลค่าของสิ่งที่คุณมอบให้ไปนั้นสูงกว่าเงินที่คุณได้รับมามากแค่ไหน
  2. กฎแห่งค่าตอบแทน: รายได้ของคุณตัดสินโดยดู คุณให้บริการผู้คนจำนวนมากแค่ไหน และคุณบริการพวกเขาได้ดีเพียงใด
  3. กฎแห่งอิทธิพล: คุณจะมีอิทธิพลมากเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์ของผู้อื่นก่อนตัวเองมากแค่ไหน
  4. กฎแห่งความจริงใจ: สิ่งทรงคุณค่าที่สุด คุณจะต้องมอบให้คนอื่นๆ ก็คือตัวคุณเอง
  5. กฎแห่งการรับ: กุญแจสู่การให้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การเปิดใจกว้างที่จะรับ

 

ที่มาคำแปลภาษาไทย http://honglub.com/

Exit mobile version