kingdom of heaven

เอาเรื่องเบาๆ สาระๆ บ้างดีกว่า (เบาหรือป่าวไม่รู้แฮะ)
วันนี้พี่สาวเช่าเรื่อง kingdom of heaven มาดู เราเลยขอยืมมานั่งดูแก้เหงา (ปกติจะต้องนั่งดูกับเธอแทบทุกเรื่องเลย 🙁 ) ซึ่งผมกำลังอยากหาดูอยู่เหมือนกัน

เรื่องมันเกี่ยวกับสงครามยุคครูเสด ซึ่งแย่งชิงเมืองเยรูซาเล็ม ระหว่างศาสนาอิสลามและคริสร์ มันเป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร เลยอาจจะไม่รู้ข้อมูลอะไรมากนัก แต่เท่าที่ดูมา ช่วงแรกๆ อิสลามกับคริสร์อยู่ร่วมกันได้ และเวลาผ่านไป เยรูซาเล็มได้เปลี่ยนกษัตริย์องค์ใหม่ที่บ้าสงคราม จึงทำให้เกิดการฆ่ากัน นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ช่วงหลายปี – หลายสิบปีมาก กว่าจะสิ้นสุดลง ในปัจจุบันก็ยังมีผลพวงให้เราได้เห็นเรื่อยๆ เรื่องสงครามศาสนา ของทั้งสองศาสนานี้

จะว่าไปนับเป็นความซวยและความเชื่อที่ไร้เหตุผลไปหรือป่าวผมก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่รู้มา อิสลามและคริสร์ มีพระเจ้าองค์เดียวกัน! (แต่เรียกกันคนละชื่อ) แหล่งกำเนิดเดียวกัน (เยรูซาเล็ม) ทำไมต้องเข่นฆ่ากันด้วย??

เกร็ดเล็กๆ: เรื่องของคำสอน อิสลามและคริสร์ มีคำสอนคล้ายกัน เพราะศาสนาทั้งสองเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีสงคราม ไม่อุดมสมบูรณ์ และผู้คนไร้ศีลธรรม จึงทำให้คำสอนมักจะสอนให้คนสามาัคคีและรักกัน ต่างกับพุทธที่เกิดในดินแดนอุดมสมบูรณ์ และผู้คนในแถบนั้นฝักใฝ่หาทางพ้นทุกข์ สิ้นภพสิ้นชาติ มากกว่าหาความสุขทางโลก

ขอบ่น: คนไทยเดี๋ยวนี้นับถือพุทธตามทะเบียนบ้าน ทำบุญตามพิธีการและมีความเชื่อที่ผิดมากๆ อย่างการแก้กรรมกับแม่ชีท่านหนึ่ง ซึ่งมันทำกันไม่ได้ ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องเจอวิบากกรรมของพระองค์เองเลย นับประสาอะไรกับคนสามัญหรือแม่ชีท่านหนึ่งที่จะมามานั่งแก้กันได้ง่ายๆ กรรมเวณมันไม่สามารถลดได้ มันเพิ่มเรื่อยๆ แต่เราใช้วิธีทำบุญให้มันมากกว่ากรรม มันก็จะช่วยให้เราเจอแต่ความสุขบ่อยๆ มากกว่าจะเจอทุกข์บ่อยๆ (ยกเว้นไปทำกรรมหนักสุดๆ ที่มันทำแล้วเห็นทันตา นั่นแหละซวยไป) พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า แค่น้ำล้างจาน เมื่อเราล้างแล้วอธิฐานบอกไว้ว่า น้ำและเม็ดข้าว ที่ไหลลงสู่พื้นดิน ขอให้สรรพสัตว์ได้กินและมีความสุข แค่นั้นก็ได้บุญแล้วครับ ง่ายมั่กๆ สรุปคือ คิดดี ทำดี พูดดี นั่นแหละ บุญจะเกิดตลอดเวลา

เอ๊ะ ทำไมผมหลุดจาก kingdom of heaven มาเป็นเรื่องบาปบุญไปได้

แพ้ / คำถาม / ความรัก / ความหวัง

เพื่อนผมบอกว่า เมิงไปบวชมา (และศึกษาธรรมะมากขึ้น) นึกว่าเมิงจะบรรลุ ปลงกับโลกได้ แต่ทำไมเมิงต้องมานรั่งเพ้อร้องไห้ ให้เธอด้วยวะ

