“move from Android to iPhone” เป็นคำถามแรกที่ผมลองค้น Google ก่อนจะตัดสินใจซื้อ iPhone มาใช้
ก่อนหน้านี้ ใช้ Android ตั้งแต่ HTC Magic> Samsung S2 > Samsung S4 (เก่ากว่านั้นอีกก็ Sony Ericsson T29 และสลับใช้ Nokia N8 บ้างบางคราว) ไม่เคยให้ความสนใจกับ Apple เลย เพราะคิดว่ามันแพงแบบโอเว่อร์ไปหน่อย
จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่ามันแพงแบบโอเว่อร์อยู่ดี แต่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนด้วยเหตุผลง่ายๆ แค่ว่า ต้องการบอดี้โลหะ และอยากลองเข้าสู่โลก Apple บ้าง ก็เท่านั้นเอง
ณ ตอนที่เขียนอยู่นี้ ใช้มา 2 วัน แล้วครับ ยังไม่ประสีประสาอะไร
พอจะสรุปความดีงามของมันให้ได้คร่าวๆ ดังนี้
- ใช้ง่าย – ตรงนี้ยื่นความดีงามให้เลยข้อแรก เพราะผม no experience กับโลก apple ซึ่งลองคลำอยู่ไม่นาน ก็พอเข้าใจอะไรมันได้แล้ว (ผมเริ่มจากไปไล่ดูเมนู Settings ก่อนเลยอย่างแรก เพื่อให้รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง แล้วค่อยเริ่มลง app ต่างๆ เพื่อใช้งาน)
- UX ดีมาก – ใช้งานได้คล่องดี ตามคำเล่าลือครับ
- มันลื่นมาก – รู้สึกถึงความ Smooth as Silk มากครับ ผสมกับเอฟเฟกนุ่มๆ เลยทำให้มันดูดีเลยหละ
- ไม่ค้าง – ขนาดผมลง app หลายตัวเท่าที่ผมจะใช้ไปแล้ว ก็ยังไม่มีงอแง หรือหน่วง
- จอสวยมาก – ถือว่าสวยครับ (แต่ความรู้สึกผมไม่เห็นต่างจาก Samsung, Nokia เท่าไร)
- กล้องเร็ว – อันนี้ชอบครับ เพราะเป็นคนถ่ายรูปบ่อย กดปุ๊บ กล้องเปิดปั๊บ ถ่ายได้ทันที
- กล้องดี – คือเป็น spec ที่เพิ่งมีมาใน iPhone6 คือ กล้องถ่ายแบบ slow motion ที่ 240-fps ได้, ถ่าย time-
lapse ได้, ถ่าย vdo นุ่มๆที่ 60fps ได้ - เสียงมันดีมาก – ไม่แปลกใจเลยทำไมคนชอบฟังเพลงด้วย iPhone, iPod ขนาดหูผมไม่เทพ ก็รับรู้ได้ว่าเสียงมันดีจริงๆครับ
- แบตอึดมาก – ตั้งแต่ตื่น เล่นทั้งวี่ทั้งวัน จนขึ้นเตียงนอน ประมาณ 17 ชม แต่แบตเหลือ 20% ผมถือว่าเด็ดเลย
ส่วนสิ่งที่ยังไม่ชิน/คาใจ (ไม่ขอสรุปว่ามันไม่ดี แต่เรียกว่ายังไม่ชินก็แล้วกันนะครับ)
- ต้องใช้ iTunes ตลอดการ Syns File หรือทำงานบางอย่างเช่น Backup ข้อมูลจากบาง App
- ถ้าเมมเต็มฉันจะทำไงนะ ต้องย้ายออกสินะ (จริงๆ ผมไม่ซีเรียส คงไม่เต็มง่ายขนาดนั้น)
- ถ้าแบตเสื่อมจะเปลี่ยนทำไง (ก็ไม่ซีเรียสเหมือนกัน เพราะเท่าที่เห็นคนรอบข้างใช้ ไม่เคยเจอบ่นว่าแบตเสื่อม)
