My First Ultra Trail 50km – The Columbia Trail Masters XI

เมื่อวันอาทิตย์ได้ไปลองวิ่ง Ultra Trail 50กมฯ ที่งาน The Columbia Trail Masters XI
นับเป็นมาราธอนที่สอง และ Ultra ครั้งแรก ในชีวิต (Ultra คือระยะทางที่เกินมาธอน หรือ 42.195 กิโลฯ)

งานนี้ถูกยุยงส่งเสริมจากใครสักคนในแก๊งวิ่ง
จำได้ว่ากำลังไปเทรกอยู่เนปาล จู่ๆ เอ๋ทักมาว่า ทุกคนจะลงระยะ 50 งาน Columbia กัน
เอาวะ ถ้าใจถึงไปกัน ผมก็ไปด้วย เน็ตที่เนปาลช้ามาก เลยฝากสมัครแบบไม่ขอรู้รายละเอียดอะไร

นับตั้งแต่นั้นมา ผ่านไป 3 เดือน…
ซ้อมมินิฮาร์ฟ แต่ไปอัลตร้า…
หนังชีวิตก็บังเกิด… Continue reading “My First Ultra Trail 50km – The Columbia Trail Masters XI” »

มาราธอนแรก.. จอมบึง (42.195km)

ต้องย้อนหลังไปเมื่อปลายปี 2557 ตอนนั้นเริ่มวิ่งออกกำลังเพื่อให้ตัวเองแข็งแรงแล้วไปปีนเขา เข้าป่าสนุกๆ ไปได้สูงไปได้ไกลขึ้น

ก่อนหน้านั้นไปอีก ผมวิ่งไม่เป็นเลย ไม่ถึงกิโลฯ ก็เหนื่อย เริ่มหัดตอนเข้าฟิตเนสแรกๆ เผื่อใครสนใจลองดูครับ คือ เดินแกว่งเท้าจาก 15 เป็น 30 เป็น 60 นาที แล้วขยับไปเดินเร็วบนลู่ จากนั้นสลับเดินวิ่งอย่างละ 1 นาที ปรับไปเป็น เดิน1วิ่ง2 เดิน2วิ่ง5 เดิน2วิ่ง10 แล้วจนวิ่งต่อเนื่องบนลู่ได้ถึง 5กม ผมจึงลองไปวิ่งบนถนนจริง (เหนื่อยกว่าลู่พอตัว เพราะฝืดเท้า และอากาศร้อน)

ระยะที่วิ่งเล่นตอนนั้นก็เพียง 3-5 กิโลเมตรเท่านั้น งานแรกที่ไปวิ่งคือ AIA Music Run 5กม แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปต่อ TMB Park Run 5กม เลย เปรี้ยวมากครับ ตอนนั้นวิ่งต่อเนื่องได้เกิน 2กม ก็ดีใจมากแล้ว กว่าจะจบ 5กม ได้ ก็วิ่งๆเดินๆ เหนื่อยเอาการ Continue reading “มาราธอนแรก.. จอมบึง (42.195km)” »

ความคิดในทุกๆก้าว

IMG_20141107_000444

ความคิดของผมชัดเจนทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับตัวเอง
บนลู่วิ่ง หรือเส้นทางที่ก้าวเหยียบในทุกๆก้าว
เมื่อเราไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการเคลื่อนไหว..

เริ่มวิ่งไปที่กิโลเมตรแรก..
ผมคุยกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมาจุดนี้ได้ แน่นอนมันเป็นความทะเยอทะยานบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องมาจากการชอบเที่ยว ชอบเข้าป่าและปีนเขา ผมคิดเสมอ ถ้าร่างกายผมไม่แข็งแรงพอ ผมจะพิชิตยอดเขาที่สูงขึ้นไปได้อย่างไรกัน อาจจบที่เขาใดเขาหนึ่ง ไม่สามารถไปต่อที่ที่สูงขึ้นหรือยากขึ้นได้เลย

เข้าสู่กิโลเมตรที่หนึ่ง..
ผมเคยลังเลว่าตัวเองหมดไฟแล้วหรือยัง ทำไมฉันถึงไม่ขยับไปไหนสักที แต่เปล่าเลย สิ่งต่างๆในกิจกรรมที่ผมทำ ผมพบว่าตัวเองยังมีไฟ ยังมีความทะเยอทะยาน และมีพลังมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีใครคนหนึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยมี คุณก็ต้องทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ” นั่นคือการที่ผมลุกมาทำอะไรบ้าๆบอๆ ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ในชีวิต  ผมจึงได้โลกใหม่ ได้ชีวิตที่แข็งแรงขึ้น  และก็ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ๆ

เข้าสู่กิโลเมตรที่สอง..
มันตอกย้ำกับความคิดผมที่ว่า เรื่องราวระหว่างทางย่อมมีความหมายและสวยงามของมันในทุกๆช่วงขณะ และเราจะได้ประสบการณ์จากตรงนั้น ส่วนปลายทางความสำเร็จ  มันเป็นความภูมิใจของเรา ที่ได้สั่งสมประสบการณ์จนมาถึงจุดๆนี้ได้ รอบข้างเราเต็มไปด้วยสิ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจดจำมันไว้ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ดีเสมอ และผ่านมาแล้ว

เข้าสู่กิโลเมตรที่สาม..
ผมเริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากที่มาได้เกิน 60% แล้ว พอๆกับร่างกายที่ตึงพอสมควร แต่เราก็ทำมันได้  ผมพยายามหาเหตุผลและวิธีคิดให้ตัวเองบรรลุอะไรบางอย่าง ผมควรทำอย่างไรดีเพื่อเปลี่ยนพลังความทะเยอทะยานบ้าๆบอๆและไฟเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ บ้าง เช่น งาน เงิน ความรัก บางทีมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีและเร็วกว่านี้ก็เป็นได้

เข้าสู่กิโลเมตรที่สี่ กิโลเมตรสุดท้าย..
ผมเริ่มประมาณการระยะทางที่เหลือ และนับถอยหลังเรื่อยๆ  คำสบถเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัว “แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบหาย เมื่อไรจะถึง” บางทีก็คิดถึงอนาคตที่ว่า “วิ่งจบเมื่อไรกรูจะลงไปนอนแผ่ทันที” กิโลเมตรนี้สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผม มันทำให้ผมเห็นหน้าบรรพบุรุษที่เสียไปแล้ว กำลังกวักมือเรียก เหงื่อแตก น้ำมูกไหล ดั่งธาตุไฟเข้าแทรก มันเป็นช่วงที่ต้องนึกถึงบุญกรรมที่เคยสะสมไว้ในชาตินี้และชาติที่แล้ว  ช่วยดลบรรดาลให้เรามีพลังเฮือกสุดท้ายทำการใหญ่ได้สำเร็จ

สิ้นสุดห้ากิโลเมตร..
อยากจะร้องไห้น้ำตาไหลเพราะทำสำเร็จ  แต่น้ำระบายทั้งตัวผ่านเหงื่อและน้ำมูกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความปวดร้าว จังหวะหัวใจที่เต้นแรง และความภูมิใจลึกๆ ว่า “หนูทำได้” (ตามด้วยเสียงบีบแตร ปี๊บๆ ปี๊บๆ)

 

เรียบเรียงจากคำให้การของนักวิ่งหน้าใหม่