ขอบันทึกไว้เป็นไดอารี่ และเผื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านครับ… เกริ่นก่อนว่าผมรู้จัก Bitcoin ตั้งแต่ปี 2013 ตอนนั้นรับโจทย์จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ไปดูว่ามันคืออะไร และน่าสนใจไหม เพื่อนำเสนอว่าบริษัทควรจะลงทุนหรือไม่ ราคาตอนนั้นเพียงแค่ $758 (สูงสุดที่เคยทำคือ $1,200) [ดูสไลด์ได้ที่ Introduction Bitcoin]
ซึ่งถ้าแยกออกเป็นสองเรื่อง ต้องยอมรับตามตรงว่า
1. ผมมอง Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่สุดยอดตัวหนึ่ง น่าจะเข้ามาปฏิวัติการการเงินได้ ด้วยความโปร่งใสของมัน รวมถึงเอามาทำเรื่องอื่นๆ แต่แค่ตอนนั้นผมจินตนาการไม่ถึงว่าควรจะเอามาทำอะไร
และ 2. ผมมองว่า Bitcoin เป็นเพียงของเล่นของคน geek มากๆ ที่น่าจะมาแล้วก็ไป เป็นการปั่นมูลค่ากันขึ้นมาเอง เหมือนซื้อเหรียญในเกมส์ RO : Ragnarok Online ประมาณนั้น (ถึงขั้นที่ใน Slide ของผมได้พูดถึง Tulip Mania เทียบกับ Bitcoin ไว้ด้วย)
ผ่านไป 7 ปี หลังจากได้เปิดใจ และทดลองเข้าสู่โลกของ Crypto มุมมองของผมก็ได้เปลี่ยนไป
Bitcoin (BTC) จากที่เคยรู้จักกันตอน $760 กลายมาเป็น $57,000
ต้องบอกว่า แม้ไม่ได้ตาม แต่ก็ได้ยินข่าวการ Celebrate อยู่เรื่อยๆ ว่าแตะราคาเท่านั้นบาท เท่านี้ดอลลาร์ แต่บังเอิญช่วงที่ผมเข้าตลาดมาใหม่ๆ กำลังไต่ทำ All Time High จาก $45,000 ไปที่ $57,000 แล้วก็ต่อไปจนถึง $63,000 หรือราวๆ 2ล้านบาท
ช่วงนั้นตลาด Crypto คึกคักมาก และ Bitcoin เพิ่งผ่านการ Halving มาได้ 8 เดือนผ่านการปรับฐานและทะยานทำ New High รอบใหม่ ดังนั้น เมื่อตัวพ่อเป็นขาขึ้น ตัวลูกๆก็ขึ้นทั้งตลาด มันเลยทำให้ผมมองไปทางไหนก็เป็นกำไรไปหมด (เรียกว่าหลงเลย เพราะมันยั่วยวนซะเหลือเกิน) แต่ก็ได้แค่สมัครสมาชิก Bit Kub ไว้ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจมาเล่นในทันทีนะ
เพิ่มเติม: ณ ตอนที่ผมเขียน คลิปโตเป็นช่วงขาลง ราคา BTC จาก 2ล้าน ร่วงมาต่ำสุดที่ 9.9แสน หลายบทวิเคราะห์บอกว่าเราเริ่มอยู่ปลายๆเทรนด์ขาลงแล้ว ดังนั้น ถ้าใครเพิ่งเข้ามา อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปครับ ถ้ามั่นใจว่ามีอนาคต ก็ Hodl ไว้ หรือทำ DCA ด้วยเงินเย็น และเพื่อความสบายใจมากขึ้น ถ้าอ่านข่าวหลายๆสำนัก จะพบว่าเป็นเจ้ามือรายใหญ่ (วาฬ) เข้ามาช้อนเก็บตอนราคาร่วงตลอด แปลว่า คนเหล่านี้อาจจะเห็นอะไนบางอย่าง
