พฤษภาคม 2552
ช่วงที่ร้อนที่สุดช่วงหนึ่งของไทย ระหว่างทางกลับจากที่ทำงาน ผมแวะแผงหนังสือใกล้ๆ บ้านพัก และซื้อ National Grographic (NG) ฉบับเดือนพฤษภาคม ติดกลับมือมาด้วย ซึ่งเป็นนิตยสารประจำเดือน 1 ใน 2-3 เล่มที่ผมซื้อประจำ
ใน NG ปกติผมชอบอ่านเรื่องของประวัติศาสตร์ สังคม ดาราศาตร์ และวิทยาศาสตร์ ไล่ตามลำดับความสนใจ จึงทำให้ผมเปิดผ่านๆ เรื่องที่ขึ้นปกของฉบับนั้นไป (นั่นคือ ทารกแช่แข็ง การปลุกชีพแมมมอท) ไปเจออยู่คอลัมน์หนึ่ง คือ ตามหาแชงกรีลา
แชงกรีลา (Shangri-La) ชื่อนี้ผมเคยได้ยิน ผมพอจะรู้ว่ามันคือภาษาธิเบต ที่แปลทำนองว่า ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
แต่ผมไม่รู้ว่านี่คือชื่อเมืองๆ หนึ่งของจีน และผมก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน รู้เพียงจากภาพที่เห็นใน NG ว่า เหมือนธิเบต และ อะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้สวยงามมากนัก (เนื่องจากภาพแชงกรีลาใน NGถูกถ่ายทอดออกมาในมุมมองของสารคดี ไม่ใช่สถานที่เที่ยว)
…
ใน NG เขียนถึง แชงกรีลา ว่า เป็นคำที่ฟังแล้วเหมือนภาพสะท้อนของนครศัมภาลา (Shambhala) หรือสรวงสวรรค์บนดินแดนตามคติพุทธศาสนาแบบธิเบต ซึ่งในคัมภีร์ในพุทธศาสนาบรรยายไว้ว่านครศัมภาลาตั้งอยู่ ณเชิงเขาผลึก เหนือเทือกเขาหิมาลัยขึ้นไป ผ้คนปลอดพ้นจากความฉ้อฉลและโลภโมโทสันของโลกภายนอก..
ซึ่งตามตำนานอันยิ่งใหญ่แบบนี้เอง ประกอบกับข้อมูลงานสำรวจใน NG ช่วงปี 1922-1935 ของ โจเซฟ ร็อก (Joseph Rock) นักพฤกษศาสตร์ชาวตะวันตกที่เข้าไปใช้ชีวิตในลี่เจียง (Lijiang) จึงทำให้มีเกิดพลังดึงดูดมหาศาลต่อ เจมส์ ฮิลตัน (James Hilton) นักเขียนชาวอังกฤษ และต่อมาเขาได้วาดฝันงานหนังสือนวนิยายขึ้นมาเล่มหนึ่งในปี 1933 ที่ชื่อว่า “Lost Horizon” และถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า “ลับฟ้าปลายฝัน”
NG บอกต่อว่า แชงกรีลา (Shangri-La) ต่างจากสถานที่อื่นๆ ในตำนาน เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริงกระทั้งถึงปัจจุบัน! แต่ชื่อมันถูกนำไปเป็นชื่อเมืองแห่งหนึ่งในดินแดนของธิเบต ในนวนิยายของนาย เจมส์ ฮิลตัน ครั้งแรก แล้วบังเอิญว่านวนิยายเล่มนี้โด่งดังไปทั่วโลกครับ..
โด่งดัง ขนาดที่ว่ามีผู้คนมากมายตามหาแชงกรีลา (Shangri-La) จริงๆ ตามสถานที่ที่ถูกระบุไว้ในนิยาย จนมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหัวใสหลายเมืองในมณฑลยูนนาน (Yunnan) และเสฉวน (Sichuan) ของจีน (China) แก่งแย่งชื่อแชงกรีลานี้เพื่อขออนุญาติจากทางการจีนเพื่อเปลี่ยนชื่อเมืองและเทศมณฑลใหม่
และ เมืองที่กลายเป็นแชงกรีลา ก็คือเมือง “จงเตี้ยน” (中甸县 Zhōngdiàn) ซึ่งอยู่บนความสูง 3,160 เมตร และมีภูมิประเทศที่สุดตระการตาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะเป็นเส้นทางผ่านของ 3 สาย คือ แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำแยงซี ไหลกัดเซาะไปตามซอกเขา ก่อให้เกิดโกรกธารลุ่มลึกของแม่น้ำ ตัดผ่านภูมิประเทศอังสูงชันและตัดกับเทือกเขาตั้งสูงตระหง่าน เกิดแตกต่างของระดับแม่น้ำ พื้นดิน ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ และธรรมชาติอย่างสูง จนองค์การสหประชาชาติได้รับรองแม่น้ำเหล่านี้ให้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย ในชื่อว่า เขตสามแม่น้ำไหลเคียง หรือ Three Parallel Rivers World Heritage site
…
จำได้ว่า คืนนั้นผมอ่านด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่ต้นจนจบ และรำพึงรำพรรณตามประสาคนทั่วไปกับตัวเอง ว่า “อยากไปจัง” พร้อมกับข่มตาหลับ เพื่อให้พร้อมทำงานในวันรุ่งขึ้น..
