in Technology

ความแตกต่างระหว่างโปรแกรมเมอร์กับนักการตลาด

ถ้าเริ่มนับตั้งแต่รับจ้างเขียนเว็บไซต์แรกในชีวิต ก็พอจะเรียกตัวเองว่าเป็นโปรแกรมเมอร์มาได้สักสิบกว่าปี และเพิ่งจะลดความเข้มข้นลงหลังจากตัดสินใจเลือกเติบโตด้านการงานบนนถนนสาย Management แทน Technical ซึ่งงานที่ว่านี้ก็อยู่ร่วมกับทีม Marketing (และผมเองก็ต้องผันตัวไปประสานงานโปรแกรมเมอร์ของ Outsource ในบางส่วนด้วย) จึงทำให้ได้เห็นมุมมองแปลกๆที่ โปรแกรมเมอร์ในกะลาแบบผมเกิดข้อเปรียบเทียบ

1. โปรแกรมเมอร์มีความหยิ่งในตัวเองและเอาแต่ใจตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

เป็นข้อแรกที่เป็นจุดเริ่มเรื่องทุกอย่างพอสมควร ผมไม่รู้เหมือนกันว่าใรนิยามไอ้มนุษย์เหล่านี้ว่ามันเก่ง มันสมควรได้รับการเชิดชู  เลยทำให้มันยิ่งหยิ่งทนงมาก ว่าฉันเก่ง(มึงมันแค่รู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เรียนรู้) ฉันทำได้ทุกอย่าง(มึงก็ยังใช้ฟังชั่นที่เขาให้มาเขียนอยู่ แน่จริงเขียนเองเพียวๆสิ) ฉันรู้ทุกอย่าง(มึงมันก็แค่รู้วิธีหา Google ได้เก่งได้เร็ว) ดังนั้นทุกอย่างฉันเป็นฝ่ายถูก ฉันมีเหตุผลอ้างอิง(ถูกหรือผิด ก็ไม่รู้ รู้แค่ Google หือคนอื่นบอกมาแบบนี้) ดังนั้นพวกเอ็งทั้งหลายจงเชื่อข้า อย่าได้เชื่อใคร

2.โปรแกรมเมอร์ไม่ใช่นักต่อรอง/นักการตลาดมองหาความคุ้มค่า

ผมพบว่า ถ้าการตกลงยังสมประโยชน์อยู่และโปรแกรมเมอร์คิดว่าทำได้ ก็มักจะไม่ต่อรอง เพราะในมุมการเขียนมันไม่ยาก หรือใช้เวลาเล็กน้อย ก็จะทำ หรืออาจจะพลาดประเมินผิด แต่ก็ไม่ต่อรองกลับเพราะคิดว่ายุ่งยาก ก็ก้มหน้าก้มตาทำต่อไปให้เสร็จ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมไม่พบในพวก Marketing เท่าไร เพราะพวกนี้มองทุกอย่างเป็นเงิน เวลาทุกนาทีมีประโยชน์ทำเงินได้ ดังนั้นพวกนี้จะวางแผนไว้ก่อนว่าคุ้มค่าไหมที่จะทำให้เกินขอบเขตงาน

3. โปรแกรมเมอร์ชอบถึก/นักการตลาดขอชิล

มันเป็นกิเกลสอย่างหนึ่งที่ผมพบทั้งตัวเองและคนอื่นๆ บางทีเรารู้ว่ามีคนเขียนโปแกรมบางอย่างไว้อยู่แล้ว แต่เราก็ยังดั้นด้นที่จะเขียนใหม่เองเป็นของเรา ทั้งๆที่ Feature อาจจะเหมือนคนอื่นเป๊ะเลยก็ตาม อาจด้วยเหตุผลที่ว่า อยากเรียนรู้ อยากลอง พอได้ทำแล้ว ใครทักอาจจะไม่เชื่อ เพราะกำลังเมามันส์ จึงทำให้นอนดึกๆดื่นๆ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ มันก็อ้างอิงกับข้อที่บอกว่าเอาแต่ใจตัวเองด้วย ต่างกับพวก Marketing ที่เขาอาจจะรีบหาทางลัด หาทูลเพื่อทำงานให้เสร็จเร็วๆ เพื่อเอาเวลาไปทำอย่างอื่น หรือได้ออกสังคมไปเฮฮาสังสรรค์

4. โปรแกรมเมอร์ชอบคิดใหม่ทำใหม่/นักการตลาดชอบความเร็ว

ผมเชื่อว่าหลายคนมักเคยได้ยินโปรแกรมเมอร์บอกว่า “ทำใหม่เถอะพี่”, “เขียนใหม่ง่ายกว่านะพี่” จะพูดด้วยเหตุผลที่ว่าอ่านโค้ดเดิมไม่เข้าใจ หรือขี้เกียจไปอ่านโค้ดเดิม หรือมันเละมากเกินกว่าจะเยียวยา แต่เชื่อได้ว่านี่เป็นตัวเลือกแรกๆที่จะพูด เพียงเพราะขี้เกียจทำหรืออะไรบางอย่าง แต่มักไม่ค่อยแก้ไขจากของคนอื่นหรืองานเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ในมุม Marketing ถ้าการพูดว่า ทำใหม่เถอะ เขาอาจหมายถึงการสร้างโครงการใหม่ เพื่อขอเงิน ขอเวลาเพิ่ม และถ้าอะไรที่ Marketing พอเอาของเก่าหรือของคนอื่นมาแก้ไขได้ เขาก็จะทำทันที เพื่อให้งานเสร็จเร็ว และได้เงินเร็วที่สุด