มาถูกจังหวะ เลยทำให้ได้รู้จักกับ Dogecoin และเป็นแฟน Doge
หลังจากระบบอนุมัติให้เริ่มเทรด แต่ก็ยังไม่มีความรู้ ไม่รู้จักอะไรเลย ก็เลยยังไม่ได้ฝากเงินและซื้อเหรียญใดๆ จนวันหนึ่งตัดสินใจลองเทรดครั้งแรกเพราะมีน้องมากระซิบว่า “พี่ๆ เข้าDogeๆ มันกำลังมา” ก็เลยเข้าไปดูกราฟมัน เออว่ะ จาก 50สตางค์ เด้งมา 2 บาท ภายในเดือนเดียว น่าจะดี ก็เลย ลองเล่นดู
ตอนนั้น ผมมาถูกจังหวะพอดี, Doge มันเพิ่งเด้งปรับฐานจาก 0.5 มา 1 บาท แล้วมาเป็น 2 บาท แล้วก็ ขึ้นๆ ลงๆ แถวนี้ ผมเอากำไรไม่เยอะ แค่ 5-10% ก็ขายแล้ว คิดว่าเล่นเอาค่าขนม สนุกๆ
ตอนนั้นเรียกได้ว่ารักหมาสุดหัวใจ แล้วก็เริ่มรู้ว่า Elon Musk ทวิต มีผลกับราคา ก็ได้ไปกด Follow แกไว้ ซึ่งมันก็มีผลมากจริงๆ ทุกครั้งที่แกโพสต์ เหมือนเจอขุมสมบัติอ่ะครับ รู้ว่าแกจะโพสต์ถึง Doge ทุกวัน วันละรอบ สองรับ เราก็ซื้อและตั้งขายไว้ แล้วก็รอแกโพสต์ เพื่อปล่อยออก
โครตสสนุกเลยคุณเอ้ยยย ตั้งซื้อและขายก่อนนอน พอตื่นมาก็เห็นว่า match ราคา และมีเงินเข้า ผมทำแบบนี้ วันนึงได้ 2-3รอบ รอบละ 300-500 บาท (ตอนนั้นเริ่มไปเข้าเหรียญอื่นบ้างแล้ว)
เพิ่มเติม: Doge เป็นเหรียญ Meme ที่ทำขำๆ เกิดหลัง Bitcoin ประมาณ 5 ปี โดยทำเสียดสี Bitcoin ด้วยคอนเซ็ปที่สวนทางกันทุกอย่าง คือ ใช้รูปน้องหมาน่ารักๆ, ผลิตออกมาได้ไม่จำกัด, ค่าธรรมเนียมถูก และด้วยความหลายๆ อย่างเหล่านี้ มันเลยทำให้ Doge เป็นเหรียญที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก (ตั้งแต่ มค-พค 2021) ด้วยตัวเลข 9,900% และหลายคนก็เข้ามาเล่นคลิปโตเพราะ Doge ส่วนคนดังที่สนับสนุน ก็มี Elon Musk, Mark Cuban, Snoop Dogg
เพื่อนเก่า ได้กลับมาคุยกัน
หลังจากเทรดสักพัก ก็เริ่มโพสต์บน Social ว่าตัวเอง Trade Crypto อยู่ เริ่มมีเพื่อนฝูงเข้ามาคอมเม้น มากหน้าหลายตา หลายคนผมรู้สึกแปลกใจ ว่าเขาเทรดด้วยหรอวะ เพราะบางคนผมไม่เคยเห็นโพสต์เรื่องคลิปโตเลย มีแต่เรื่องวิ่ง เรื่องเที่ยว และผมเองในตอนนั้นก็คิดว่าคลิปโตเป็นอะไรที่เข้าถึงยาก และต้องใจกล้ามากๆ ถึงจะเล่น แต่ผิดคาดครับ ผมเรียกได้ว่าเข้ามาช้ากว่าหลายๆคนมาก เราเองเสียอีกที่พลาดโอกาส เปิดใจช้า
หลังจากเม้นคุยกัน ไม่มันส์เท่าไร ก็มีพี่ๆเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกันเกือบสิบปีที่แล้ว ชวนไปเปิดกลุ่ม Line เพื่อแชร์ข่าวและราคากัน ต้องบอกว่า จากที่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร กลายเป็นสนิทกันมากขึ้น ชวนกันซื้อ ชวนกันขาย ให้กำลังใจกันตลอด สนุกดีครับ
