ต้องย้อนหลังไปเมื่อปลายปี 2557 ตอนนั้นเริ่มวิ่งออกกำลังเพื่อให้ตัวเองแข็งแรงแล้วไปปีนเขา เข้าป่าสนุกๆ ไปได้สูงไปได้ไกลขึ้น
ก่อนหน้านั้นไปอีก ผมวิ่งไม่เป็นเลย ไม่ถึงกิโลฯ ก็เหนื่อย เริ่มหัดตอนเข้าฟิตเนสแรกๆ เผื่อใครสนใจลองดูครับ คือ เดินแกว่งเท้าจาก 15 เป็น 30 เป็น 60 นาที แล้วขยับไปเดินเร็วบนลู่ จากนั้นสลับเดินวิ่งอย่างละ 1 นาที ปรับไปเป็น เดิน1วิ่ง2 เดิน2วิ่ง5 เดิน2วิ่ง10 แล้วจนวิ่งต่อเนื่องบนลู่ได้ถึง 5กม ผมจึงลองไปวิ่งบนถนนจริง (เหนื่อยกว่าลู่พอตัว เพราะฝืดเท้า และอากาศร้อน)
ระยะที่วิ่งเล่นตอนนั้นก็เพียง 3-5 กิโลเมตรเท่านั้น งานแรกที่ไปวิ่งคือ AIA Music Run 5กม แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปต่อ TMB Park Run 5กม เลย เปรี้ยวมากครับ ตอนนั้นวิ่งต่อเนื่องได้เกิน 2กม ก็ดีใจมากแล้ว กว่าจะจบ 5กม ได้ ก็วิ่งๆเดินๆ เหนื่อยเอาการ
แล้วช่วงครึ่งปีแรก 2558 ก็มีไปแจมเรื่อยๆ อย่าง Singha Obstacle Run IV วิ่งวิบากระยะ 7กม, Run For Nepal 6กม ทั้งซ้อมทั้งวิ่งงานก็วนเวียนๆ อยู่แถวๆ 3-8กม ไม่เกินนั้น ส่วน 10กม ไม่ต้องพูดถึงครับ ยังเกินเอื้อม..
จนวันหนึ่ง เพื่อนชวนไปลองวิ่งเทรลที่ The Columbia Trail Master IX เขาอีโต้ เป็นเทรลแรกที่ได้ลอง (ถ้าไม่นับ Singha Obstacle ว่าเป็นเทรลนะ) ระยะ 11.5กม ตอนนั้นจบได้ที่ 1:49ชม สนุกมาก ความรู้สึกเหมือนเดินป่า แต่ไม่ต้องแบกเป้ ไม่ต้องรอใคร มีแต่ต้องแซงให้ได้เท่านั้น ฮ่าๆ
พอกลับมาบ้าน คิดว่าอยากลองจริงจังเรื่องวิ่งดูสักตั้ง มันก็สนุกๆดี แถมไฟยังลุกโชติช่วง เลยแอบไปสมัคร The North Face 2016 ที่ระยะ 25กม แล้วเอาไปชวนเพื่อนๆที่ไปโคลัมเบียด้วยกัน ทุกคนต่างตกใจแล้วทักเป็นเสียงเดียวกัน
“ตอนสมัคร ได้ปรึกษาใครก่อนหรือเปล่าเนี่ย”..
“ไหวหรอ”..
“โหดสลัด”..
