ตายแล้ว เอาไปไม่ได้ บริจาคร่างกายและอวัยวะกันดีกว่า

313767_507970535917564_1711347443_n

พอดีเห็นมีคนโพสใน Facebook เลยอยากมาช่วยเผยแพร่ครับ สนับสนุนแนวคิดที่ว่า
“ตายแล้ว เอาไปไม่ได้ บริจาคร่างกายและอวัยวะกันดีกว่า”

บริจาคร่างกาย และบริจาคอวัยวะเพื่อการศึกษา กับสถาบันการแพทย์ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยต่างๆ
และเพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วยต่างๆ ที่รอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ จากผู้บริจาคทั้งหลาย
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นของการบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา การวิจัย และการรักษาทางการแพทย์ อาทิ

  • เพื่อการศึกษาของนิสิตแพทย์ และแพทย์ประจำบ้าน
  • เพื่อการฝึกอบรมหัตถการต่างๆ และงานวิจัยทางการแพทย์
  • เพื่อการศึกษาของนักศึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ
  • เพื่อเก็บเนื้อเยื่อบางส่วนสำหรับการรักษาทางการแพทย์
  • เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด
  • เพื่อเก็บโครงกระดูกเพื่อการศึกษาตลอดไป

การบริจาคนี้จะอุทิศร่างกายฯ เมื่อเราถึงแก่กรรมแล้วเพื่อให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแบบฟอร์มที่ http://www.redcross.or.th/content/page/51
แล้วกรอกข้อความ ส่งแบบฟอร์ม มาพร้อมกับซองที่จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง ทางไปรษณีย์ มาที่
แผนกอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ศาลาทินทัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เขตปทุมวัน กทม. 10330
(โรงพยาบาลจะส่งบัตรประจำตัวไปให้ภายหลัง)

แต่ถ้าท่านสะดวกไปสถานที่รับบริจาคร่างกายที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (นั่ง BTS ไปลงศาลาแดง ง่ายดีครับ)

ให้เตรียมหลักฐานที่ใช้ในการแสดงความจำนงอุทิศร่างกาย คือ

  • สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ จำนวน 1 ฉบับ

และเมื่อท่านเสียชีวิต ให้ทำการแจ้งมาที่โรงพยาบาลฯ ทางโรงพยาบาลจะจัดเจ้าหน้าที่ไปรับร่างผู้อุทิศร่างกายฯ
(เฉพาะที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลคือ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี
สมุทรสาคร และนครปฐม(บางอำเภอ) เท่านั้น)

ผู้อุทิศร่างกายฯ ที่อยู่ต่างจังหวัด โรงพยาบาลฯ ขอให้ญาติ บรรจุใส่หีบเย็น หรือใช้ถุงน้ำแข็งอย่างน้อย 2 ถุง วางบนหน้าท้องคลุมด้วยผ้าห่ม
แล้วจึงนำส่งที่ฝ่ายกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตรวจดู
*หากไม่สามารถนำมาศึกษาได้ โรงพยาบาลฯ ใคร่ขอความกรุณาให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป

สอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 02-2564281 , 02-2564628 , 02-2564685 , 02-2527028 ต่อ 0 หรือ 4 หรือ 7

—–

ปล1. เมื่อท่านสมัครแล้ว แนะนำให้พกบัตรติดตัวไว้ครับ กรณีเสียชีวิต จะได้โทรติดต่อได้ทันที
ปล2. ผมยังบริจาคร่างกายไม่ได้ เพราะเมื่อ 3 ปีก่อนน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่เขารับ  T-T เดี่ยวคงต้องไปยื่นใหม่
ปล3. การจะบริจาคร่างกายหรืออวัยวะ แนะนำให้สอบถามคนในครอบครัวก่อนนะครับ เพราะบางครอบครัวเขาไม่ต้องการให้แยกส่วนรางกายเรา หรืออาจจะขัดกับศาสนพิธี ความเชื่อหลังเราตายไปแล้ว

