ความคิดในทุกๆก้าว

IMG_20141107_000444

ความคิดของผมชัดเจนทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับตัวเอง
บนลู่วิ่ง หรือเส้นทางที่ก้าวเหยียบในทุกๆก้าว
เมื่อเราไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการเคลื่อนไหว..

เริ่มวิ่งไปที่กิโลเมตรแรก..
ผมคุยกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมาจุดนี้ได้ แน่นอนมันเป็นความทะเยอทะยานบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องมาจากการชอบเที่ยว ชอบเข้าป่าและปีนเขา ผมคิดเสมอ ถ้าร่างกายผมไม่แข็งแรงพอ ผมจะพิชิตยอดเขาที่สูงขึ้นไปได้อย่างไรกัน อาจจบที่เขาใดเขาหนึ่ง ไม่สามารถไปต่อที่ที่สูงขึ้นหรือยากขึ้นได้เลย

เข้าสู่กิโลเมตรที่หนึ่ง..
ผมเคยลังเลว่าตัวเองหมดไฟแล้วหรือยัง ทำไมฉันถึงไม่ขยับไปไหนสักที แต่เปล่าเลย สิ่งต่างๆในกิจกรรมที่ผมทำ ผมพบว่าตัวเองยังมีไฟ ยังมีความทะเยอทะยาน และมีพลังมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีใครคนหนึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยมี คุณก็ต้องทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ” นั่นคือการที่ผมลุกมาทำอะไรบ้าๆบอๆ ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ในชีวิต  ผมจึงได้โลกใหม่ ได้ชีวิตที่แข็งแรงขึ้น  และก็ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ๆ

เข้าสู่กิโลเมตรที่สอง..
มันตอกย้ำกับความคิดผมที่ว่า เรื่องราวระหว่างทางย่อมมีความหมายและสวยงามของมันในทุกๆช่วงขณะ และเราจะได้ประสบการณ์จากตรงนั้น ส่วนปลายทางความสำเร็จ  มันเป็นความภูมิใจของเรา ที่ได้สั่งสมประสบการณ์จนมาถึงจุดๆนี้ได้ รอบข้างเราเต็มไปด้วยสิ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจดจำมันไว้ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ดีเสมอ และผ่านมาแล้ว

เข้าสู่กิโลเมตรที่สาม..
ผมเริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากที่มาได้เกิน 60% แล้ว พอๆกับร่างกายที่ตึงพอสมควร แต่เราก็ทำมันได้  ผมพยายามหาเหตุผลและวิธีคิดให้ตัวเองบรรลุอะไรบางอย่าง ผมควรทำอย่างไรดีเพื่อเปลี่ยนพลังความทะเยอทะยานบ้าๆบอๆและไฟเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ บ้าง เช่น งาน เงิน ความรัก บางทีมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีและเร็วกว่านี้ก็เป็นได้

เข้าสู่กิโลเมตรที่สี่ กิโลเมตรสุดท้าย..
ผมเริ่มประมาณการระยะทางที่เหลือ และนับถอยหลังเรื่อยๆ  คำสบถเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัว “แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบหาย เมื่อไรจะถึง” บางทีก็คิดถึงอนาคตที่ว่า “วิ่งจบเมื่อไรกรูจะลงไปนอนแผ่ทันที” กิโลเมตรนี้สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผม มันทำให้ผมเห็นหน้าบรรพบุรุษที่เสียไปแล้ว กำลังกวักมือเรียก เหงื่อแตก น้ำมูกไหล ดั่งธาตุไฟเข้าแทรก มันเป็นช่วงที่ต้องนึกถึงบุญกรรมที่เคยสะสมไว้ในชาตินี้และชาติที่แล้ว  ช่วยดลบรรดาลให้เรามีพลังเฮือกสุดท้ายทำการใหญ่ได้สำเร็จ

สิ้นสุดห้ากิโลเมตร..
อยากจะร้องไห้น้ำตาไหลเพราะทำสำเร็จ  แต่น้ำระบายทั้งตัวผ่านเหงื่อและน้ำมูกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความปวดร้าว จังหวะหัวใจที่เต้นแรง และความภูมิใจลึกๆ ว่า “หนูทำได้” (ตามด้วยเสียงบีบแตร ปี๊บๆ ปี๊บๆ)

 

เรียบเรียงจากคำให้การของนักวิ่งหน้าใหม่

ทำไมคนที่วิ่งชอบอวดในเฟส..