และผมก็เพิ่งรู้หลังจากนั้นว่า การเทรดพวกนี้ มักมีกลุ่มเฉพาะกัน การเข้ามาเทรดคนเดียว เล่นคนเดียว ก็ทำได้นะ แต่เราไม่มีเวลาดูข้อมูลขนาดนั้น หลังจากนั้น ผมก็โดนชวนเข้าไปกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ เพื่อรับข้อมูลอยู่เรื่อยๆ
เพิ่มเติม: การมีเพื่อนไว้พูดคุย ให้กำลังใจกันยามตลาดขาลง และส่งข่าวกันเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น ช่วยให้เราไม่ฟุ้งซ่านได้นะครับ แต่ทั้งนี้อยู่ที่คนกลุ่มด้วย กลุ่มที่ผมคิดว่าต้องกรองเยอะๆ คิดหนักๆ จะเป็นพวกกลุ่มพับบลิก ที่วิเคราะห์กันหลากหลายความเชื่อ จนบางทีข้อมูลเราจะล้นเกินไปและสับสน
คลิปโต คือ โลกแห่งการทำเงินบนข้อมูล
ในโลกคลิปโตมีคำหนึ่งที่มักใช้กันคือ
Do Your Own Research (DYOR)
จากที่เริ่มต้นด้วย Doge และเคยคิดว่ามันปั่นกันเพราะ Celeb (อย่างเช่น Elon Musk) หรือ กระแสสังคมลากกันไป (คล้ายกรณี GameStop) กลายมาเป็นเริ่มศึกษามากขึ้น เช่น Proof of Work คืออะไร, Proof of Stake คืออะไร, เหรียญ BNB ทำไมต้อง Burn, ทำไมเหรียญ ADA เขาถึงเก็งกันว่าจะมาแรงแซง ETH, ทำไม Bitcoin ถึงถูกมองว่าเป็นทองคำ แต่ Doge ถูกมองว่าเป็น Currency
คำถามเหล่านี้ มีผู้รู้ตอบให้หมดแล้ว อยู่ที่เราเกิดความสงสัยไหม และอยากไปหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือเปล่า
ต้องบอกว่า ผมเริ่มคลายปมให้ตัวเองทีละมัด หลังจากทิ้งความสงสัยไว้ถึง 7 ปี ว่าทำไมคลิปโตมันถึงได้ไปต่อ .. และถ้าผู้อ่านท่านใดเพิ่งเล่นคลิปโต ผมแนะนำให้ตั้งคำถามเยอะๆ มีความสงสัยมากๆ และก็ลุยหาคำตอบดูครับ … Do Your Own Research
เพิ่มเติม: การลงทุนคลิปโตมีความเสี่ยงสูง ความผันผวนสูง ควรใช้เงินที่คุณยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ภายใน 1-2 ปี ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ เมื่อรู้จักกับ Binance
หลังจากได้ยินชื่อเสียงมาตลอด ก็ลองไปสมัคร Binance เล่นดู ยอมรับเลยว่า งง มากๆ ครับ เพราะฟีเจอร์เยอะมาก เช่น Spot Convert, Magin, Futures, Staking, Saving, Pool, Liquid Swap บอกตรงๆว่า ไม่เข้าใจครับ เลยได้แค่ลองโยกเงินจาก BitKub ไปที่ Binance และเล่นแบบ Spot ทั่วไป กว่าจะพอรู้จักฟีเจอร์อื่นๆ บ้าง ก็จนเมื่อเพื่อนเล่าให้ฟังและผมเริ่มไปศึกษา DeFi