ไม่รู้หละ ก็สมัครไปแล้วนี่หว่า ฮ่าๆ
หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยจ่ายเงินสมัคร Endomondo Premium Account ไป แล้วสร้าง Training Plan 25Km แล้วฝึกไปตามมัน
คุณเอ้ยยย จำได้เลยว่า วันแรกที่มันให้ผมวิ่งคือ 7กม ครับ คืนก่อนวิ่ง ผมนี่ใจเต้นตึกตักๆ ลุ้นทุกวันว่าตัวเองจะทำได้ไหม เพราะระยะแพลนมันไกลขึ้นเรื่อยๆทุกวัน จาก 7 เป็น 9 เป็น 10 เป็น 13
คือผมคิดว่าตัวเองไม่สามารถวิ่งช่วงเย็นหลังเลิกงานได้เลย เพราะกลับบ้านมาเตรียมตัวแล้วไปสนาม ก็มีเวลาเหลือแค่ชั่วโมงเดียวสนามก็ปิดแล้ว เลยต้องปรับเวลานอนให้เร็วขึ้น แล้วตื่นตี 4:30 เพื่อไปวิ่งแทน
ฝึกได้อยู่ประมาณ 1 เดือน เริ่มแข็งแรงขึ้น แล้วมันมีแพลน 18กม ให้วิ่ง วันนั้นเลยแถมให้เป็น 21กม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พิชิต Half Marathon ได้ และจบที่ 2:55:02ชม ตั้งแต่นั้นมา ระยะที่วิ่งต่ำกว่า 21กม เรารู้สึกมันไม่ยากอีกต่อไป กำลังใจจะวิ่งมันมาอีกเยอะเลยครับ
งานวิ่งช่วงปีหลัง ที่สมัครเป็น 10กม ทั้งหมด เลยรู้สึกเป็นระยะขำๆ วิ่งสบายๆ ไม่ซีเรียสอีกต่อไป.. (ยิ้มเลยทีเดียว)
จนวันหนึ่ง จอมบึงมาราธอนประกาศเตรียมเปิดให้สมัคร.. เลยตั้งใจจะลง Half Marathon สักรอบ แต่แล้ว หลายเสียงจากเพื่อนนักวิ่งที่เคยผ่านงานจอมบึงมา แนะนำว่าควรไปเก็บ Full Marathon ที่นี่ ด้วยเหตุผลที่ว่า อากาศดี, ไม่จำกัดเวลาวิ่ง, ลูกเด็กเล็กแดงชาวบ้านน่ารัก ออกมาเชียร์ตลอดทาง, ห้องน้ำมีให้เข้าตลอดทาง, อาหารดี ฯลฯ
ก็บ้ายุสิครับ พอถึงวันเปิดรับสมัคร ก็จัดไปเลย.. Full Marathon (โครตดีใจที่สมัครได้ เพราะมารู้ตอนหลังว่ามันเต็มเร็วมาก แล้วเราก็สมัครทันพอดี)
ตอนนั้นยังไม่ทันจบ Training Plan 25Km เลยต้องเปลี่ยนโปรแกรมเป็น Full Marathon 42.195Km ทันที แล้วเริ่มต้นใหม่ ด้วยระยะเวลา 15 สัปดาห์ (11 ตค 2015 – 17 มค 2016) แถมมันบังคับด้วยว่าต้องฝึกสัปดาห์ละ 4 วัน เป็นอย่างน้อย..
ในช่วงแรกที่ฝึก ผมแทบกิน นอน โครตเฮลตี้เลย เพราะระยะมันไกลใกล้เคียงแพลนเดิม แต่ต้องใช้วันมากขึ้นอีกวัน ดังนั้นต้องตื่นเช้าแทบทั้งอาทิตย์ กอปรกับเข้าช่วงปลายฝนต้นหนาวที่มีทริปเที่ยวป่าปีนเขาเยอะด้วย โอ้ย มันส์สิครับ
15 อาทิตย์กับการซ้อมแบบขาดๆ เกินๆ เพราะติดไปเที่ยวบ้าง ติดงานบ้าง แต่ถ้าเลือกได้จะจับแพลนที่ไกลสุดในสัปดาห์มาวิ่ง ในช่วงที่ผ่านมาเลยซ้อมจบ Half Marathon 21km 4 ครั้ง ดีที่สุดคือ 2:20:54ชม และจบ 25km ครั้งนึง ที่ 3:19:35ชม (และจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยลงสนาม Half Marathon สักที)
พอถึงวันที่จะต้องลงสนามจอมบึง 17 มกราคม 2559…
คืนก่อนวันงาน ฮึกเหิมมากครับ ประกาศไว้ว่าจะจบก่อน 5ชม แน่ๆ ทั้งที่แพลนประเมินผมไว้ 5:22ชม คือ ที่กล้าบอกแบบนั้นเพราะตลอดที่ซ้อมมา วิ่งเร็วกว่าแพลนประมาณกิโลเมตรละ 40-50วินาทีเสมอ แพลนบอก pace 7:30นาที ผมวิ่งได้มรา 6:30-6:40oนาที แล้วก็เทียบจากที่เคยจบ 21k ที่ 2:20ชม คูณสองเท่า บวกลบความเพลียไปอีก 20 นาที ก็น่าจะ 5 ชม พอดีๆ…
เค้านี่คิดง๊ายง่ายเลยแหละเตง.. ตามประสาเด็กน้อย..