20130421_231752

ครั้งแรกกับการดูมวยยิ่งใหญ่สดๆ ติดขอบเวที Thai Fight 2013 at Pattaya

มีโอกาสได้ไปงานต่อยมวยครั้งแรกในชีวิต และเป็นงานใหญ่ระดับอินเตอร์เสียด้วย อย่างงาน  Thai Fight ซึ่งเป็นการจัดครั้งแรกของปี 2013 ณ เมืองพัทยา
ที่จะเขียนมาทั้งหมด ต้องบอกก่อนว่าไปในนามบริษัทจึงได้มีโอกาสดูแบบชิดติดขอบสนาม ดังนั้น หากใครมาอ่านหรือเคยไป ก็อย่าได้สงสัยและอิจฉา อะแฮ่มๆ

งาน Thai Fight รอบนี้ จัดตรงกับวันไหลที่พัทยาพอดิบพอดี รถติดมหาศาลทั่วทั้งเมือง การจะเดินทางจากพัทยากลางไปพัทยาใต้ ค่อนข้างลำบากพอสมควร
เราเลยแบบว่านั่งรถจากพัทยากลางลงไปที่ Ocean Marina Yacht Club Hotel แล้วนั่งเรือหรูๆหลบกระแสผู้คนไปที่แหลมบาลีฮาย แหม่ แค่เปิดตัวก็อลังการแล้ว

ทุกท่านคงได้ดูต่อยมวย Thai Fight สดๆจากทีวีไปแล้ว (ถ้ายังลองไปหาใน Youtube ได้) ผมคงไม่เล่าอะไรมาก แค่สรุปเกร็ดเล็กๆน้อยๆ จากที่ไปมาก็แล้วกัน

  • ถ้ารีบไปก่อนจะได้นั่งหน้า ติดเวที พวกผู้หลักผู้ใหญ่บางทีก็มักมากันไม่ครบ อาจจะได้ไปนั่งในที่นั่ง Exclusive เลยทีเดียว
  • งานเป็น Open Air (ไม่มีหลังคา) ดังนั้น ถ้ารีบไปก่อนก็จะเจอแดดร้อนพอสมควร ดังนั้นพกหมวก ร่ม น้ำดื่ม อาหารนิดๆหน่อยๆใส่กระเป๋าเข้าไปด้วยก็ดี
  • แสง สี เสียง จัดดีมากๆ ถ้าคนชอบถ่ายรูป แนะนำให้พกกล้องไปเลยครับ ถ่ายมาอย่างไรก็สวย ไม่เชื่อให้ดูรูปที่ผมถ่ายข้างล่าง ใช้กล้องมือถือ Samsung Galaxy S2 แต่แสงสียังสวยเลยครับ
  • ห้องน้ำค่อนข้างไกลนิดหนึ่ง พยายามปลดทุกข์ให้เสร็จก่อนเข้างาน
  • ถ้าไม่มีบัตรเข้าชม ไม่ต้องกังวล หน้างานจะมีพวกบูธของบริษัทต่างๆมาจัด มักมีเล่นเกมส์แจกบัตรเข้างานฟรีๆ (บางบริษัทแจกใน Facebook, Website ก็ลองตามกันดู) และถ้าเก้าอี้เหลือ จะเปิดให้เข้าฟรี แต่ทำใจนะว่าจะได้นั่งดูไกลมากๆ
  • บริษัทที่สนับสนุนและ(คาดว่าจะ)มีแจกบัตรเข้าชมฟรีในออนไลน์  เช่น Isuzu, King Power, เมืองไทยประกันชีวิต, น้ำดื่มสิงห์ , Yamaha, KYB, GS Battery, ช่องสาม
  • งานไม่น่าเบื่อ สนุกดีครับ ช่วงพักยกมวย หรือพักโฆษณา มีเพลงเปิดตลอด บรรยากาศถูกบิ๊วให้คนดูไม่เบื่อเลย ใช้ได้ๆ
  • มวยที่ต่อยกันบนเวที ค่อนข้างโหดกว่าดูในทีวีเยอะ ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจัดฉากแบบมวยปล้ำ เพราะช้ำจริง แตกจริง เลือดอาบจริงๆ แต่ถ้าบอกว่ากำหนดคนชนะมาแล้วอันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ เพราะรอบนี้นักมวย 1 ใน 4 ตัวหลักเขาก็แพ้คนนึง
  • บรรยากาศในงานเหมือนงานคอร์นเสิร์ท เพราะงานนี้เขาตั้งใจจัดเพื่อความบันเทิง เพื่อให้คนเข้าถึงง่าย ดังนั้นแสงสีเสียงอลังการ นักมวยมีเต้นเปิดตัว เป็นเรื่องปกติครับ
  • ในทีวีที่ถ่ายทอดสดจะมีเฉพาะคู่เด็ดๆครับ แต่ถ้าไปงานจริง จะได้ดูคู่นอกรอบก่อน 3-5 คู่ สนุกเหมือนกัน