เพิ่งได้นั่งอ่านกระทู้ “ทำไมคนที่วิ่งชอบอวดในเฟส..” รู้สึกว่าจะถามไปทำไมวะ ก็เหมือนคนอวดสิ่งอื่นๆแหละ, ในความคิดผม คนทำ activity แนวนี้ ทั้ง วิ่ง ปีนเขา เดินป่า ปั่นจักรยาน (คือกรูทำหมดไง เลยเข้าใจ) ชอบก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองมากกว่า ไต่เขาสูงและยากไปเรื่อยๆ วิ่งได้ไกลเรื่อยๆ ปั่นจักรยานไกลได้เรื่อยๆ มันก็ภูมิใจในตัวเองนะว่า “เมื่อก่อนกรูทำไม่ได้ แต่ตอนนี้กรูทำได้แล้วว่ะ” มันค่อนข้างสร้างแรงบันดาลใจ (ignite) ให้ตัวเองทำต่อไป และให้คนอื่นได้ลองทำบ้างว่ะ มันเป็นพันธสัญญาอย่างหนึ่งกับตัวเองและผู้อื่นเลยนะเว้ย

ไปรษณีย์ไทย.. เอ้า รับนะ!

2557-10-21 17_04_58-(4) Chitpong Few Wuttanan

โล่รางวัล ของ เต๋อ นวพล ถ้าเช็คแล้วเป็นความผิดของไปรษณีย์ไทย อยากรู้ว่าจะรับผิดชอบยังไงหว่า จ่ายเงินชดเชย 2,000 บาท?

คือนึกถึงคลิปที่มีพี่คนนึงแกมาด่าโวยวาย รูปพระครูบาของแกส่งมายับยู่ยี่ แกบอกว่าของราคาไม่กี่ร้อย แต่มันมีค่าทางใจกับแกมาก แกขออย่างเดียว ขอให้มันปรับปรุงระบบการขนส่งให้ดี

สิ่งเหล่านี้ ผมว่าไปรษณีย์ไทยน่าจะมองเห็นนะว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเงินที่จ่ายไปก็จบ หรือโทษคนส่งว่าแพ็คของไม่ดี หรือโทษว่าแรงงานไม่พอทำงานหนัก ซึ่งมันดูไม่ใช่คำตอบที่ดีกับไปรษณีย์ไทยเองเลย

ในวงการ E-Commerce เอง ปัญหาหลักๆ ก็มีเรื่องระบบชำระเงิน (Payment) และขนส่ง (Shipping) นี่แหละ ที่คอยฉุดรั้งไม่ให้ E-Commerce ไทยไปได้เต็มตัวสักที จะดีหน่อยก็คือระบบชำระเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคาร และองค์กรต่างๆก็พยายามทำกันอยู่ แล้วก็ไปได้ดีด้วย แต่อีระบบขนส่งนี่แหละ ช้า เละ มั่ว เหมือนเดิม

10 ปี เป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น (จะดีขึ้นหน่อยก็คือ Tracking ได้ว่าของอยู่ไหน)

จริงๆ ไม่อยากใช้คำพูดวิชาการแบบนักการเมืองเท่าไร แต่ก็นึกคำได้แค่นี้ว่า ไปรษณีย์ไทยควร “บูรณาการ” วิธีการขนส่งตนเองเสียใหม่นะ หน้าบ้านบริการดี แต่หลังบ้านยังคุมไม่ได้ รีบทำก่อนที่พนักงานในบริษัทจะอายุสั้นลงเพราะมีแต่คนสาปแช่งทุกวันๆ

ยืนชิดขวา

เมื่อเช้าเจอคนโต้เถียงกันที่บันไดเลื่อนรถไฟฟ้า
ทุกคนยืนชิดซ้ายหมด แต่มีเจ๊คนนึงยืนชิดขวา

คนเร่งรีบอย่างผมและหลายๆคนก็กำลังวิ่งเลนขวา

“พี่คะ ยืนขวางทางค่ะ” คนซ้ายบอก

“ชั้นยืนถูกแล้วนี่ ป้ายบอกให้ยืนชิดขวา” คนขวาบอก

“แต่พี่คะ ตอนนี้เขาชิดซ้ายกันหมดนะคะ” คนซ้ายบอก

“ก็พวกน้องนั่นแหละที่ยืนผิด ไม่เคยเห็นเขารณรงค์กันหรือไง” คนขวาบอก

เช้าวันนี้ อิพวกรับกรรมอย่างกรู เลยได้บรรลุธรรมเดินทางสายกลางแหวกเจ๊ทั้งคู่ไป..