และด้วยตั้งใจจะเข้าก่อน 5 ชั่วโมง เลยลงทะเบียนว่าจะไปวิ่งในกลุ่ม C คือ กลุ่มที่จะวิ่งจบก่อน 5ชม
และคืนนั้นเจอโรงแรมปล่อยห้องพักเพราะสื่อสารกันไม่เข้าใจ กว่าจะหาห้อง กว่าจะเตรียมของเสร็จ ขี้ก็ไม่ปวด นอนตอนเกือบ 5 ทุ่ม แล้วต้องตื่นตี 1 … คือ เริ่มกังวลแล้วหละ มีคำว่า DNF (Do Not Finish) ขึ้นมาในหัวแล้วหละ T-T
ออกเดินทางไปสนามตอนตี 1 ครึ่ง ถึงเร็วกว่าที่คิด และก็โชคดี มวลสารมันแปรรูปมาพอดี เลยจัดไปสองชุดใหญ่
ใกล้จะปล่อยตัว เลยรีบไปเข้าห้องน้ำของโรงเรียนสาธิต ตกใจฮ่ะ โถอันเล็กนิดเดียว ต้องนั่งม้าแบบพระวัดเส้าหลิน ซ้อมกำลังขาก่อนเลย ฮ่าๆ
ตอน ตี 3.30 ถูกเรียกให้รวมตัวตามโซนของเวลาที่ตนเองตั้งใจจะจบไว้ และตี 4.00 เริ่มปล่อยตัวออกตัว ผมวิ่งตามลูกโป่ง (Pacer) 5:00ชม อย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ไปได้แค่ห้ากิโลฯ เริ่มเขวครับ เพราะกลุ่มคนพวกนั้นเขาวิ่งเร็วกว่า 5ชม ไม่ใช่ 5ชม พอดีแบบที่ผมคิด (อันนี้พลาดมาก) จากที่คำนวณไว้ว่าต้องเป็น 7.15นาทีต่อกิโลฯ (เรียกว่า Pace 7:15) ซึ่งเป็นระยะที่ผมวิ่งสบายๆ กลับโดนลากไปเป็น Pace 6:00-7:00นาที ซึ่งมันเป็นระยะที่ผมวิ่งในภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ มันก็ไม่ใช่ภาวะวิ่งวอร์มอัพในช่วง 1-3กิโลฯ แรก! เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าเร่งแต่แรกเลย จะล้า ปวด และความเร็วจะเป๋ไม่ต่อเนื่องทันที
นั่นหละครับ พอรู้ตัวว่าถ้าตามต่อไป ไอ้ที่เหลืออีก 37กม ต้องแย่แน่ๆ เลยค่อยๆผ่อนไปหากลุ่มลูกโป่ง Pacer 5:30ชม แทน
และก็ตามสูตรครับ วิ่งไปสักพัก กระเพาะบิดตัว มวลสารมันเริ่มมาอีกแล้ว!… คือมันแบบนี้มาจะปีกว่าแล้ว เป็นทุกครั้งที่ตื่นเช้าเสมอๆ โดยเฉพาะตอนปีนเขาและวิ่ง!
รอบแรกช่วง กม 5 แวะแค่จัดเบาๆ ก็ยังพอกลับมาไล่ทัน Pacer 5:30ชม แต่รอบสองนี่จัดหนักครับ ใน กม ที่ 11 โผล่มาอีกที เห็นลูกโป่ง Pacer 6:00ชม วิ่งแซงไปแล้ว เลยต้องพยายามวิ่งแซงไปให้ได้ (ใช้ความเร็วปกติของเรา แต่วิ่งต่อเนื่องไปเรื่อยๆ) สุดท้าย ไปตามเกาะได้แค่ลูกโป่ง Pacer 5:45ชม, ส่วน Pacer 5:30ชม น่ะเหรอ หึหึ มองไม่เห็นแล้วครับ..
ช่วงนั้นมีจุดให้น้ำที่ไหน แวะทุกจุด ซึ่งเขาจัดเว้นช่วงทุกๆ 2กม เลยอาศัยจุดพวกนั้นพักเท้าเดินบ้างนิดหน่อย ทักทายน้องๆ ลุงๆ ป้าๆ ที่มาเป็นกองเชียร์อยู่ข้างทางด้วย ยิ้มแย้มสนุกกันสุดยอดเลยครับ (สเน่ห์ของงานวิ่งจอมบึงคือตรงนี้แหละ)
ภาพจาก สสส.