ถ้ามีโอกาส ลองไปดูของจริงกันนะครับ ปีหนึ่งเข้าใจว่าจัดในไทยน่าจะมี 2-3 ครั้งได้

20130419_141527

 

20130419_171932

20130419_173012

20130419_182503

20130419_195751

20130419_192530

20130419_181817

20130419_190422

20130419_194612

20130419_194612

 

บริจาคเงินออนไลน์กับสภากาชาดไทย

20-04-2013 22-30-17-redcross

พอดีได้จดหมายแจ้งโครงการบริจาคสภากาชาดไทยเพื่อสมทบทุนสร้างอาคาร ภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ในใจอยากทำครับๆ ไม่เคยทำบุญสร้างโรงพยาบาลใดๆกับเขาเลย
แล้วบังเอิญไปเห็นว่าบริจาคออนไลน์ได้ด้วย ไอ้เราก็คลุกคลีกับระบบชำระเงินออนไลน์อยู่แล้ว จึงขอเข้าไปทดสอบดูหน่อย

ที่นี่ใช้ระบบชำระเงินบัตรเครดิต และโอนเงิน ซึ่งเป็นของธนาคารกรุงไทยทั้งคู่
และตัวเว็บไซต์ก็มีการเข้ารหัสเป็น SSL ด้วย แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ค่อนข้างปลอดภัยกว่าเว็บทั่วไปนิดหน่อย

20130420_225418

 

จุดที่ผมอยากให้พิจารณามี 3 อย่าง คือ

  1. เลขเงินบริจาคในจดหมายกับในเว็บไซต์ ที่มีให้เลือก มันมีไม่ตรงกัน (ผมงงๆ อยู่แป๊บหนึ่ง จนนึกได้ว่ากรอกเป็นอื่นไ แทนก็แล้วกัน)
  2. ถ้าผมส่งจดหมายยืนยันไปว่าผมได้บริจาคผ่านเว็บไซต์ไปแล้ว เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องไปเทียบชื่อบนเว็บกับบนจดหมายว่าตรงกับสมาชิกกาชาดคนใด ดังนั้นถ้าให้ง่าย น่าจะมีช่องกรอกเลขสมาชิกกาชาดทั้งบนจดหมายและบนเว็บก็จะสะดวกขึ้น (เลขสีแดงๆขวามือ ตอนแรกคิดว่าเป็นเลขประจำตัวกาชาดฯของผม แต่ลองดูหน้าบัตรแล้วก็ไม่ใช่)
  3. จดหมายนี้มันถูกออกแบบมาให้ส่งไปรษณีย์ได้เลยโดยไม่ต้องใส่ซอง (เพราะมีเลขอนุญาตไม่ติดแสตมป์พร้อมที่อยู่ถึงกาชาดไทย) ผมเชื่อว่าคนหลายคนกลัวที่จะกรอกเลขบัตรเครดิต ถึงแม้จะไม่ให้กรอกเลข CVV หลังบัตร แต่ผมเองผมยังกลัวเลยครับ

