บันทึกการออกบวช วันที่ 6

วันที่ 26 พค. 2548 (บ.27/05/2548 exteen.02/07/2548)

วันนี้จำวัดทั้งวัน มีช่วงบ่ายที่นั่งคุยกับหลวงตาตลอด เลยไม่ได้จำวัด คุยกันตั้งแต่เรื่องสามัญชน – นายก – เชื้อพระวงศ์ วกกลับมาเรื่องส่วนตัวของเรา เรื่องสถาบัน เรื่องแนวคิดทางการใช้ชีวิตบางอย่าง สารพัด จนหลวงตาบอกว่าวันนี้ต้องปลงอาบัติอย่างหนัก ข้อหาพูดเพ้อเจ้อ 55

แต่หลวงตาท่านชอบพูดว่า “แหม่ พูดไปก็บาป แต่ขอพูดหน่อยเหอะ” ฟังแล้วก็ขำในใจ สรุปวันนี้ก็เลยปลงอาบัติกันยกใหญ่ (ปลงทุกวันอยู่แล้ว)

ตกเย็นฝนตก ก็เลยคุยโทรศัพท์กับโยมแม่ โยมม่า ท่านพูดทำนองว่ากลัวเราจะไม่สึก หรือสึกช้ามั้ง เลยเร่งให้เราไปดูวันสึกได้แล้ว เราเลยบอกว่าเดี๋ยวจะดูให้ จากนั้นก็คุยกับโกวจั่น เล่าเรื่อง ประสบการณ์วันที่ 25 ให้ฟัง และโกวจั่นก็เล่าว่า วันที่เราบวชช่วงเช้าเสร็จ ตอนบ่ายโกวจั่นก็หลับ ฝันเห็นป๊า อากง อาม่า ญาติเราที่เสียไปแล้วมาหาที่บ้าน แต่ไม่มีท่าทีหรือพูดอะไร โกวจั่นเลยบอว่าเขามารับรู้ว่าเราบวชให้ เราเลยเล่าเรื่องที่ฝันถึงป๊าติดคุกตอนใกล้จะบวชให้ฟังก็หวังว่าการมาเข้าฝันโกวจั่น คงจะเป็นการบอกว่าเป็นสุขดีแล้ว

source: http://ifew.exteen.com/20050702/entry-1

บันทึกการออกบวช วันที่ 5

วันที่ 25 พค. 2548 (บ.27/05/2548 exteen.02/07/2548)

วันที่เป็นวันที่มีนาคสองรูปมาบวช (ท่านก๋า ท่านเก่ง) เราเลยต้องลงโบสถ์ จากนั้นก็กลับมารอฉันเพล แต่พอดีว่ามีหลวงพี่มานิมนต์ไปฉันข้างนอก เราก็เลยไป (ไปกับท่านชิว นอกนั้นก็มีพระที่แก่พรรษาไปอีก 7 รวมเป็น 9)

ขอบอกครับว่าวันนี้ก็เป็นสุดยอดประสบการณ์ตั้งแต่เกิดครับ เพราะที่ๆ ไปฉันนั้น คือ.. ซ่อง แถมไม่ได้ไปธรรมดาด้วยครับ แต่ไปสวดทำบุญให้กับผู้ตาย

โอ้โฮ ก้าวแรกที่เข้าไป เจอแต่เด็กสาว อายุน่าจะไม่เกิน 18 กันซะเยอะ บรรยากาศ อึมครึมๆ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามาสวดอะไร ถามหลวงพี่ท่านหนึ่ง เขาก็ยิ้มๆแล้วบอกให้ไปถามอีกท่านหนึ่ง เราก็เลยไม่ได้อะไร แต่พอสวดจบ เห็นว่านานมากและทำน้ำมนต์ไปพรมตามบ้านด้วย กอปรกับต้องถือสายสิญด้วย เราเลยถามหลวงพี่อีกรอบว่า “เหมือนที่ผมคิดหรือไหม” ท่านเลยยิ้มๆ และพยักหน้า เราเลยถามอีกว่า “เรามาไล่ผีกันใช่ไหม” ท่านก็พยักหน้า โอ้โฮ มีความรู้สึกทันทีว่ามีอะไรบางอย่างครอบงำบ้านหลังนั้นไว้ ทุกอย่างดูวังเวงทันที