ภาพจาก Chombueng Marathon
ภาพจาก Chombueng Marathon
ภาพจาก สสส.
ผ่านไปสามชั่วโมงนิดๆ อยู่ที่ระยะ 25กม ก็ยังพอเป็นไปตามแผน คือ 8กม ต่อชั่วโมง ยังไงเสีย 5ชั่วโมงก็สี่สิบโลวะ แล้วไปเร่ง 2กม สุดท้ายก็ได้! (ตอนนั้นไม่คาดหวังว่าจะเข้าใน 5ชม แล้วครับ ขอเข้าตามที่แพลนประเมินไว้ก็แล้วกัน ที่ 5:22ชม)
แต่แล้ว 4ชั่วโมงผ่านไป เริ่มเข้าระยะ 30กม ขาก็เริ่มพิการ ตึงทั้งหน้าแข้งและน่อง ไม่ปวดครับ แต่มันล้า วิ่งไปได้สักนิดคิดว่าได้ร้อยเมตร ที่ไหนได้ ได้แค่สามสิบเมตร อยู่ในสภาวะที่เริ่มสับสนและหลอกตัวเองว่าตัวเองยังมีความเร็วเท่าเดิม แต่จริงแล้วไม่ใช่ กิโลเมตรนึงเดินประมาณ 70% วิ่ง 30% สลับกัน เพื่อประคองไม่ให้บาดเจ็บและเป็นตะคริว แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่หลุดจากกลุ่มลูกโป่ง Pacer 5:45 ด้วย เพื่อไม่ให้เกิน 6ชม (ตอนนั้นอดใจรอบสอง ตรูไม่เข้าตามแพลน 5:22ชม แล้วเว้ย ขอพาชีวิตไปจบไม่เกิน 6ชม! ตามมาตรฐานมาราธอนก็แล้วกัน)
ในระหว่างนั้นตลอดเส้นทาง หลายคนเริ่มเดิน บ้างก็วิ่งเหยาะๆ บ้างก็หยุดพ่นสเปร์เพื่อให้ขาตัวเองชา ผมเองก็พกไป ได้ลองพ่นอยู่สองสามที แต่มันไม่ช่วยอะไร เพราะสเปร์นั้นช่วยกรณีเจ็บ ปวด หรือตะคริว มันจะทำให้ขาชาแล้วหายเจ็บพอไปต่อได้ แต่มันไม่ได้ช่วยทำให้ขาหายล้า..
คือใจยังสู้ครับ การเต้นหัวใจยังปกติ ร่างกายไม่ได้เหนื่อย ไม่ได้หอบ แต่ขาทั้งสองมันไม่ไปต่อแล้ว…
ภาพจาก สสส.
ฝืนวิ่งๆเดินๆเพื่อเกาะ Pacer 5:45 ไปได้ถึง กมที่ 38 ก็ต้องปล่อยให้พวกเขาหลุดไป ซึ่งเขาวิ่งกันไม่เร็วครับ แต่วิ่งกันต่อเนื่อง จนเราเองนี่แหละที่ไปตามเขาไม่ไหว ตัดสินใจเดินตลอด ตอนนั้นผ่านไปประมาณ 5ชม พอดี คิดว่าถ้าเดินตลอดไปอีก 4 กม ก็คงไม่น่าจะเกิน 1 ชม ยังไงก็ทัน 6ชม แน่ๆ
พอเข้าสู่ระยะ กม 41 ตอนนั้นประมาณ 5:40นาที ต้องเร่งเดินมาก เพราะกลัวเลย 6ชม ผมเดินคู่มากับพี่สองคนที่มาจากอยุธยา แกเคยมาวิ่งจอมบึงแล้ว แกเลยบอกได้ว่าเหลือระยะอีกแค่ไหนเข้าเส้นชัย
พอพ้นโค้งแถวถ้ำจอมพล ก็เห็นป้ายแปะที่พื้นว่า อีก 500เมตร พี่จากอยุธยาแกเลยบอกว่า มีเท่าไรใส่ให้หมด! เจอกล้องก็วิ่งสวยๆยิ้มให้กล้องด้วย! ตอนนั้นเลยทิ้งแรงเฮือกสุดท้ายใส่ฝีเท้าหนีเจ้าหนี้ที่ Pace 5:30-6:00 เข้าเส้นชัย 42.125กม ด้วยเวลาทางการ 5:55:34ชม (ใน Endomondo บันทึกได้ 42.81กม, Suunto 42.70กม ทั้งคู่บันทึกไว้ว่าเข้า Marathon ที่ 5:50ชม)
เป็นอันว่า ผมได้จบ Full Marathon แรกในชีวิตแล้วครับ เป็นอะไรที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะทำ แล้วก็ไม่คิดว่าจะทำได้ด้วย
ภาพจาก K Sport Running
ณ เวลานั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณปู ไปรยา หรือใครหลายคน ที่พอเข้าเส้นชัยมาราธอนได้แล้ว เขาปล่อยโฮ ร้องไห้.. มันซาบซึ้ง มันภาคภูมิใจมากๆ จริงๆ ครับ สำหรับคนๆหนึ่ง
ขอบคุณพี่ๆ Pacer ลูกโป่ง 5:45 ที่ลากกันมา ขอบคุณพี่สองคนที่มาจากอยุธยาที่ช่วยลากตอนปลาย ขอบคุณน้องๆพี่ป้าน้าอาที่คอยยืนเชียร์และให้น้ำให้ของกิน ขอบคุณคนจัดงานที่จัดงานดีๆ และผมคงต้องขอบคุณตัวเองอย่างมากที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้..