แต่สิ่งที่เล่น ก็ยังเป็นเพียงพวกการกินดอกผ่านการ Saving, Staking เท่านั้น ยังไม่กล้าไปลงเงินเล่น Futures แหะๆ ยังรู้สึกว่าเสี่ยงไป
เพิ่มเติม: ใครเคยลงทุนในตลาดหุ้นมาแล้ว และศึกษาการลงทุนมา อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่าผมเยอะ แต่อย่างไรแล้ว การลงทุนคลิปโตมีความเสี่ยงสูง ความผันผวนสูง ควรใช้เงินที่คุณยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ภายใน 1-2 ปี ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
สร้าง Crypto Wallet เป็นของตัวเอง
หลังจากเปิดโลกบน Binance เรียบร้อย ผมก็เริ่มคืบคลานเข้าสู่การฝากเงินกินดอก และมีเพื่อนๆกรอกหูเรื่อง (Decentralize Finance) มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกที่ผมเจอในทุกเว็บที่สอนคือ คุณต้องมีกระเป๋าเงินคลิปโตเป็นของตนเองเสียก่อน โดยมันแบ่งเป็นสองประเภทคือ
Cold Wallet จะเป็นกระเป๋าเงินคลิปโตแบบเป็นอุปกรณ์ (Hardware) แต่มันไม่ได้เก็บเหรียญนะ มันทำหน้าที่เก็บ Private Key ของเราเท่านั้นเพื่อใช้เข้าถึงเหรียญ ส่วนตัวเหรียญของเราจะอยู่บน Blockchian ซึ่งความปลอดภัยจะสูงมาก เพราะมันไม่ได้ต่อ Internet และก็เก็บอยู่กับเราที่ตัว เหมาะกับสายซื้อเก็บยาว เล่นเยอะ
ส่วนอีกตัวคือ Hot Wallet จะเป็นกระเป๋าเงินคลิปโตแบบเป็นซอร์ฟแวร์ (Software) คือต้องต่อ Internet เพื่อลิงค์กับผู้ให้บริการ และผู้ให้บริการเป็นผู้เก็บ Private Key ของเรา ส่วนตัวเราเองก็เก็บรหัสผ่านที่ตั้งขึ้น เพื่อเข้าไปใช้บริการอีกที และแน่นอน มีความเสี่ยงโดน Hack อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ต้องเลือกเจ้าที่มีความปลอดภัยและเป็นที่รู้จักหน่อย เช่น Trust Wallet, MetaMask
สำหรับผม มือใหม่ เบี้ยน้อยหอยน้อย เทรดก็น้อย ผมเลยลองเปิดกระเป๋าแบบ Hot Wallet ก่อน ก็สะดวกดีครับ
เพิ่มเติม: ส่วนกระเป๋าเงินในเว็บ Exchange ต่างๆ อย่าง BitKub, Binance ต้องบอกว่าเราใช้กระเป๋าเงินของ Exchange อยู่นะ ดังนั้น การไปเล่น Exchange ชื่อแปลกๆ ไม่เป็นที่รู้จัก ก็มักได้ยินข่าวว่า ปิดเว็บแล้วเชิดเงินหนี เพราะเงินสมาชิกทุกคนอยู่กับเขาหมดแล้ว ซวยกันไป ดังนั้น ถ้าจะเล่นยาว เล่นเยอะ และนำให้โอนเหรียญออกไปเก็บที่ Wallet ของตัวเองจริงๆ จะดีกว่าครับ