กรกฎาคม 2552
กลับจากเที่ยวนครนายก ผมได้นัดพบกันเพื่อน เพื่อแลกภาพถ่ายที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ระหว่างที่รอการพบเจอ ผมแวะร้านขายหนังสือเพื่อเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย..
“เฮ่ย!.. แชงกรีลา!”
ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย และรีบหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
“ลัดทุ่งหญ้า ฝ่าทุ่งน้ำแข็ง ตะลุยแชงกรี-ลา” โดย คุณ สมพร ขจรสุวรรณ์
เป็นหนังสือที่เขียนบันทึกการเดินทางหลังเรียนจบของคุณสมพร (นูมิน) กับเพื่อนของเขา เจ้าหมิว
ผมเปิดผ่านๆ ไปเจอ ตารางการเวลาที่ใช้ในการเดินทางและตารางค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง
“เฮ่ย!… ทั้งทริป 16,000 บาท”
ตกใจรอบสองครับ จึงรีบพลิกกลับไปดูตารางเวลาการเดินทาง เขาใช้เวลาทั้งหมด 17 วัน และเดินทางจากไทย ทะลุลาว ขึ้นไปจีนและกลับมาทางเวียดนาม..
สำหรับผม การที่ผมเห็นสถานที่ๆ ถูกระบุใน NG ว่ามันเป็นดินแดนในฝันที่สุดยอดมาก กอปรกับ การเดินทางไกลได้เที่ยวในหลายๆ ที่ หลายๆประเทศ ในราคา 16,000 บาท มันน่าทึ่งมากครับ!
ผมตัดสินใจซื้อเล่มนั้น พร้อมกับบอกเพื่อคนที่ผมนัดเจอว่า “ผมจะไปแชงกรีลา!”
ผมพูดโดยที่ ณ เวลานั้น ผมยังไม่พร้อมทั้งเวลา ทั้งเงินและข้อมูล แต่ผมรู้สึกมั่นใจว่า
ผมจะไปตามหาแชงกรีลา..
กรกฎาคม – ตุลาคม 2552
เป็นช่วงที่บริษัทผม (TARAD.COM) กำลังทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Rakuten Japan ซึ่งแน่นอนครับว่ามันวุ่นวายมากๆ พร้อมกับอะไรหลายอย่างที่ไม่แน่นอน แต่ผมก็ยังป่าวประกาศว่าผมจะไปแชงกรีลา พร้อมกับหาข้อมูลการเดินทาง
ระหว่างที่ผมพูดถึงแชงกรีล่าในมุมมองที่ผมรู้จักให้ใครต่อไปฟัง หลายคนพูดกับผมว่า เขาเคยได้ยิน และ/หรือ เขาเคยดูสารคดีในโทรทัศน์อีกด้วย มันสวยมาก ซึ่งทำให้ผมยิ่งอยากไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ทริปนี้ผมคิดว่าจะไปคนเดียว เพราะในขณะนั้นมีเพียงแผนการเดินทาง ไม่มีความคิดว่าผมจะชวนใครไป แต่เมื่อผมเล่าเรื่องแชงกรีลาให้เพื่อนๆ พี่ๆ ฟัง จึงทำให้มีคนสนใจร่วมเดินทางกับผมด้วย
ผมได้คุยกับหลายๆ คน ที่สนใจ พร้อมกับจองตั๋วเครื่องบินขากลับของ Air Asia จาก ฮานอย (Ha Noi) – กรุงเทพ (Bangkok)
โดย ณ เวลานั้น ผมและหลายๆ คน ยังไม่ได้ขออนุญาติทางบริษัทและครอบครัวเลยสักคน รวมไปถึงแผนการเดินทางที่ผมหาข้อมูลก็ยังไม่นิ่งพอ!