เฮ่อ…ชีวิต

พักหลังๆ นอนบ่อยมาก ช่วงกลางคืนก็นอน 5 ชม. ถึงเช้า รู้สึกร่างกายกำลังจะแย่ มันผิดปกติแฮะ หมดแรงง่ายๆ และกลับมาถ่ายเป็นเลือดอีกแล้ว โฮ่…. จะเป็นไปอีกนานสักแค่ไหน และก็ยังคงร้องไห้ก็ยังตามเคย

คิดถึงจัง…วันนี้ไปหามาม๊าของที่รักมา เขาไปดูดวงให้เรา ว่าเราเครียดมากๆ ร่างกายเสื่อมโทรมมากตอนนี้ (โอ้ว แม่นเว้ย) เค้าบอกว่าจะมีเพื่อนนำคดีอาญามาเกีย่วข้อง (มันก็มีแต่ยังไม่ได้ทำ) เค้าว่าดวงเราแย่มาก แทบตายเลย ต้องสะเดาะเคราะห์

ป้าไพ่คนงานของมาม๊า ที่ไปดูดวงให้เรา พอเค้ายื่นดวงให้หมอปุ๊บ เค้าบอกว่า ดวงของเพื่อนสนิท เพื่อนที่รู้ใจของน้องปุ้ยใช่ไหม (โอ้ว รู้ได้จังได๋ แค่เห้นวันเกิดกับชื่อเรา) แล้วเค้าก็ดูดวงที่รักต่อจากเรา เค้าบอกว่า ที่รักเรามีดวงเศรษฐีและดวงรวย (เออ บ้านเค้ารวยจริงๆ) แต่อยู่เรื่อยๆ ไม่ค่อยอะไรมากนัก แล้วเค้าบอกว่า เรามีดวงปัญญา,รวยกับ พ. ซึ่งมันคืออะไรไม่รู้ เค้าบอกว่าเราคอยสอนที่รักทุกอย่าง สอนการรใช้ชีวิต สอนเรียนรู้ เป็นที่พึ่งและอยู่ด้วยได้เสมอ แต่เวลาสอนอะไรที่รักแล้ว ต้องระวัง เค้าจะหงุดหงิดใส่บ่อยๆ ว่าทำไม่ได้ (ทำไมทายเหมือนตาเห็น อิอิ)

เฮ่อ พรุ่งนี้ต้องสอบและไปสะเดาะเคราะห์ ตอนบ่าย หวังว่าจะดีขึ้น (แต่มาม๊าบอกไว้แล้วว่า ถ้าอะไรมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด เราทำได้สุดกำลังแล้ว)

เรื่องพวกนี้เราเชื่อ 50/50 แต่หมอดูทักตรงพอสมควรก็ชักจะ 65/35 กึ่งๆ เดี๋ยวต้องลองคุยด้วยตัวเอง ว่าจะแม่นสักแค่ไหน

รักตัวเองจัง อยากอยู่ดูแลตัวเองนานๆ ยังไม่ได้ทำอะไรให้อีกหลายๆ อย่างเลย สิ่งที่เขียนเพื่อให้ตัวเองไว้ตอนที่ไม่มีเราอยู่ ไม่รู้จะสนใจมากแค่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าอาจจะดูแลไม่ได้ตลอดไป แต่ก็มันต้องมีสักวันนึง ชีวิตมนุษย์ย่อมร่วงโรย


ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ใน ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง

ชาติปิ ทุกขา ความเกิดก็เป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุกปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ

เมื่อความแก่เข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์ เมื่อความตายเข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์ เมื่อความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจเกิดขึ้นมา ก็เป็นทุกข์ เมื่อประสบพบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์ เมื่อพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์ และแม้คิดปรารถนาอยากได้สิ่งใด แต่ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็เป็นทุกข์ กล่าวโดยย่อแล้วก็คือ การหลงคิดว่าร่างกายเป็นของเราของเขานั่นแล เป็นตัวทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง ฯ

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจนี้แลเป็นต้นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง คือ มีความอยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป และมีความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่าปรารถนา ก็เป็นเหตุให้ใจเกิดทุกข์ สิ่งใดที่ยังไม่มี ก็คิดอยากจะให้มีขึ้นมา อย่างนี้ก็ทำให้ใจเกิดทุกข์ และเมื่อมีทุกอย่างสมปรารถนาแล้ว ก็อยากจะให้ทุกอย่างคงทนอยู่ตลอดไป เมื่อมันจะต้องสลายหายไป ก็ร้อนใจไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ใจเกิดทุกข์หนักขึ้นอีก ฯ