แค่อยากมั่นใจว่าเราเดินมาด้วยกันเท่านั้นเอง

A3722352-30
ภาพมิตรภาพแสนซื่อ ขณะที่พิกเล็ทเดินตามหมีพูห์ไปต้อยๆ
รอยเท้าคู่เล็กๆย่ำไปบนหิมะ เคียงข้างกับรอยเท้าของพูห์ไปตลอดทาง
เป็นความอบอุ่นในหัวใจที่ทั้งสองทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
ทั้งคู่คงเดินมาด้วยกันนานพอสมควร และคงไม่ได้คุยอะไรกันเลย
พิกเล็ทเลยต้อง “ขอเสียง” ด้วยการเรียกพูห์
เมื่อพูห์ขานรับและถามกลับว่า”มีอะไรหรือพิกเล็ท”
พิกเล็ทกลับเกาะมือพูห์ไว้ก่อนตอบว่า
” เปล่าไม่มีอะไร แค่อยากมั่นใจว่าเราเดินมาด้วยกันเท่านั้นเอง ”

………..

ภาพนี้ ถ้อยสนทนานี้ เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง สังเกตไหมว่าพูห์เดินนำหน้า
ควรเป็นพูห์หรือเปล่าที่น่าจะเป็นฝ่าย”ขอเสียง”พิกเล็ท
ว่ายังเดินตามตัวเองมาหรือไม่ นั่นหมายถึงว่าเป็นความกังวลในใจพิกเล็ทเอง
ที่เกรงว่าพูห์จะลืมเพื่อนตัวเล็กๆอย่างเขา

ในชีวิตเราทุกคนคงเคยผ่านพบมิตรภาพแสนดี
แต่มีกี่คนที่รักษามันเอาไว้ได้คงมั่นไม่หวั่นไหว
วันคืนแห่งชีวิตกลืนกินและฉุดดึงเรารุดไป หันกลับมามองข้างหลังอีกทีอาจจะเศร้าใจ
หากพบว่าคนที่เราไว้ใจ …ไม่มีใครเดินตามเรามาอีกแล้ว

ไม่อยากเดินข้างหน้าเพราะเกรงว่าฉันจะลืมเธอ ไม่อยากตามหลังเช่นกัน กลัวตามไม่ทัน
กลัวเธอทำฉันหล่นหาย อยากให้เราเดินเคียงกันไป อยากอุ่นใจมั่นใจ
ว่าตลอดการเดินทางชีวิตอันยาวไกล …เรายังมีกันและกันไปตลอดทาง

… ปราย พันแสง

7 ข้อเสียเวลา ที่บอกว่า เที่ยวจบ แต่คนไม่จบ!

เมื่อต้องวางแผนไปเที่ยวสองวัน ช่วง เสาร์ อาทิตย์ กับเพื่อนๆ ใครจะคิดว่าไปแล้วจบแค่นั้น ลองมาดูกันครับว่า หลังจากเที่ยวจบ 2 วัน เราอาจต้องสูญเสียเวลามากกว่าที่คิด

อันนี้ลองเขียนจากข้อสังเกตส่วนตัว ที่เวลาแบกเป้ไปเที่ยวป่า หรือต่างประเทศนะครับ ซึ่งอาจจะไมเ่กิดกับเที่ยวลักษณะช็อป ชิม ชิล ระยะใกล้ๆเท่าไรนัก ลองมาดูกัน

1. เหนื่อย และอ่อนล้า (เสียเวลา 1-2 วัน)

images

จริงๆข้อนี้ไม่ควรเกิดกับการท่องเที่ยวเลยเนอะ ทุกวันนี้ผมยังสงสัยกับเพื่อนหลายคนที่ไปเที่ยว แล้ววันรุ่งขึ้นต้องลางาน เพราะเหนื่อยจากการเที่ยว ทั้งๆที่การเที่ยวนั้นควรจะความสุข ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเที่ยวแบบสะดวกสบายก็ยิ่งไม่น่าจะเหนื่อย (ตรงกันข้าม ถ้าเทียบกับกลุ่มขาลุย เดินป่าปีนเขาที่ผมรู้จัก มักไม่ค่อยพบเช่นนั้น กลับถึงบ้าน ตีสอง ตีสาม ก็ยังไปทำงานตามปกติ)