พอฉันเพลเสร็จก็กลับมาที่วัด หลวงตากับหลวงพี่ปอนก็กลับจากฉันเพลบนศาลาพอดี หลวงตาบ่นตลอดว่าฉันไม่ได้เลย เพราะเผ็ดบ้าง,แข็งบ้าง ฉันได้อย่างเดียวคือข้าวผัดไข่

ถึงเที่ยง เราก็เลยไปราชภัฏ เพื่อคุยกับอาขารย์อ้อย ขอเวลาให้ทีมงาน Young Quality Assuranceขึ้นไปปฐมนิเทศน์ กับขอเข้าเรียนตอนเป็นพระ แต่อาจารย์ท่าน ให้ไปเข้าประชุมกับพวกอาจารย์ ก็เลยได้เป็นขี้ปากไปโดยปริยาย(ปล.ที่เราต้องไปทำ YQA เพระเราเป้นประธานอยู่ ดังนั้น ถ้าไม่ดำเนินการก็จะไม่มีคนทำแทน+ ไปขอเข้าเรียน ก็เลยจำเป็นจะต้องไป)

อาจารย์บางท่านก็ถือฐิถิว่าเราเป้นลูกศิษย์เขา บวชไม่นานก็สึก เลยไม่ยกมือไหว้ บางท่านก็พูดเหมือนแซวๆ บางท่านก้เหน็บแนม เช่น พูดให้เราได้ยินแล้วชวนให้คิดว่า การมาของเราเป็นเกียรติอย่างสูง (เน้นเสียง เกียรติ หนักๆ) และก็บอกว่า “ท่านนี่รักกิจกรรมดีนะ” พูดเหมือนกับว่าเราบ้ากิจจกรมโดยไม่ดูสถานะตัวเองเลย

แต่เราก็ไม่ได้อะไร คิดแล้วก็ผ่านไป ได้แต่นั่งสำรวมฟังที่ประชุม เลยได้ความลับบางอย่างว่า ท่านเหล่านั้นพยายามจะหาประโยชน์จากกิจกรรมปฐมนิเทศน์ ซึ่งมันก็ไม่ผิดหรอก แต่รู้สึกว่าจะ อยากได้กันแบบเกินหน้าเกินตาไปหน่อย บางครั้งถ้าให้คำตอบไม่ได้ ท่านประธานก็จะบอว่า “ไว้คุยกับผมเป็นการส่วนตัวดีกว่า” (เอาเป็นว่ารู้กัน)

หลังจากนั้นก็ได้ไปพบกับผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ เพื่อคุยว่า เราเป้นพระจะขอเรียนได้ไหม เพราะการสึกจะกินเวลาเรียนไปอีก 10 วัน ท่านเลยบอกว่า ตามกฏแล้วห้ามพระมาสมัครเรียนที่นี่ แต่พอดีเรามาบวชกลางครัน ก็เลยให้เราไปถามอาจารย์ผู้สอนแต่ละท่านว่าสะดวกไหม ถ้าสะดวกก็มาเรียน ถ้าไม่ก็ไม่ต้องมา และก็บอกเสริมอีกว่าถ้ามาเรียนเกิน 80% ก็ยังมีสิทธิสอบ เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า”หยุดแค่สองอาทิตย์ คุณไม่ต้องมาหรอก หยุดไปเถอะ” (ตอนแรกคิดว่าเราเป็นพระมานาน ก็เลยยกมือไหว้ แต่พอรู้ว่าเราเป้น นศ.ของเขา ตอนจะกลับ เข้าเลยไม่ไหว้เราเลย แถมก้มหน้าทำงานต่อไม่สนใจเราด้วย เหอๆ)

วันนี้มันทำให้รู้สึกเบื่อทางโลกอย่างไรก็ไม่รู้ รู้สึกว่าฟุ้งซ่านมาก รู้ทันทีว่าถ้าสึกออกไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง แค่คิดก็วุ่นวายแล้ว กลับมาถึงวัดก็เลยเล่าให้หลวงตาฟัง และตกเย็นก็เล่าให้แม่ฟัง แม่เลยบอกว่าอย่าคิดมากและก็ถามวันสึกของเรา เราเลยบอกว่าเอาไว้ก่อน เขาก็เลยคุยเรื่องอื่นแล้วก็กลับบ้าน

source: http://ifew.exteen.com/20050702/entry

บันทึกการออกบวช วันที่ 4

วันที่ 24 พค. 2548 (บ.27/05/2548 exteen.18/06/2548)