ท้ายที่สุด ทริปนี้ มีผู้ร่วมชะตากรรม 6 คน คือ พี่ป๊อป (พี่ที่บริษัทตลาด), พี่ปู (พี่ที่บริษัทตลาด), พี่แอน (เพื่อนพี่ปู), เนส (เพื่อนพี่ป๊อป), โดม (เพื่อนรุ่นน้องของผม) และก็ผม
รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาพอสมควรเลยครับ ที่มีเพื่อนเดินทางด้วย และทุกคนเท่าที่ผมได้คุยด้วย ล้วนสนุกสนาน และมุ่งมั่นที่จะไปแชงกรีลามาก แต่ในใจลึกๆ ผมรู้สึกกลัว กลัวว่า คนมากขึ้นจะทำให้การเดินทางลำบากขึ้น เช่น ตกรถ รถไม่พอ ต่างคนต่างไป ความเห็นไม่ตรงกัน ฯลฯ
แต่เพราะความกลัวนั่นเอง จึงทำให้ผมต้องหาข้อมูลให้มากขึ้น รวมไปถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร่วมเดินทาง ได้ช่วยหาข้อมูล ตัดสินใจและปรับแผนการเดินทางให้รัดกุมมากขึ้นอีก
แผนการเดินทาง (วางแผนก่อนไป)
สามารถดูตัวเต็มได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Backpack Shagri-La Trip
ขั้นตอนการเดินทาง
มี 4 เส้นทาง ให้เลือก
เรียงตามระยะเวลาจากน้อยไปมาก
และเรียงตามปริมาณการได้เที่ยว ยิ่งใช้เวลามาก ก็ยิ่งได้เที่ยวหลายจุด
1. [รถ] กรุงเทพ-เชียงของ(เชียงราย) > [เรือ] เชียงของ-ฝั่งลาว > [รถ] ฝั่งลาว-หลวงน้ำทา > [รถ] หลวงน้ำทา-เมืองลา(จีน) > [รถ] เมืองลา สามารถเลือกไปคุณหมิงหรือไปต้าหลี่ได้ > [รถ] จากคุณหมิง,ต้าหลี่ > แชงกรีลา << เลือกเส้นทางนี้
2. [รถ] กรุงเทพ-หนองคาย > [รถ] หนองคาย-เวียงจันทร์(ลาว) > [รถ] เวียงจันทร์-คุณหมิง(จีน) > [รถ] > [รถ] คุณหมิง > แชงกรีลา
3. [รถ] กรุงเทพ-แม่สาย > [รถ] แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก(พม่า) > [รถ] ท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง(ด่านจีนต้าหลั้ว) > [รถ] เชียงตุง-เชียงรุ้ง(จิ่งหง)(จีน) > [รถ] เชียงรุ้ง-เซี่ยก้วน > [รถ] เซี่ยก้วน-ต้าหลี่ > [รถ] ต้าหลี่ > แชงกรีลา
4. [รถ] กรุงเทพ-หนองคาย > [รถ] หนองคาย-เวียงจันทร์(ลาว) > [รถ] เวียงจันทร์-ฮานอย(เวียดนาม) > [รถ] ฮานอย-ลาวไค(ด่านจีนเหอโข่ว) > [รถ] เหอโข่ว-คุณหมิง > [รถ] คุณหมิง > แชงกรีลา
แผนที่การเดินทาง
ขาไปนั่งรถประมาณ 2500กม. ขากลับนั่งรถ 1000กม. แล้วบินกลับ
@@@@@@@@@@ ขาไป @@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@ ขากลับ @@@@@@@@@@@
สรุปราคาเท่าที่คำนวณได้ตามแพลน 9 วัน ~12746 บาท
สามารถดูตัวเต็มได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Backpack Shagri-La Trip
ตุลาคม – พฤศจิกายน 2552
เป็นเดือนที่ผมและเพื่อนๆ หลายคน ได้บอกกับทางบริษัทที่ทำงานและทางบ้านเรียบร้อย ว่าเราจะเดินทางในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม – 13 ธันวาคม ที่จะถึง จึงทำให้พวกเราได้ทำ Visa เพื่อเข้าประเทศจีน (ลาว, เวียดนาม ไม่ต้องทำครับ) ส่วนผมและโดม ต้องไปทำ Passport ใหม่ เนื่องจากอายุหนังสือมีเหลือไม่ถึง 6 เดือน และก็ช่วงนี้อีกเช่นกันที่เราปั่นเงิน เก็บเงินกันจ้าละหวั่น อิอิ