ภาพจาก Chombueng Marathon
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากครั้งนี้
– แบกน้ำเกลือแร่ไปสองลิตร กล้วยตากแปดห่อ เจลสามถุง ทิชชู่หนึ่งม้วน สเปร์หนึ่งกระป๋อง แม่งแทบจะเควี้ยงทิ้งตั้งแต่ กมที่สิบ สุดท้าย กินเจลกับกล้วยตากไปแค่อย่างละห่อ ส่วนอีเกลือแร่ ไม่ได้ต้องการเลย เพราะมีตลอดทาง แต่ค้องดูดเรื่อยๆให้มันเบาลง (แต่ก็เหลือกลับมาอีกลิตรนึง) คราวหลังไม่พกแม่งมันละ ถ้าไม่ใช่เทรล
– ต้องคอยเตือนตัวเอง ประคองเพจตามที่ซ้อมไว้ อย่าไปตามใคร
– ต้องนอนไวกว่านี้ ไม่ใช่ ห้าทุ่มตื่นตีหนึ่ง และต้องนอนสะสมหลายวันก่อนวิ่ง ไม่ใช่วันจะวิ่ง
– ส่วนเรื่องขี้ อันนี้หาทางแก้ไม่ได้จริงๆ เสียเวลากับมันตลอด สุดท้ายอาจต้องกินยารูมาติ้ว อั้นมันไว้
– บรรยากาศของการวิ่งฟูลแม้หลายคนเป็นฟูลแรก และเส้นทางก็ดูจะสามารถโกงได้ (กลับตัวไปวิ่งอีกฝั่งถนนได้เลย เพราะไปกลับเส้นเดียวกัน) แต่ผมก็ไม่เห็นใครทำ ทุกคนก็ไปจนสุด ไปจนจบ แม้จะเจ็บจะปวดมากมายแค่ไหน ก็พยายามวิ่ง พ่นยา เดินกระเผกๆ ไปเข้าเส้นชัย.. มันช่างต่างกับระยะมินิที่ผมเคยผ่านมา ผมเห็นคนปีนข้ามแบริเออ เดินข้ามฝั่งถนน โผล่มาจากถนนอีกเส้น นั่งมอไซมาลง หน้าตาก็ยังดูร่าเริงดี..
ภาพจาก สสส.
ภาพจาก วิ่งสร้างภาพ
ภาพจาก วิ่งสร้างภาพ
สรุปการไปวิ่งที่งานจอมบึง
– ชอบมากครับ งานจัดอบอุ่นดี เป็นระเบียบดี ของกิน น้ำดื่มพร้อม
– กองเชียร์จัดเต็มมาก ลูกเด็กเล็กแดงลุงป้าน้าอา เต้นกันกระจาย ตะโกนสู้ๆตลอด ช่วยให้เราฮึดสู้ได้พอสมควรเลย
– ชอบมาก ตรงมีพระมาพรมน้ำมนต์ให้เป็นระยะๆ ในมุมสิริมงคลก็ดี แต่ที่ได้ชัดๆเลย คือ เย็นสบาย ฮ่าๆ
ภาพจาก Chombueng Marathon
ภาพจาก สสส.