วันนี้ตื่นมาทำวัตรและบิณฑบาตร กลับมาตอนเช้าเจอหลวงพี่ท่านหนึ่งชื่อหลวงพี่มณฑล ท่านเพิ่งกลับจากการซื้อหนังสือ เลยได้เห็นว่าท่านซื้อ National Geographic ฉบับสะสม ก็เลยคุยกับท่าน แล้วเราก็ให้ท่านยืม NG ของเรา (ที่เอามาจากบ้าน) ซึ่งชอบตรงกันก็เลยนั่งคุยสักพัก

พอถึงเพลโยมม่าก็เอาของมาถวาย + โบมหลวงพี่ชิวก็มาถวายด้วย เลยอยู่ฉันบนกุฏิตามเคย

วันนี้ไม่มีอะไรมาก ก็เลยจำวัดเช่นเดิม ตื่นมาทำวัตรเย็นอีกทีแล้วก็นั่งคุยๆ จำวัดต่อรอบดึก

source: http://ifew.exteen.com/20050618/entry-3

บันทึกการออกบวช วันที่ 3

วันที่ 23 พค. 2548 (บ.25,27/05/2548 exteen.18/06/2548)

วันนี้ตื้นตี 4 กว่าๆ มาเปลี่ยนชุดแล้วทำวัตรเช้า (ไม่อาบน้ำเช้าเป็นเรื่องปกติ เพราะมีความคิดว่านอน ไม่สกปรก และก็ตื่นสายทำให้เวลาไม่มี) วันนี้วันแรกที่จะต้องออกบิณฑบาตร แต่ก็เจอปัญหาเรื่องการแต่งตัว เลยทำให้ออกบิณฯสาย (05.50)

การบิณฯ จะต้องสะพายย่ามและเดินเท้าเปล่าอุ้มบาตร ก้าวแรกที่ออกจากวัดเป็นอะไรที่โลกกว้างและวุ่นวายมาก เป็นครั้งแรกที่เราเดินตลาดนครสวรรค์ตอนเช้ามืดภิกษุสามเณร เดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด ผู้คนก็มาตั้งแผงและเดินจับจ่ายใช้สอยกันหนาตาเหลือเกิน

เส้นทางการบิณฯ เราก็จะเดินตามหลวงพี่สามรูป (หลวงพี่ปอนด์,นัท,โต้ง) และมีพระใหม่เดินตามเราอีก 3 รวมเป็น 7 (ยามมาก เพระปกติที่เราเก็นจะเห็นพระเดินเดี่ยวๆหรือ 2-3 เท่านั้น) ส่วนหลวงตาจะเดินใกล้ๆเพราะเป็นใส้เลื่อน,หลวงพี่ชิวจะเดินไปอีกสายหนึ่งทางบ้านท่าน

เราเดินออกจากวัดแล้วเลี้ยวเข้าตลาดเพื่อตรงไปที่ร้านอาม่าของเรา

พอถึงหน้าร้าน พวกอาม่า โกวจั่น ก็เห็นเราแต่ไกล เลยลุกมาเตรียมของใส่บาตร หน้าตาแจ่มใส มีความสุขมากอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นมาก่อน เราก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

จากนั้นเราก็เดินออกไปทางถนนใหญ่เพื่อเข้าไปอีกตลาดหนึ่ง (เรียกว่าตลาดบ่อนไก่) และวกกลับไปอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อเข้าตลาดแห่งที่สาม (ตลาดนายเจือ) และไปโผล่ตรงสี่แยกห้างวิถีเทพและก็ตรงผ่านห้างแฟร์รี่แลนด์เพื่อกลับวัด