ผมเพิ่งรู้มาว่ามีรุ่นน้องผมคนหนึ่งชื่อ โดนัท ได้เดินทางไปแชงกรีลาเมื่อตอนต้นปี ผมรีบหาทางคุยกับเขาทาง Internet เนื่องจากเรารู้จักกันมานาน แต่เราไม่เคยคุยกันเลย จึงทำให้ผมต้องนัดเจอเขา เพื่อให้เขาอธิบายประสบการณ์การเดินทางของเขาว่าพบอุปสรรคอะไรบ้าง และ สถานที่ใดห้ามพลาดบ้าง (ผมกลัวว่า ข้อมูลที่ผมค้นได้จาก Internet จะมีไม่รอบด้านและไม่ละเอียดพอ)
โดนัทบอกว่าโดนัทไปมาตอนปลายเดือนธันวา ซึ่งมันจะหนาวมากๆ และได้อธิบายสิ่งต่างๆ ให้ผมฟัง เช่น
- ระวังของหายบนรถนอน
- เจดีย์สามองค์,ต้าลี่ (崇圣寺三塔, San Ta Si, The Three Pagodas – Dali) สวย อลังการ แต่ค่าเข้าแพง
- สระมังกรดำ, ลี่เจียง (黑龙潭, Hei Long Tang, Black Dragon Pool – Lijiang) สวยมาก แต่ค่าเข้าแพง แพงกว่าเจดีย์สามองค์เสียอีก
- ลี่เจียงสวยมาก แต่ก็หนาวมากเช่นกัน
- แชงกรีลา ให้พกกระป๋องออกซิเจนไปด้วย
- ที่พักหาได้ไม่ยาก ทั้งลี่เจียง และแชงกรีลา
- ที่พักราคา 60-100 หยวน ตามแต่จะเลือก
- ผมสามารถหาที่พักในเมืองเก่าลี่เจียงได้เลย
- สถานีรถโดยสารไม่มีภาษาอังกฤษเลยในบางแห่ง
- โดนัทไปกับเพื่อนสองคน พูดภาษาจีนไม่ได้เลย แต่ก็รอดมาได้!
- โดนัทแนะนำให้ซื้อหนังสือ Lonely Planet China Travel Guide พกติดไว้ จะได้อุ่นใจ
หลังจากได้ฟังจากโดนัท วันถัดมา ผมรีบไปเดินหาหนังสือ Lonely Planet China Travel Guide มาโดยทันที ซึ่งตอนไปถึงร้าน (ผมไป Asia Book) จะมีสองเล่มให้เลือกครับ คือ Lonely Planet China Travel Guide ที่เขียนถึงจีนทั้งประเทศ กับ Lonely Planet Southwest China Travel Guide ที่เขียนเฉพาะจีนตะวันตกเฉียงใต้
จะว่าไปแล้ว ถ้าซื้อแค่ Lonely Planet Southwest China Travel Guide ก็มีมณฑลยูนนาน (แชงกรีลาอยู่ในมณฑลยูนนาน) เพียงพอกับทริปนี้แล้ว เพราะทริปนี้ผมจะวนเวียนอยู่แค่ในยูนนาน และเล่มนี้หนาเพียง 528 หน้า แต่ผมเลือกที่จะซื้อ Lonely Planet China Travel Guide (ฉบับล่าสุดคือ ปกกำแพงเมืองจีน ที่แก้ไขครั้งที่ 11 นะครับ) เพราะคิดไว้ว่าอนาคตอยากไปที่อื่นๆ อีก (ทริปนี้จะรอดหรือป่าวไม่รู้ แต่คิดการณ์ไกลเหลือเกิน ;P )
หลังจากผมได้ Lonely Planet มา ผมพบว่าข้อมูลมันสั้นๆ แต่แม่นยำและเป็นทางการครับ เช่น บอกเวลาเดินรถ และบอกว่าเราสามารถต่อรถจากเมืองนี้ไปเมืองไหนได้บ้าง หรือแม้กระทั่งแนะนำว่ามีโรงแรม,ร้านอาหารที่ไหน ราคาเท่าไร มี Internet ไหม ได้ข้อมูลแบบนี้ จึงทำให้ผมต้องนัดคุยกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เพื่อลงรายละเอียดในแผนการเดินทาง
เชื่อไหมครับว่า แผนการเดินทางที่ถูกแก้ล่าสุด เราแก้กันตอนที่มันเหลือสองอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะเดินทาง!!!