 

เอาหละครับ สำหรับชาวโลกอินเทอร์เน็ต ใครอยากทำบุญ บริจาคเงิน (หรืออยากลองการชำระเงินออนไลน์)
ก็สามารถทำได้ง่ายๆกับสภากาชาดไทยเลยครับ แค่สมัครสมาชิก กรอกข้อมูลนิดหน่อยแล้วเลือกว่าจะทำบุญบริจาคอะไร
จากนั้นเลือกชำระด้วยบัตรเครดิต เดี๋ยวเขาส่งใบเสร็จกลับคืนมาให้ สะดวกดีๆ

โดยเข้าไปที่ >> http://www.redcrossfundraising.org/ <<

ปล. เผื่อใครเลือกไม่ถูกว่าจะทำบุญอะไร ตอนนี้เขากำลังต้องการทุนเพื่อก่อสร้างอาคาร ภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กันครับ

การสร้างคนให้ยิ่งใหญ่ ของ คุณ ธนินท์ เจียรวนนท์

ได้อ่านแนวคิด การสร้างคนให้ยิ่งใหญ่ ของ คุณ ธนินท์ เจียรวนนท์ ค่อนข้างชอบ เพราะมีหลายอย่างที่ผมก็บังเอิญคิดคล้ายท่าน เพราะจริงๆแล้วท่านค่อนข้างใช้วิธีบริหารในแบบฉบับโลกตะวันออก (ที่มีวัฒนธรรมแบบจีนเป็นตัวตั้ง) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเองก็ชอบอยู่แล้ว หรือแม้แต่คนที่ท่านยกย่องหนึ่งในนั้นก็คือ ท่าน สี จิ้นผิง (ตอนนี้เป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) ว่า [tweetherder]”นี่คือผู้นำที่แท้จริง นิ่มนวล และฟังเหตุผล ฟังมากกว่าพูด”[/tweetherder]

และด้วยความที่บริหารแบบตะวันออก  [tweetherder]คุณธนินท์ จึงค่อนข้างเน้นว่า การสร้างองค์กรธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ได้ สิ่งสำคัญมาจากคนทั้งนั้น[/tweetherder]  ไม่ว่าจะเทคโนโลยีก็มาจากคน เงินก็มาจากคน ซึ่งท่านถือว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ โดยท่านเองก็ไม่ได้เน้นเรื่องคนเก่งเป็นอันดับแรก แต่ท่านบอกว่าท่านจะเลือกคนที่มีสี่ประการคือ ขยัน อดทน มานะพยายามและซื่อสัตย์ เพราะถ้าคนมีสี่อย่างเหล่านี้ การจะสร้างความรู้ความสามารถให้เขา เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเย็นนัก

คนจะเก่งหรือไม่เก่ง ท่านค่อนข้างย้ำบ่อยมากว่า “[tweetherder]ในโลกนี้ไม่มีคนไหนและไม่มีใครจะเก่งไปตลอดกาล[/tweetherder] ถ้าวันนี้ผมพูดว่าคนนี้เก่งผมเชื่อว่าอย่างมากก็เก่งหนึ่งวัน เพราะพรุ่งนี้ก็อาจมีคนเก่งกว่าคนนี้ก็ได้ บางคนอาจจะภูมิใจว่าวันนี้ผมเก่งที่สุดแล้ว แต่อาจจะไม่เก่งไปตลอด สองวันอาจจะมีคนเก่งกว่า ถ้าเราภูมิใจว่าเราเก่งอยู่เรื่อยๆ เราก็อาจจะกลายเป็นคนโง่” แล้วท่านก็ได้เตือนว่าคนเก่งมักจะเชื่อว่าไม่มีใครสู้เขาได้ แล้วเขาก็จะไม่ไปรับฟังความคิดเห็นจากใคร  ไม่ต้องขวนขวายเรียนรู้ ซึ่งปกติแล้วคนเก่งจะไม่ยอมคบคนเก่งด้วยกัน และจะไม่ยอมรับฟังคนที่เก่งกว่าด้วย