ทำความรู้จักกับ DeFi ฝากเงินกินดอก 500%
พอมีกระเป๋าเงิน ก็พร้อมที่จะโลดแล่นบนโลก DeFi (Decentralized Finance) แล้วว
ก่อนไปต่อ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า DeFi หรือ Decentralized Finance คืออะไร ผมขอสรุปสั้นๆว่า เป็นระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง ที่สามารถทำในสิ่งที่ธนาคาร(หรือตัวกลาง หรือสถาบันการเงิน) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทำได้ เช่น โอน ฝาก ถอน กู้ยืม ค้ำประกัน ฯลฯ ซึ่งข้อดีหลักๆ ของการไร้คนกลางคือ รวดเร็ว ค่าธรรมเนียมถูก และดอกเบี้ยดี
ดอกเบี้ยธนาคารที่เราฝากเงินกินดอกอยู่ทุกวันนี้ จะได้ราวๆ 0.25-2% ต่อปี แต่สำหรับ DeFi มีตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 1000% เลยก็มี โหดมากๆ แต่ต้องแลกกับความผันผวนของราคาเหรียญที่ปัจจุบันยังมีสูง เช่น แลกเงิน USD $100 เป็นเหรียญอะไรสักอย่าง 100เหรียญ ได้ดอก 100% พอสิ้นปีเราก็อาจจะได้ 200 แต่พอแปลงกลับไปเป็น USD อาจจะเหลือเพียง $50 ก็ได้ หรือกลับกัน ก็อาจจะกลายเป็น $5000 ก็ได้ อยู่ที่ราคาเหรียญตอนนั้น
ดังนั้น พี่เซียนๆทุกคนจะแนะนำว่า ฟาร์มเหรียญไหนที่ให้ดอกเบี้ยสูง เรียกว่าเหรียญซิ่ง มีโอกาสราคาผันผวนสูง อาจจะขาดทุนได้ และฟาร์มไหนดอกเบี้ยสูงแถมยังไม่เป็นที่รู้จักอีก จะเรียกว่าฟาร์มซิ่ง มีโอกาสสูงมากที่จะปิดเว็บเชิดเงินหนี (Rug Pull) หรือโค้ดอาจจะไม่ได้มาตรฐาน โดน Hacker เล่นงานได้ เพราะเงินเราที่ฝากกินดอก อยู่กับเขาทั้งหมดนะ เสมือนธฯาคารโดนโจรปล้นเลยครับ
และเช่นกัน พี่เซียนๆหลายคนจะแนะนำว่า
- ให้เล่นกับเว็บที่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแล้ว (Audited) เพื่อยืนยันได้ว่าโค้ดน่าจะปลอดภัย
- เล่นกับเว็บที่คนเล่นเยอะๆ หรือเจ้าของเปิดหน้า รู้ว่าเป็นใคร เวลามีปัญหาจะได้พอมีคนให้ตามตัว
- ฝากกินดอกกับคู่เหรียญที่ไม่ใช่เหรียญซิ่ง หรือถ้าลดความเสี่ยงขาดทุนมากหน่อย ก็ฝากเป็น Stable Coin แทน อย่าง USDT, BUSD (ทำไมฝากกินดอกแล้วขาดทุน เรื่องนี้ให้ไปหาข้อมูลต่อเองนะ คำว่า Impermanent Loss)
จากเงื่อนไขทั้งหมดนี้ เว็บ DeFi ที่แรกที่ผมได้ลองเล่นคือ https://pancakeswap.finance/ เพราะเป็นเว็บที่เพื่อนหลายคนแนะนำ น่าเชื่อถืออันดับต้นๆ ผ่าน Audit แล้วด้วย โดยผมได้ไปลองทำฟาร์มคู่เหรียญ CAKE/BNB เพื่อกินดอกเบี้ยจิ๊บๆ แค่ 60% ต่อปี เองงง..