เป็นการเดินไกลพอสมควรในรอบหลายอาทิตย์ของเรา (ปกติจะนั่งเล่นแต่คอมฯ) พอกลับมาก็ฉันเช้าแล้วขึ้นโบสถ์เพื่อบวชนาค (ท่านตั้ม) และลงมาฉันเพลที่กุฏิ ที่จริงต้องฉันที่ศาลาแต่ว่าโยมแม่กับโยมยายเอาข้าวมาถวายก็เลยต้องอยู่ฉัน จากนั้นก็จำวัดยาว…

source: http://ifew.exteen.com/20050618/entry-2

บันทึกการออกบวช วันที่ 2

วันที่ 22 พค. 2548 (บ.23/05/2548 exteen.18/06/2548)หลวงตามาปลุกตอนตี4 เราบอกว่าเราไม่อาบน้ำ ท่านบอกว่าอย่างนั้นท่านจะไปอาบก่อน แล้วจะกลับมาปลุกอีกที (ท่านรีบปลุกให้รับไปอาบน้ำ เพราะกลัวว่าห้องน้ำจะเต็ม)

ตื่นมาต้องทำวัตรเช้า และวันนี้เป้นวันวิสาขะบูชา ก็เลยไม่ต้องไปบิณฑบาตร เพราะจะลงฉันเช้าที่ศาลา เราก็เลยกลับไปนอนกันต่อ ตื่นมาอีกที 7 โมงเช้า รีบแต่งตัวและก็ลงไปรอข้างล่างเพื่อเข้าสู่ศาลา

โอ้ว… ญาติโยมมาเยอะมาก แน่นศาลาไปหมด เพื่อมาฟังเทศน์ เลี้ยงอาหารพระสงฆ์ แต่ที่น่าตกใจสุดๆ คือ อาหารเยอะมาก มีเป็นร้อยๆๆๆ จาน วางเหยียดยาว ซ้อนกัน สองสามชั้นของจาน เลือกฉันแบบไม่หวัดไม่ไหว แต่ขอโทษครับ เอื้อมลำบากมาก เพราะอยู่ไกลมาก และลุกก็ไม่ได้ จะเอื้อมก็น่าเกลียด เลยได้แต่นั่งมองตาปริบๆ และที่น่าสงสารตัวเองก็คือ นั่งในศาลาตอน 7.30 แต่กว่าจะได้ฉันก็เกือบ 9 โมง (ซึ่งต้องมานั่งทนหิว โดยมีอาหารอยู่ข้างหน้า + อาหารเย็น + นั่งมองแมลงวันระบำบนอาหาร) นึกในใจ เค้าน่าจะทำแบบล้อเลหื่อนเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น จะได้หยิบได้ทั่วๆ

หลังจากเสร็จก็กลับกุฏิไปนอน และฉันเพล พอถึงเวลาทำวัตรเย็น ไอ้เราก็นึกว่าจะมีบุญได้ฟังโอวาทปาฏิโมกข์ เพราะเห็นว่าจะสวดกันวันนี้ แต่ทีไ่หนได้ ญาติโยมมาเยอะแล้ววัดวุ่นวาย เลยไม่ได้สวด (ได้ไปเป็นองครักษ์ให้เจ้าอาวาสตอนไปเปิดพิธีวิ่งวันวิสาขะฯ มาด้วย เท่จริงๆ)

พอตกค่ำก็เริ่มเวียนเทีนย และนี่เป็นการเวียนเทียนครั้งแรกในชีวิต และฝนตกชวงที่ฆราวาสเดินเวียน แต่พอพระเดินฝนก็หยุดพอดี

วันนี้พธีเสร็จตอน 1 ทุ่มกว่าๆ แต่ต้องนั่งคุยกับพระครูนิภา ถึง 4 ทุ่ม เพระาคุยหลายเรื่องมาก เช่น กรรม วิญญาณ เจ้าอาวาสองค์ก่อน ท่านนี่คุยเก่งจริงๆ คุยเสร็จก็ขึ้นกุฏิเจอหลวงพี่ท่านหนึ่งชื่อหลวงพี่วรากร (รู้สึกว่าจะเป็นมหา แต่เราติดปากกันว่าหลวงพี่) ซึ่งก็คุยเรอื่งสมาธิกับท่าน ท่านบอกว่าบวชมากก็ขอให้ได้สัมผัสรสของฒานสักครั้ง ก็เลยคุยกันเรือ่งฒานจนเกือบเที่ยงคืนแล้วก็เข้านอน

ปล.วันนี้กลับบ้านไปเอาหนังสือมาอ่านเล่นที่วัด เจอหมาที่บ้าน ร้อนวันพันทีไม่เคยสนใจ แต่พอกลับบ้านไปมันมาเลียเมือมาคลุกคลีด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ซึ่งแปลกมาก

source: http://ifew.exteen.com/20050618/entry-1