เข้าใจว่าสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ๆๆๆๆๆๆ…. เธอ ไม่ได้ดับไป เธอยังอยู่ในใจเราเสมอ เรามันก็แค่มนุษย์ตาดำๆ ที่ยังตัดโลกไม่ขาด แล้วใยจะตัดรักได้ขาดเล่า ผมเหมือนคนที่แพ้ อย่างไรไม่รู้ แพ้ที่ว่า ผมมีเพียงเธอในใจเท่านั้น และยอมรับว่า เราขอเป็นฝ่ายทนทุกข์ ขอเพียงเธอมีสุขก็พอใจแล้ว..

มันให้ความรู้สึกถึงการแพ้ แพ้ต่อหัวใจของเธอ แพ้ต่อผู้ชายคนนั้น และแพ้ต่อตัวเอง ซึ่งผมมักจะไม่มีนิสัยเช่นนั้นเลย ตลอดชีวิต ผมมักจะพยายามเอาชนะให้ได้ (เธอจะรู้ดี) แต่ถ้าผมรู้ว่าผมเอาชนะไม่ได้ผมก็จะไม่ยุ่งกับเรื่องนั้นทันที ทำไม ทำไมๆๆๆๆ ทำไมคราวนี้ผมยอมให้เธอทุกอย่าง ยอมแพ้เธอทุกอย่าง ไม่พยายามเอาชนะ…. ทำไมผมยอมเจ็บปวด ยอมทนทุกข์ ยอมเสียใจ ยอมเสียน้ำตาอยู่ทุกวัน มันเป็นโจทย์ที่ผมคิดไม่ออก และคงไม่มีวันคิดออก ผมทำได้แค่ว่าสักวัน เธอจะเลิกเกลียดผม หายเบื่อผม เลิกรำคาญผมสักที แล้วเริ่มรู้สึกดีๆ กับผมเหมือนเมื่อก่อน และสุดท้าย ซึ่งอาจจะเป็นความฝันของผมว่า เธอจะกลับมาอยู่กับผมเหมือนเดิม

ผมไม่รู้ว่าคนที่รู้ว่าผมกับเธอมีปัญหากัน จะมองผมว่าอย่างไร ผมคิดว่าอาจจะมองว่า สมน้ำหน้าก็ได้ เพราะผมทำไม่ดีกับเธอไว้เยอะมากๆ มันทำให้ผมคิดว่า กรรมมันตามทันผมแล้วหรอ ที่เธอต้องจากไปเร็วเช่นนี้ แต่อดีตถึงจะทำไม่ดีไว้สุดท้ายผมก็ยังอยู่กับเธอเหมือนเดิม รักเธอเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ผมได้รับ กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมคาดเดาไม่ได้เลยว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นอย่างไร เพื่อสนองกรรมที่ผมทำไว้ ผมหวังนะ หวังเสมอว่า สักวันเธอก็คงกลับมา

ใครบอกว่าสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ มันอาจจะใช่ในสายตานักกวี แต่สำหรับผม สายน้ำและอนูของน้ำก็ยังวนเวียนอยู่ในโลก ที่สุดแล้วมันก็ต้องกลับมาในสายน้ำเช่นเดิม แม้จะนานแสนนานเพียงใด ลำธารของสายน้ำนั้นยังคงอยู่เหมือนเดิม ถ้าสายน้ำนั้นไม่แห้งเหือดไปเสียก่อน หรือโลกแตกไปเสียก่อน แต่ถึงจะแปรเปลี่ยน โลกแตก สายน้ำแห้ง อนูยังไม่เปลี่ยน ก็ยังรู้สึกดีว่ายังมีเธอในใจและได้มองเธอไกลๆ อยู่ร่วมโลกใบเดียวกับเธอ ใต้ดวงอาทิตย์เดียวกับเธอ ใต้ดวงจันทร์ดวงเดียวกับเธอ ในสายลมที่เธอหายใจเข้าออก (เฮ่อ มันอาจจะเป็นคำปลอบตัวเองมากเกินไป)