2. เก็บ ซัก อบ รีด เมื่อเดินทางกลับมาถึง (เสียเวลา 1-3 วัน)

p35458970823

ยิ่งไปเที่ยวลุย และนานแค่ไหน ก็ยิ่งต้องใช้เวลากับส่วนนี้มากเท่านั้น ของบางอย่างต้องรีบรื้อมาตากแดด แช่น้ำยา กว่าจะได้ซักหรือทำความสะอาดต้องกินเวลา 1 วัน อย่างน้อย แล้วเอามาซัก เพื่อตากแดดอีกรอบ เผลอๆ ใช้เวลารวมกันทั้งหมดอาจ 2-3 วัน และจัดเข้าที่เข้าทางอีก 30-60 นาที

3. จัดแจงของฝาก (เสียเวลา 1-2 ชั่วโมง)

1352973499_Deluxe Christmas Hamper

สำหรับคนเดินทางไปต่างประเทศ มักเจอปัญหาว่าต้องซื้อของฝาก พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนเรียน เพื่อนข้างห้อง ไหนจะเป็นเพื่อนที่ฝากซื้ออีก ต้องรื้อมาแยกถุง แกะป้ายสินค้า ถ้าเป็นคนสำคัญ เหตุการณ์สำคัญ ก็ต้องห่อของขวัญอย่างดี ยิ่งถ้าเป็นของเสี่ยงต่อการบูดเน่า แตกหัก ยิ่งต้องประณีตเพิ่มขึ้น

4. ตกแต่งภาพ เขียนบล็อก และแชร์บนออนไลน์ (เสียเวลา 2-7 วัน)

941913_520642227972689_2009091540_n

ระหว่างเที่ยวเราก็มีโพสแชร์ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่จะมีพวกเก็บตกเล็กๆน้อยๆ หรือบางคนเก็บข้อมูลกลับมาแล้วค่อยๆ ทะยอยแชร์ (บางคนเรียกว่าปล่อยของ) หลังเที่ยวจบ เพื่อให้เพื่อนๆ งงเล่นว่า อินี่ทำการทำงานบ้างหรือเปล่า เที่ยวยาวตลอดอาทิตย์เลย ทั้งๆที่กลับมาตั้งแต่สามวันก่อน และยิ่งถ้าเล่นกล้องด้วย จะต้องมาคัดรูปถ่าย ตกแต่งภาพ แยกกลุ่มว่าอันนี้แชร์อันนี้ส่งส่วนตัว แยกกลุ่มว่าอันไหนโพสเว็บไหน โพสขายหรือโพสเล่น บลาๆๆๆ บางคนชื่นชอบการเขียน ก็จะใช้เวลาสำหรับเขียนเล่าเรื่องในบล็อกตัวเองหรือตาม Pantip อีกด้วย

5. ตามติดความคิดเห็นต่างๆ และข้อมูลของเพื่อนร่วมทริป (เสียเวลา 3-5 วัน)

305573e8b

หลังจากแชร์ข้อมูลไปต่างๆ นานา จะมีเพื่อนมาแสดงความเห็นตลอดแทบทุกโพส นั่นหละ จะเป็นช่วงเวลาที่เราเล่น Social Network มากกว่าปกติ (จากเดิมที่ว่าเล่นมากอยู่แล้ว ฮ่าๆ) ยิ่งไปกับกลุ่มเพื่อนหลายคน จะมีคนนั้นคนนี้ tag มาบ้าง รูปหล่อๆสยๆ บ้างจังหวะได้หน้าเหียกๆเบลอๆ ก็เฮฮาปาจิงโกะ บางคนเป็นเพื่อนใหม่ ก็ใช้เวลาย้อนไปดู Timeline เดิมๆของเพื่อนคนนั้นว่ามันเคยไปเที่ยวไหนมาบ้างวะ จะได้ถามหรือไปบ้าง

6. เม้าส์มอยกับเพื่อนๆ (เสียเวลา 2-3 วัน)