สามารถดูตารางเวลาก่อนไปที่ได้แก้ไข ได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Shangri-La time table
และสองอาทิตย์สุดท้ายนั่นเอง ที่แผนการเดินทางเราเริ่มนิ่ง ผมและเพื่อนบางคนก็เพิ่งจะเดินหาซื้อของเพื่อเตรียมเดินทาง!!!!
ต้องบอกไว้เลยครับว่า พวกเราทุกคนไม่เคยต้องเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน!!! และมีเพียงผมกับพี่แอนเท่านั้นที่พอจะพูดและฟังจีนได้นิดหน่อย นอกนั้นไม่ได้เลย!!!
จึงทำให้สองอาทิตย์สุดท้าย เรียกว่าวุ่นวายพอสมควร พวกเราต้องไปหาซื้อกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเสื้อผ้า, อุปกรณ์กันหนาว
โชคดีที่พี่ปูกับพี่แอนรู้จักร้าน KitCamp ตรงสะพานควาย (ใกล้บ้านผม แต่ผมไม่รู้จัก ฮาา) จึงทำให้เราได้กระเป๋า Deuter และเสื้อกันหนาว The North Face ในราคาไม่แพงมากนัก
the north face gore-tex xl สองชั้น กันลม กันหนาว 1800
ผมโชคดีครับ ได้กระเป๋า deuter 55+10 aircontact มือสอง 3600 บาท
buff headware ผ้าสารพัดจะคลุมหัว ได้มาฟรีๆ
ไหนๆ ก็พูดอุปกรณ์แล้ว ลืมแนะนำครับ รองเท้าผมและโดมใช้ของ HI-TEC ดีมากเลยครับ
รุ่นที่ผมใช้คือ HI-TECT Gannet Peak เกาะพื้นดี โดยเฉพาะบนน้ำแข็ง และอุ่นเท้าพอสมควร
(ไม่ได้ซื้อที่ KitCamp แต่ซื้อที่ Sport Junction)
รวมไปถึงทางร้านก็ได้แนะนำการสะพายกระเป๋าและอุปกรณ์บางอย่างให้เราได้เตรียมพร้อม เจ้าของร้านคุยสนุกมากครับ จนกลายเป็นได้คุยยาว ได้กินข้าว ได้ของแถมกันไป ฮา…
คุยกับเจ้าของร้านคุณคิต KitCamp เมามันมาก คุยสนุกจนได้เครื่องดื่มย้อมใจฟรีๆ คนละหนึ่งขวด
และปิดท้าย ก่อนกลับ ได้ออกมานั่งร่วมโต๊ะกินส้มตำและคุยกันต่ออีกยก ฮาา..
พฤศจิกายน – ธันวาคม 2552
พวกเราใกล้จะออกเดินทางเต็มทน แต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องต่างๆ ให้ได้คิดตลอด เช่น อากาศ อุปกรณ์ สุขภาพ และ แผนการเดินทางที่กลัวคลาดเคลื่อน
เหลืออีกอาทิตย์เดียวจะเดินทาง ผมเองตัดสินใจพกมือถือไปด้วย (แต่ขี้เกียจไปเปิด Roaming) และลง Chinese Dictionary พกไว้ (ใครใช้ Android ผมแนะนำให้ลง app ชื่อว่า Hanping Chinese-English Dictionary ครับ มันจะแปล chinese-english, english-chinese และสามารถพิมพ์ได้ทั้ง pinyin และ Hanzi ที่เป็นอักษรจีน)
และอาทิตย์สุดท้ายนี่เองที่ทำให้ผมรับรู้ข่าวดี ข่าวหนึ่ง คือ ผมได้ไปฮ่องกงฟรีๆ 28-30 พฤศจิกายน.. เพื่อถ่ายรูปให้ KTC ฮาแตกมาก เพราะกลับมาปุ๊บ วันที่ 2 ผมต้องไปจีนทันที
แต่สุดท้ายการเดินทางที่ฮ่องกงสบายๆ ราบรื่นและสนุกดีครับ ผมจึงพร้อมจะไปตามหาแชงกรีลา อย่างที่ฝันมาหลายเดือน..
ก่อนผมไปฮ่องกง แม่ผมมาหาที่กรุงเทพ เลยเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้
เพื่อเดินทางทั้งฮ่องกงและจีนเลยหละครับ แหม่ รักเจ๊แกจริงๆ
แต่ตอนนี้ ผมขอจบภาคนี้ไว้เพียงเท่านี้ และภาคต่อๆไป ผมจะเขียนภาคละวัน ตามที่ผมได้เดินทางจริงๆ ใครสนใจและอยากไปตามหาแชงกรีลแบบผม ติดตามได้เลยครับ 😀