จะไม่ถามว่าเหตุใด ทำไมต้องจากกัน
จะไม่ทวงความผูกพันธ์ที่เคยมี จะไม่ยื้อไม่ขัดขวาง
เพราะฉันเข้าใจดี
ว่าชีวิตคนย่อมมี วันที่เปลี่ยนใจ

*ฟ้าดินคงกำหนดมาให้เป็นเวลาของคนใหม่
เธอจึงไม่เหลือจิตใจให้กับฉัน

**แต่อยากให้รู้ไว้อย่างว่ายังเปนห่วง
ห่วงอยู่เสมอทุกลมหายใจ
หากใครคนนั้นดีจริง ฉันก็ดีใจ
อยากให้เธอมีชีวิตสดใสยิ่งกว่าวันนี้

จะไม่ถามเธอซักคำว่าเทออยู่กับใคร
ไม่ให้เธอลำบากใจ ที่ต้องเดิน
อาจจะดูคนอย่างฉันเปนคนที่เมินเฉย
แต่ในใจไม่ใช่เลยมันแสนห่วงใย

(*/**)

แต่หากวันไหนเธอผิดหวัง เจ็บปวดอ้างว้างเดียวดาย
จงจำเอาไว้ว่าเธอยังมีฉัน

(**)

….

ตื่นนอน / คิดถึง / เธอ / เงียบเหงา / กลิ้งไป / กลิ้งมา / นั่ง / มอง / น้องหมา / ร้องไห้ / รัก / คิดถึง / มีแต่เธอ / ท้อแท้ / พยายาม / สู้ / วันใหม่ / ลุก / เตียง / ดื่มน้ำ / โยเกิร์ช / คอมพิวเตอร์ / exteen / ไฟดับ / อ่านหนังสือ / a day / ไฟติด / exteen / update / blog / …

บันทึกการออกบวช วันที่ 11

วันที่ 31 พค. 2548 (บ.01/06/2548 exteen.07/10/2548)

วันนี้ท่านก๋าท่านเก่ง (2พี่น้อง) สึกตอนเช้า ท่านก๋าอายุ 28 ท่านเก่ง 23 แต่หน้าตาเหมือนรุ่นเดียวกับเราเลยแฮะ หรือเราหน้าแก่ 555 จะว่าไปตอนมีผมจะหน้าตาอย่างนี้หรือป่าวไม่รู้เหมือนกัน

ช่วงฉันเช้าวันนี้หลวงพี่มณทลกับหลวงตาเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง เป็นเรื่องที่กระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ท่านบอกว่า ห้องน้ำใต้บรรไดที่พวกเรา (โดยเฉพาะผม) ใช้กันนั้น เมื่อปี 2540 มีโยมผู้หญิงมาปาดคอตายในนั้น โอ้วแม่เจ้า…. หลอนสิครับ เพราะบรรยากาศในนั้นก็มืด อึมครึม และ ห้องมันก็เล็กๆแคบๆ มีกระจกติดผนังส่องลงมา ก็ยิ่งเพิ่มความสยอง ทุกวันมันก็ดูวังเวงอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่ามีอะไรแปลกๆด้วย ยิ่งขนลุกไปกันใหญ่

เวลาเพลวันนี้อิ่มมาก เพราะโยมแม่,ทิดนัท,ทิดก๋าเก่ง มาถวายพร้อมกัน มีทั้งผัดไทย,ข้าวขาหมู,ข้าวมันไก่,ต้มเครื่องใน,ก๋วยเตี๋ยวเป็ดและขนมหวาน หลวงพี่ชิวเลยแซวว่า ถ้ามันมากันอย่างละวันคงจะอร่้อยกว่านี้

ตอนบ่ายกว่าๆ ทุกรูปจำวัดหมด เราไปอาบน้ำในห้องใต้บรรได โอ้ยจิตใจฟุ้งซ่าน กลัวล้างหน้าลืมตามาแล้วเจอต่อหน้าต่อตา ครั้งนี้อาบน้ำเร็วมากๆ ไม่กล้าหลับตาด้วย