16246_002

พอกลับมาเจอหน้าเพื่อนๆที่เห็นเราโพสแชร์ ก็จะถูกถามนั่นโน่นนี่เพิ่มเติม หรือบางทีเราก็จะเริ่มเล่าเอง พูดง่ายๆ เหมือนอารมณ์ค้าง ต้องกลับมาเล่าความรู้สึกการเดินทางให้ฟังว่าฉันไปผ่านอะไรมาบ้าง สนุกอย่างไร แย่อย่างไร เหมือนเป็นการสอบสัมภาษณ์ (ส่วนในข้อ 4 ที่แชร์ เหมือนเป็นการสอบข้อเขียนประมาณนั้น)

7. นั่งคิดถึงทริปถัดไป (เสียเวลาไม่จำกัด)

images (1)

ข้อสุดท้าย หลังจากการเที่ยวเสร็จหรือกระบวนการข้อ 1-6 เริ่มเบาลง สำหรับคนที่มีความสุขในการเที่ยว เขาและเธอมักจะคิดถึงทริปถัดไปเสมอ ผ่านเว็บไซต์บ้าง การพูดคุยบ้าง หรือรูปที่เพื่อนคนอื่นเคยไปเที่ยวบ้าง เป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะได้เริ่มออกเดินทางใหม่อีกครั้ง (และก็ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ ข้อ 1)

เป็นอย่างไรครับ ใครเป็นแบบนี้บ้างยกมือขึ้น!

Challenge

เคยบอกตัวเองว่ายิ่งแก่ตัวไป จะต้องยิ่งแข็งแรง
ตอนนี้รู้สึกเป็นเช่นนั้น ปั่นจักรยานหลายๆกิโล วิ่งหลายๆกิโล ทนแดด ทนฝน เดินไกล ปีนเขา และถึงแม้จะยังน่ารักจ้ำม่ำอยู่ แต่ก็แข็งแรงกว่าช่วงหุ่นดีๆตอนเล่นยูโด จะมีแย่อย่างเดียวคือตัวไม่ยืดหยุ่น เลยผาดโผนได้ไม่เต็มที่

ล่าสุดทำสควอตต่อเนื่องได้ 120 ซึ่งก็ไม่เคยทำได้ แต่ก็ทำได้ แอบได้ปรัชญาชีวิตเพิ่มมาอย่างหนึ่ง คือ เราทำได้ทุกอย่าง แต่กลัวที่จะทำ (เพราะเผื่อแรงไว้ทไมไม่รู้ำ) ซึ่งถ้าอดทนทำมัน มันก็ทำได้ทุกอย่าง จริงๆนะ

ตอนนี้มีทัศนะคติที่ดีว่าทุกอย่างป็นการ challenge แต่บอกตามตรง ว่าการ challenge นั้นต้องมีเป้าหมายที่ให้ประโยชน์แก่ตัวเองเสียก่อน เพื่อให้มีเหตุผลที่จะทำ เพราะเราเป็นพวกคิดเยอะไง พอจะแข่ง เราก็คิดว่า จะแข่งไปทำไมวะ ซึ่งทุกวันนี้เจอพวกเด็กแว๊นซ์ท้าแข่งอยุ่บ่อยๆตอนขี่มอเตอไซต์ คือ ไม่รู้จะแข่งไปทำไม ชนะแล้วยังไง ไม่ช่วยให้ชีวิตกรุดีขึ้นมา แต่ถ้าพลาดไป ตายห่าไปก็โครตงี่เง่าเลย

คือบางทีก็คิดว่าการคิดแบบนี้ก็ดี ชีวิตมันปลอดภัย สมดุล เรียบง่าย ไม่ดิ้นรนเป็นไปตามหลักการทางธรรมมากๆ แต่ก็อีกทางหนึ่ง กรูอยากจะใช้ชีวิตโดยไม่ขยับขึ้นไม่ลิขิตอะไรเอง และเพื่อจะตายไปแบบนี้จริงๆหรือ

คือไอ้เรามันเป็นคนที่ contrast ในตัวเองสูง ชิบหาย ตีกันทางความคิดตลอด คือถ้าเห็นผมนั่งเงียบๆ บางทีตอนนั้นกำลังตีกับตัวเองอยู่ ซึ่งนี่แหละคงเป็นเหตุว่าต้องมีคนให้คำปรึกษา ต้องคอยถามคนอื่นบ่อยๆ ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะทางเลือกแม่งเยอะเกิน (มันคือปํญหาของคนคิดมาก) คือเหมือนปลาว่ายทวนน้ำ มีเส้นทางเยอะแยะให้เลือก แต่ไม่เห็นปลายสายว่ากรูจะออกทะเลไหน หรืออย่างเลวก็ไปอยู่ในโคลนตมที่ไหนสักแห่ง