ท่านมีวิธีมองอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างขัดแย้งกับทฤษฎีตะวันตกที่บอกว่าต้องเชื่อมันว่าเราทำได้ ต้องมั่นใจว่าเราเก่งพอ (เห็นได้ตามหนังสือจิตวิทยาหรือสร้างกำลังใจทั่วไป) ซึ่งวิธีของท่านคือ[tweetherder]เราต้องหาจุดด้อยของตัวเราเอง และหาจุดเด่นของคนอื่น[/tweetherder] โดยเฉพาะเจ้านายเราและลูกน้องเราเอง ถ้าเรารู้จุดเด่นของเจ้านายเรา เราจะเคารพนับถือเขาได้อย่างใจจริงและจะยอมเชื่อฟัง ส่วนถ้ารู้จุดเด่นของลูกน้องเรา เราก็จะเคารพเขา แล้วเขาก็จะเคารพเราตอบ เพราะมนุษย์ถ้าให้ความรัก ความเคารพไปก่อนก็จะส่งสิ่งนั้นกลับคืนมา ยิ่งถ้าเราเป็นคนยิ่งใหญ่กว่าเขา เขาจะยิ่งประทับใจยิ่งเคารพรักเราคืนมาก และยิ่งเรารู้จุดด้อยของตนเองเพิ่มขึ้น จะทำให้เรายิ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ขวนขวาย และเคารพผู้อื่นมากขึ้นไปอีก

ทุกวันนี้การทำงานไม่สามัคคีกันเพราะต่างคนต่างถือว่าตนเองเก่งและไม่เข้าใจกัน มนุษย์ทุกคนไม่มีคนไหนไม่เคยมีความผิดพลาด หรือพูดแล้วไม่ผิดพลาด ยิ่งพูดมากยิ่งผิดมาก ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นคนพูดมาก แล้วผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนา เราก็ต้องให้อภัยเขา เช่นกัน [tweetherder]คนที่ทำงานมากก็ต้องผิดพลาดมากเป็นธรรมดา คนที่ไม่ผิดพลาดเลยคือคนที่ไม่ทำงานนั่นเอง[/tweetherder] ถ้าจะให้คนสามัคคีกันทำงาน ต้องให้อภัยกัน เคารพกัน

ทุกคนต้องการให้คนอื่นเคารพเขา แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เขารู้จักไปเคารพคนอื่นก่อน คนส่วนใหญ่มักเคารพตัวเองก่อนแล้วจึงไปเคารพคนอื่น  ยิ่งเราเคารพและถ่อมตัวมากเท่าไร คนยิ่งชมเชยเรามากเท่านั้นว่าคนนี้ใหญ่โตแล้วยังถ่อมตัว บางคนไม่รู้จักถ่อมตัว ตัวเล็กแต่ทำตัวเป็นใหญ่ คนก็มีแต่ความรังเกียจ แทนที่จะนับถือ กลับหมั่นไส้เอา

ผู้นำบางท่านต้องทำงานคนเดียว เพราะมองไปข้างล่างนี่ทุกคนสู้เขาไม่ได้หมด ลูกน้องนี่สู้เขาไม่ได้หมดเพราะอะไร เพราะไม่ได้มองว่าผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนมีจุดเด่นอะไร มัวแต่ไปดูจุดอ่อนแต่ละคน แล้วก็เอาจุดเด่นของตนเองไปเทียบ เลยไม่รู้จะเอางานอะไรมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชา

แต่ทั้งนี้ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอลูกน้องแบบไหน ดังนั้นแนวคิดที่คุณธนินท์กล่าวมา ต้องเริ่มทำเป็นขั้นเป็นตอน ผมพอสรุปได้ว่า [tweetherder]เมื่อเห็นจุดเด่นคนอื่น จุดด้อยเราเอง เราก็จะเคารพคนอื่น และใช้งานคนอื่นเป็น และสุดท้าย เราก็ต้องสร้างคนให้เป็นด้วย[/tweetherder] (Coaching) เพื่อให้เก่งกว่าเรา และสืบทอดเราต่อไป

เมื่อทำทั้งหมดได้แล้ว ผมขอทิ้งท้ายนโยบายการใช้คนข้อหนึ่งของคุณธนินท์ว่า ท่านมีนโยบายปล่อยให้คนเก่งทำงานของเขาเอง เพราะท่านรู้ว่าคนเก่งไม่ชอบให้ใครบังคับ เพราะเขาจะไม่สนุกกับการทำสิ่งต่างๆนานา [tweetherder]เหมือนกับที่ขงเบ้งและซุนวูพูดคล้ายกันว่า “เมื่อใช้งานไม่สงสัย ถ้าสงสัยจะไม่ใช้งาน”[/tweetherder]

เขียนอ้างอิงจากหนังสือ การสร้างคนให้ยิ่งใหญ่ สไตล์ ธนินท์ เจียรวนนท์

เด็กสก๊อย เด็กแว๊น ตัวแทนวัฒนธรรมของชาติไทย

วันนี้นั่งกินข้าวไปก็มองไปเจอเด็กสก๊อย เด็กแว๊น ก็เลยมองแบบตัดความความคิดต่างๆออกไป คิดว่าทำไมหนอ พวกเราต้องรู้สึกไม่ดีกับคนเหล่านั้น

ลองเอาสก๊อยมาทำกรุ๊ปเกิร์ลร้องเพลงแบบเกาหลี หรือถ้าแว๊นมาบิด Ducati โชว์บนถนนราชดำเนิน ความต่างมันแทบไม่มีนอกจาก รูปลักษณ์ที่เราเคยเห็นผ่านสื่อ ว่าทำแบบนี้มันต้องเกาหลีเว้ย มันต้องฝรั่งเว้ย

ผมคิดว่า [tweetherder]เด็กสก๊อย เด็กแว๊น นี่เป็นตัวแทนวัฒนธรรมของชาติไทยเลยนะครับ เป็นกลุ่มคนที่บ่งบอกความเป็นไทยชัดเจนมาก[/tweetherder]

พวกเขาก็แต่งตัวกันทันสมัย(บ้าง)แบบที่คนทั่วไปแต่งนี่แหละ เพียงแต่ด้วยรูปลักษณ์เขาเป็นไปตามชนชาติในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ แดดร้อนจัด ฝนชุก นิยมกินพืชผักสมุนไพร สีผิวและหน้าตาจึงไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราชื่นชมกันว่าสวยๆ แบบ เกาหลี ยุโรป

พวกเราต่างหากที่ไปจำกัดว่าการแต่งตัวแบบนี้ ความสวยงามแบบที่เห็นในสื่อ มันคือ ความสวยแท้ ความน่ารัก (ซึ่งจริงๆมันเป็นการสร้งามาตรฐานคิดไปเองของแต่ละคน โดยไม่ได้มองในมุมภูมิศาสตร์และชนเผ่า)

แต่ในทางกลับกัน พวกฝรั่งและต่างชาติสิที่เข้าใจว่า แบบนี้แหละไทยแท้ๆ สวยมากๆ มันเป็นแบบนี้..

[tweetherder]ก่อนไปเข้าใจคนอื่นใน AEC พวกเมิงเข้าใจตัวเองแล้วหรือยัง?[/tweetherder]

 

ปล. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เด็กสก๊อย เด็กแว๊น เองก็ต้องปฎิวัติภาพลักษณ์ใหม่ไม่ให้สื่อหรือคนอื่นมันมองไม่ดีด้วย เพราะผมลองค้นหารูปประกอบบทความนี้ใน Google แม่งเจออะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด

08-04-2013 23-08-06-sakoi-wan