พอตอนทำวัตรเย็นเสร็จ ได้เจอหลวงตาท่านหนึ่งท่านแนะนำเรื่องธรรมะ ท่านบอกให้เดินจงกลม 15 นาที นั่งสมาธิ 15 นาที พวกเราซึ่งมี หลวงตา,ท่านปอน,ผม ก็เลยเดินจงกลม 3 รอบโบสถ์ ในใจก็คิดวอกแวกไปบุคคลรอบข้างว่าจะมองเราว่าอะไรบ้าง แต่ก็พยายามดึงกลับมาที่ตัว พอเดินเสร้จก็รู้สึกว่าดีมากๆ เมหือนตัวเองมีสมาธิมากขึ้น สงบมากขึ้น เมหือนสมัยก่อนๆ ที่จิตใจยังไม่ฟุ้งซ่านมากนัก

บันทึกการออกบวช วันที่ 10

วันที่ 30 พค. 2548 (บ.31/05/2548 exteen.07/10/2548)

(วันนี้หลวงพี่นัทสึก เป็นหลวงพี่ที่สอนเราหลายๆ อย่างในขณะบวช) วันนี้เป็นวันพระก็เลยไม่ต้องบิณฑบาตร แต่ว่าต้องทำวัตรนานกว่าปกตินิดนึง พอเสร็จก็ขึ้นมาจำวัดต่อ จำไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเทศน์เลยสะดุ้งตื่น เพราะคิดว่าพวกพระเขาลงศาลากันหมดแล้ว ที่ไหนได้เขาแค่พูดว่าวันนี้เป็นวันอัฐมีบูชา หรือวันที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนี้ญาติโยมและอาหารมีไม่มากเท่าวันวิสาขะบูชา แต่ก็เยอะกว่าเดินออกบิณฑบาตรเองหลายเท่ามากนัก การฉันแบบนี้อย่าคิดว่าสบายกว่าการบิณฑบาตรนะ ไม่ใช่เลย! เพราะกว่าจะได้ฉันก็ต้องนั่งรอฟังเทศน์ ร่วมชั่วโมงและด้านหน้าก็มีอาหารวางเรียงรายไว้ทดสอบกิเลส เป็นอะไรที่ทรมานพอสมควรสำหรับพระใหม่อย่างเรา

ช่วงฉันเพลก็พยายามจะกินอาหารให้ได้ เพราะมันยังอิ่มจากการฉันเช้า (ขึ้นศาลา 7.30 ฉันตอน 8.30 เสร็จ 9.30 เพล 11.00 ใกล้กันมากๆ) มันก็เลยทุกข์ทรมาน ถ้าไม่ฉันก้จะไม่มีโอกาสอีกแล้วในวันนั้น

ตอนเที่ยงไปถ่ายรูปมา เพื่อเอาไว้ติดในสัญญาบัตร ตอนแรกพนักงานผู้หญิงบอกให้ไปนั่งรอในห้องแต่งตัว สักพักก็มีผู้หญิงเดินมาอีก 2 คน คนแรกเดินเข้ามาเตรียมของให้ ส่วนอีกคนเดินเข้ามานั่งข้างๆ ในใจก็เริ่มหวาดหวั่นว่าจะต้องให้ผู้หญิงมาแต่งให้พระหรอนี่ แต่พอได้ยินเสียงเท่านั้นแหละ อ๋อ ถึงบางอ้อเลยว่านางผู้นี้มันผู้หญิงเทียม

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ก็กลับไปเอาของที่บ้าน และแวะเล่น Internet แป๊บนึงก็กลับวัด วันนี้ตอนเย็นฝนตกให้ชุ่มฉ่ำ พอทุ่มครึ่งต้องลงไปเวียนเทียน ซึ่งเป็นการเวียนเทียนครั้งที่ 2 ในชีวิต ซึ่งเวียนเนื่องในวันอัฐมีบูชา ซึ่งทางวัดได้จัดเป็นปีแรก พิธีดูศักสิทธิ์ดีมาก พระ เณร พร้อมใจมาเวียนเทียนกัน แทบทุกรูป มีญาติโยมมาประปรายเพราะไม่ค่อยทราบกัน