แต่ถ้าย้อนกลับไปแบบคิดไม่ดิ้นรน เรียบง่าย มันก็จะเจอปัญหาของคนไม่คิดอะไรเลย นั่นคือ ก็ไม่มีอะไรเลย สุขแบบไม่มีอะไรจริงๆ แบบปลาไหลล่องไปตามน้ำ แล้วสุดท้าย ก็เหมือนกัน คือ มีเส้นทางเยอะแยะให้ไหลไป แต่ไม่เห็นปลายสายเหมือนกัน

แต่ในความคิด ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมคิดว่า ถ้าจะดีจะเลว จะตัดสินใจอะไร ก็ขอให้เป็นด้วยน้ำมือตัวเอง ลิขิตเองจะดีกว่า แบบ ถ้าจะขี่มอเตอร์ไซต์แล้วคว่ำ ก็ให้กรูคว่ำด้วยตัวกรูเองดีกว่า ไม่ใช่วินพาคว่ำ แม่งรู้สึกเสียศักดิ์ศรี และงี่เง่าแปลกๆ (แค่ยกตัวอย่างนะ ไม่ต้องคิดว่าเป้นลางจะขี่ผาดโผนไปคว่ำที่ไหน)

ตามธรรมเนียมของผม มักคิดอะไรได้เขียนอะไรได้ตอนดึกๆ เงียบๆ อยู่คนเดียว คิดๆบ่นๆ แป๊บเดียวแม่งจะตี 3 แล้ว นอนดีกว่า

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้..

Interstellar

film-review-interstellar-reminds-me-why-i-keep-wanting-to-make-motion-pictures-0c1ea9e4-46c8-480f-a805-93a3743c4d0f

เป็นหนังที่คิดว่าอาจเฉยๆ(จนเกือบเบื่อ)ในมุมคนดูหนัง แต่จะสนุกมากสำหรับคนชอบเรื่องจักรวาลวิทยา หรือเคยอ่านหนังสือ A Brief History of Time และ The Universe in a Nutshell ของ Stephen Hawking

ที่บอกว่าพวกจักรวาลวิทยาจะชอบ เพราะมันเต็มไปด้วยทฤษฎีฟิสิกส์เรื่องของหลุมดำ รูหนอน กาลเวลา มิติที่ห้า ที่โนแลนได้สร้างเป็นภาพเติมเต็มจินตนาการในสิ่งที่เราจินตนาการไม่ถึง โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นภาพภายในรูหนอน, singularity ที่ก้นหลุมดำ, มิติที่ห้าที่ว่าด้วยเวลาเป็นกายภาพ และผมเข้าใจว่ามันถูกแสดงในรูปแบบสนาม String (เพราะมันทำเป็นเส้นๆ แสดงภาพซ้อนของกาลเวลา ฮ่าๆ) และปิดท้ายด้วยการค้นพบทฤษฎีอะไรบ้างอย่างส่งกลับไปยังโลกด้วยการสื่อสารผ่านแรงโน้มถ่วง (Gravity) อันนี้ผมเข้าใจว่าอาจเป็นทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (The Theory of Everything)

ไอ้ที่เขียนมาเกือบทั้งหมดนักวิทยาศาสตร์ยังเถียงกันอยู่เลยเพราะยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ไม่รู้หละ โนแลนทำให้เห็นละ ถ้าอ่านๆแล้วพอเข้าใจและชอบ ก็สมควรไปดูอย่างยิ่ง

ลองอ่านเรื่องย่อหลุมดำที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนก็ได้ https://myifew.com/956/amazing-black-hole/

สรุปว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการสำเร็จความไคร่ชั่วขณะให้บรรดาสาวกจักรวาลวิทยา ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะเดินทางไปถึง

ความคิดในทุกๆก้าว

IMG_20141107_000444

ความคิดของผมชัดเจนทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับตัวเอง
บนลู่วิ่ง หรือเส้นทางที่ก้าวเหยียบในทุกๆก้าว
เมื่อเราไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการเคลื่อนไหว..