- ไม่มี ANT+ Radio ซึ่งอันนี้เจ็บปวดเล็กๆ เพราะผมออกกำลังกายแล้วใช้สายวัดการเต้นหัวใจรุ่นเก่า ที่มันทำงานร่วมกับ ANT+ (คือถ้าไม่ซื้อ ANT+ Adapter ใหม่ พันกว่าบาท ก็ต้องซื้อสายรัดใหม่ เกือบสามพัน ซึ่งมันไม่ถูกทั้งคู่เลย)
- ทำ Widget บนหน้าจอไม่ได้ ซึ่งปกติบน Android ผมจะลากปฏิทิน, Task To-do, มาไว้บนหน้าจอเลย เปิดมือถือปุ๊บเห็นปั๊บ
- หัวสายชาร์ตไม่เข้ากบัใครเลย เพราะไม่ใช่มาตรฐาน usb ทั่วไป ดังนั้น สายต่างๆที่ผมมีและเคยใช้ร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ได้ ใช้ไม่ได้สักเส้น (เช่นแบตสำรอง กล้อง ไฟฉายคาดหัว มัรใ้ช micro usb แบบเดียวกับ android เกือบทุกตัว) ต้องซื้อใหม่เพื่อไว้ใช้สำรอง
- ลง app เถื่อนไม่ได้ จริงๆอันนี้ไม่ดีงามไม่ควรทำเท่าไร ซึ่งสมัย android ผมไปหาโหลด .apk บางตัวมาลง เช่น flickr ซึ่งมันใช้ในประเทศไทยไม่ได้ แต่ถ้าโหลดมาลงเองจะติดตั้งได้
ดูๆแล้วก็ได้อย่างเสียอย่าง ที่โอเคเลยครับ ส่วนถ้าใครกำลังจะย้ายค่ายแบบผม ลองดูครับว่าต้องทำอะไรบ้าง
การย้าย Contacts/Calendars/E-Mail จาก Android มา iPhone
ปกติ android จะเก็บ Contacts/Calendars/E-Mail ไว้ใน Gmail ครับ ซึ่งตรงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ iphone มีให้เรา add account Gmail โดยจากนั้นมันจดูดข้อมูล Contacts/Calendars/E-Mail มาให้เราหมดเลย (ใช้กับ Hotmail, Yahoo รวมไปถึง E-Mail ของบริษัทที่ใช้ระบบ Exchange ด้วยนะครับ)
การย้าย Facebook/Twitter จาก Android มา iPhone
อันนี้ชิลๆ เพราะข้อมูลมันเก็บไว้บน Server ของ Facebook/Twitter อยู่แล้ว เราก็แค่เข้าสู่ระบบได้จาก iPhone มันก็จะมาครบเหมือนเดิม
การย้าย รูปภาพ/เพลง/วีดิโอ จาก Android มา iPhone
ผมใช้ copy ไฟล์จาก Android มาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วก็ใช้ iTunes ดึงเข้าไปใน iPhone เลยครับ อาจจะลำบากหน่อยที่ต้องหา iTunes มาลงแล้วทำขั้นตอนเยอะครับ (Download iTunes)
การย้าย Application จาก Android มา iPhone
อันนี้ย้ายไม่ได้ครับ แต่ก่อนจะซื้อ ผมไล่หาแอพแปลกๆ ที่ใช้ใน Android เพื่อดูว่ามีเวอร์ชั่นใน iPhone หรือไม่ เช่น “My Budget Book” (แอพทำบัญชีรายรับรายจ่าย) ส่วนแอพที่คนใช้ทั่วไปทั้งโลก มีให้แน่นอนครับ (ลองหาดูแอพที่คุณใช้ได้ที่ App Stores หรือ iTunes)
ก็มีเท่านี้ครับ ไม่ยากอย่างที่คิด
ส่วนใครกำลังจะตัดสินใจซื้อมือถือใหม่ เพื่อนผมเคยพูดกับผมไว้ประโยคหนึ่ง
“ถ้าอยากได้มือถือ ก็ซื้อมือถือ แต่ถ้าอยากได้ไอโฟน ก็ซื้อไอโฟน”
—
รูปภาพอ้างอิงจากเว็บ Apple