5. โปรแกรมเมอร์ไม่ชอบพูด/นักการตลาดการพูดคือหัวใจ

โปรแกรมเมอร์ส่วนมากไม่ชอบพูด ซึ่งผมเข้าใจดีว่ามันหมายถึงการที่เราไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะพูดทำไม และไม่รู้จะพูดกับใคร เพราะอาจกลัวใครไม่เข้าใจ แต่ถ้าเทียบกับนักการตลาด เขาจะพยายามพูดๆๆๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่โปรแกรมเมอร์พลาดอย่างแรง เพราะการไม่พูดหมายถึงคนอื่นไม่เข้าใจคุณ และคุณก็อาจเข้าใจผิด เหมือนควายที่ขวิดแบบโง่ๆ มารู้อีกที ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของงานต้องการ (มันเลยเป็นหัวใจของ Agile เลยว่า “เราต้องให้ความสำคัญกับคนและการมีปฎิสัมพันธ์กัน มากกว่าการทำตามขั้นตอนและเครื่องมือ”)

6. โปรแกรมเมอร์ทุกอย่างคือสี่เหลี่ยม/นักการตลาดทุกอย่างคือปลาไหล

ถ้าสังเกตุจากการออกแบบเว้บหรือโปรแกรมอะไรบางอย่าง โปรแกรมเมอร์จะห่วยแตกมากเรื่องของศิลปะ คุณจะได้โปรแกรมที่ทำงานถูกตามที่ต้องการ แต่หน้าตาจะทื่อๆ ไร้รสนิยมและลูกเล่นต่างๆ เพราะทุกอย่างในสมองโปรแกรมเมอร์มันคือตรรกะ มันคือสี่เหลี่ยม แต่ถ้านักการตลาด เขาค่อนข้างได้เห็นได้เสพงานหลายๆอย่างมาเยอะ ภาพถ่าย ทีวี โฆษณา งานสังคม อีเวนท์ ดังนั้นทุกอย่างเขาจะรู้ว่ารสมนิยมคนเดี๋ยวนี้ชอบหรือไม่ชอบอะไร อะไรคือศิลปะ (แม้จะไปลอกงานชาวบ้านมาก็เถอะ)

เห็นความต่างไหมครับว่าโปรแกรมเมอร์กับนักการตลาดค่อนข้างต่างกันเยอะ มันเลยเป็นที่มาของปัญหาที่ว่า

  • นักการตลาดชอบสั่งงานที่ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยให้กับโปรแกรเมอร์ เพราะเขาคิดไปนั่นโน่นนี่ โดยไม่รู้ว่าข้อจำกัดของโปรแกรมเมอร์ เทคโนโลยีปัจจุบัน อุปกรณ์ของบริษัท โปรแกรมตัวปัจจุบันของบริษัท ว่ามันจะทำได้ไหม
  • เมื่อนักการตลาดสั่งงานยากมา และโปรแกรมเมอร์ไม่พูด ก็มักทำงานออกมาผิด หรือไปไม่ถึงความต้องการที่ต้องการ แล้วต้องย้อนหลับไปแจ้งว่า ทำไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะไม่เคยคิดก่อนหรือพูดไปตั้งแต่แรก
  • นักการตลาดมักจะหงุดหงิดโปรแกรมเมอร์ที่ว่า ทำไมไม่ใช้วิธีง่ายๆ หรือเร็วๆกว่านี้ เพราะโปรแกรมเมอร์คิดเยอะ หยิ่ง และเอาแต่ใจพอสมควร ว่าฉันจะทำแบบนี้
  • นักการตลาดไม่เข้าใจว่าสิ่งที่โปรแกรมเมอร์ทำต้องใช้อะไร และโปรแกรมเมอร์ไม่พูด เมื่อของไม่พร้อม หรือเรียกขอของตลอดเวลา จึงอาจเกิดอารมณ์เสียได้ตลอดระยะเวลาการทำงาน

สุดท้าย งานวุ่นวาย เพียงเพราะสองฝ่ายไม่เข้าใจกัน ต้องมานั่งประชุมใหม่ สรุปงานกันใหม่ เสียเวลาทั้งคู่ เสียเงินบริษัท เปลืองค่าไฟ เปลืองอารมณ์ มองหน้ากันไม่ติด แค้นฝังหุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมไม่โทษว่าเป็นเรื่อง Project Management นะครับ เพราะเรื่องการจัดการโครงการมันถูกกำหนดมาแต่ต้นแล้ว แต่ปัญหาพวกนี้เป็นเรื่องของคน เรื่องการอยู่ร่วมกัน การสื่อสาร และสิ่งเหล่านี้เอง การสัมภาษย์เข้ารับทำงานของโปรแกรเมอร์แทบทุกบริษัทมักไม่เคยถาม ขอแค่มึงเขียนโปรแกรมได้เป็นพอ หรือในมหาวิทยาลัยเองก็ไม่เคยสอน ทุกวันนี้เราถูกสั่งสอนและให้เชื่อในวิถีผิดๆ เพื่อให้เราห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกวันๆ

ในบทความนี้ ขอต่อว่าแค่โปรแกรมเมอร์ เพราะผมเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เคยทำในสิ่งที่เขียนมาทั้งหมด จึงทำให้ผมคิดว่าผมก็มีสิทธิที่จะสื่อสารไปถึงมนุษย์โปรแกรมเมอร์ด้วยกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขอให้นักการตลาดได้เข้าใจไว้เช่นกันว่าพวกเราส่วนใหญ่เป็นแบบนี้

ปล. ย้ำว่าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน และในหนึ่งคนก็อาจไม่ได้เป็นทุกข้อ หรืออาจจะเป็นมากกว่านั้น

มาคุยกัน

Comment