เริ่มวิ่งไปที่กิโลเมตรแรก..
ผมคุยกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมาจุดนี้ได้ แน่นอนมันเป็นความทะเยอทะยานบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องมาจากการชอบเที่ยว ชอบเข้าป่าและปีนเขา ผมคิดเสมอ ถ้าร่างกายผมไม่แข็งแรงพอ ผมจะพิชิตยอดเขาที่สูงขึ้นไปได้อย่างไรกัน อาจจบที่เขาใดเขาหนึ่ง ไม่สามารถไปต่อที่ที่สูงขึ้นหรือยากขึ้นได้เลย

เข้าสู่กิโลเมตรที่หนึ่ง..
ผมเคยลังเลว่าตัวเองหมดไฟแล้วหรือยัง ทำไมฉันถึงไม่ขยับไปไหนสักที แต่เปล่าเลย สิ่งต่างๆในกิจกรรมที่ผมทำ ผมพบว่าตัวเองยังมีไฟ ยังมีความทะเยอทะยาน และมีพลังมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีใครคนหนึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยมี คุณก็ต้องทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ” นั่นคือการที่ผมลุกมาทำอะไรบ้าๆบอๆ ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ในชีวิต  ผมจึงได้โลกใหม่ ได้ชีวิตที่แข็งแรงขึ้น  และก็ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ๆ

เข้าสู่กิโลเมตรที่สอง..
มันตอกย้ำกับความคิดผมที่ว่า เรื่องราวระหว่างทางย่อมมีความหมายและสวยงามของมันในทุกๆช่วงขณะ และเราจะได้ประสบการณ์จากตรงนั้น ส่วนปลายทางความสำเร็จ  มันเป็นความภูมิใจของเรา ที่ได้สั่งสมประสบการณ์จนมาถึงจุดๆนี้ได้ รอบข้างเราเต็มไปด้วยสิ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจดจำมันไว้ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ดีเสมอ และผ่านมาแล้ว

เข้าสู่กิโลเมตรที่สาม..
ผมเริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากที่มาได้เกิน 60% แล้ว พอๆกับร่างกายที่ตึงพอสมควร แต่เราก็ทำมันได้  ผมพยายามหาเหตุผลและวิธีคิดให้ตัวเองบรรลุอะไรบางอย่าง ผมควรทำอย่างไรดีเพื่อเปลี่ยนพลังความทะเยอทะยานบ้าๆบอๆและไฟเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ บ้าง เช่น งาน เงิน ความรัก บางทีมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีและเร็วกว่านี้ก็เป็นได้

เข้าสู่กิโลเมตรที่สี่ กิโลเมตรสุดท้าย..
ผมเริ่มประมาณการระยะทางที่เหลือ และนับถอยหลังเรื่อยๆ  คำสบถเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัว “แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบหาย เมื่อไรจะถึง” บางทีก็คิดถึงอนาคตที่ว่า “วิ่งจบเมื่อไรกรูจะลงไปนอนแผ่ทันที” กิโลเมตรนี้สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผม มันทำให้ผมเห็นหน้าบรรพบุรุษที่เสียไปแล้ว กำลังกวักมือเรียก เหงื่อแตก น้ำมูกไหล ดั่งธาตุไฟเข้าแทรก มันเป็นช่วงที่ต้องนึกถึงบุญกรรมที่เคยสะสมไว้ในชาตินี้และชาติที่แล้ว  ช่วยดลบรรดาลให้เรามีพลังเฮือกสุดท้ายทำการใหญ่ได้สำเร็จ

สิ้นสุดห้ากิโลเมตร..
อยากจะร้องไห้น้ำตาไหลเพราะทำสำเร็จ  แต่น้ำระบายทั้งตัวผ่านเหงื่อและน้ำมูกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความปวดร้าว จังหวะหัวใจที่เต้นแรง และความภูมิใจลึกๆ ว่า “หนูทำได้” (ตามด้วยเสียงบีบแตร ปี๊บๆ ปี๊บๆ)

 

เรียบเรียงจากคำให้การของนักวิ่งหน้าใหม่