ทั้งนี้ DeFi มันเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปี บริการต่างๆ ก็กำลังเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัว เว็บที่ดีก็เยอะ หลอกลวงก็เยอะ ยังต้องการใช้เวลาพิสูจน์อีกสักระยะ แต่บอกได้เลยว่า อนาคต DeFi มาแน่ๆ และจะสะเทือนสถาบันการเงินมากๆ
เพิ่มเติม: อุปสรรคที่ผมเจอทั้งก่อนและหลังเข้าสู่ DeFi ผมพบว่า คำศัพท์เยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Smart Contract, Automated Asset Management (AAM), Bridge, APR, APY, Liquidity Provider (LP), Yield Farming (ที่ชอบเรียกกันว่า ทำฟาร์ม), Pool, Impermanent Loss ฯลฯ และต้องบอกว่า ในแต่ละคำ มันมีรายละเอียดเยอะมาก ซึ่งตอนแรกผมไปค้นหาอ่านทีละคำๆ ไม่ได้เรื่องเลยครับ ไม่เข้าใจจริงๆ ต้องถอยกลับไปมองที่ภาพรวมมันก่อนว่า DeFi คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง และการทำงานมันเป็นอย่างไร แล้วถึงจะวกกลับไปอ่านรายละเอียดในแต่ละคำอีกครั้ง
คณิตศาสตร์ จิตใจมนุษย์ FUD FOMO และการดมกาว
หลังจากป้วนเปี้ยนในตลาดคลิปโตมาสักระยะ ทำให้ผมพบว่าตลาดนี้อาจถูกครอบครองโดย Robot ที่ทำการเทรดแทนมนุษย์ ผ่านสูตรคณิตศาสตร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ดังนั้นมนุษย์คงเทรดเร็วได้ไม่เท่าเขา แต่ๆ ทิศทางของตลาด ก็ยังคงควบคุมโดยจิตใจมนุษย์อยู่ ที่จะลากมนุษย์ด้วยกันหรือ Robot ขึ้นลง ผ่านการให้ข่าวก็ดี และผ่าน Network Effect ก็ดี
เหมือนตัวอย่างที่ผมเจอตอนถือเหรียญ Doge เมื่อใดอีลอนทวิต ราคาก็ขึ้น และเมื่อใดมีข่าวไม่ดี ราคาก็ลง ทั้งมนุษย์ทั้งบอท รับข้อมูลและเฮโลไปตามๆกัน สังเกตได้ชัดจากใน Twitter
เลยทำให้ผมอยากแนะนำ 3 คำ นี้ให้ผู้อ่านรู้จัก คือ
- FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) เป็นการสร้าง ความกลัว, ความไม่แน่นอน และความสงสัย ให้เกิดขึ้นกับตลาด รวมถึงตัวเรา
- FOMO (Fear Of Missing Out) ความรู้สึกกลัวที่จะตกรถ ต้องซื้อ ต้องเข้ากระแส
- ดมกาว หรือบางทีก็เรียกว่า ป้ายยา น่าจะพอเดากันได้ คือ ขายฝัน เล่าแต่สิ่งดีๆ อนาคตสวยงาม เลิศหรู
สามคำนี้แหละ ที่ผมเห็นชัดมากในตลาดคลิปโต และต้องแยกให้ออกว่าตอนนี้สารที่ได้รับมาเป็นเพื่อเป้าหมายใด ระยะสั้น หรือระยะยาว และมันจะช่วยให้เราเทรดได้อย่างมีสติมากขึ้น
เพิ่มเติม: ถ้าเรามั่นใจในเหรียญใดเหรียญหนึ่ง ศึกษามาดีแล้ว อนาคตไปได้สวย ตอนนี้อาจจะลุ่มๆดอนๆ ก็ถือรอไป ถ้าเข้าข่ายนี้ เรียกว่า HODL คือถือไปยาวๆ ไม่ต้องกังวล รู้อย่างเดียวว่า เดี๋ยวมันก็มา..