ตั้งใจลองสมถะสมาธิ

เมื่อคืนมีโอกาสได้นั่งสมาธิแบบจริงจัง หลังจากไม่ได้นั่งมาหลายเดือน เป้าหมายเพราะอยากจัดระบบหายใจตัวเอง และฟื้นฟูความจำ เนื่องจากสองอย่างนี้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีปัญหาพอสมควร เช่น หายใจไม่ทันบ้าง เหนื่อยง่ายบ้าง (เพิ่งเป็นมาได้เดือนกว่า โดยไม่รู้สาเหตุ) เริ่มนึกอะไรไม่ค่อยออกในสิ่งที่เป็นชื่อเฉพาะ และที่แย่สุดคือเดินป่าครั้งล่าสุด(ถ้ำลำคลองงู) รู้สึกถึงความหงุดหงิดใจร้อนที่เดินไม่ถึงสักที เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว!

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตั้งใจจะนั่งแค่ 15 นาที แต่ก็นั่งได้ยาวเกือบ 30 นาที โดยคิดว่าไม่ได้นานอะไร และไม่ปวดเมื่อยแต่อย่างใด จะมีเพียงใจที่ไหวติง และสั่นไหว เพราะคอยคิดว่า มันนานเกินไปแล้ว มันนานเกินไปแล้ว กอปรกับได้ยินเสียงรบกวนต่างๆนานา จากประตูบ้าง กำแพงบ้าง แอร์บ้าง นาฬิกาบ้าง เสียงรถสัญจรไปมาด้านนอกบ้าง จึงได้ออกจากสมาธิ

หลังจากได้คุยกับพระครูที่นับถือท่านหนึ่ง ก็เข้าใจชัดเจนถึงการนั่งแบบสมถะและวิปัสสนา ครั้งนี้เลยตั้งใจนั่งแบบสมถะสมาธิเพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ตอนต้น คือจับลมหายใจ

อาจด้วยเพราะเป็นความตั้งใจที่ชัดเจน ไม่ใช่การนั่งแบบเดิมๆ ที่ทำ เลยมุ่งที่จะดูลมหายใจหายเดียว ไม่ว่าสิ่งใดเข้ามากระทบ ก็จะดึงกลับมาดูลมหายใจเพียวๆ บ้างก็พูดกับตนเองว่า “อยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดอดีต ไม่คิดอนาคต” เพื่อให้เตือนสติตนเองว่าไม่วอกแวกไปไหนนอกจากลมหายใจ

ความรู้สึกในใจในครั้งนี้ ทำให้อยู่กับตนเองได้เต็มที่มากๆ รู้สึกถึงการปล่อยให้สิ่งรอบข้างปล่อยเลยผ่านไป การเป็นไปของสิ่งต่างๆรอบตัว จะเป็นอย่างไรก็เป็นของมันอย่างนั้น

ตื่นเช้ามา มีบ้างที่แว่บไปหงุดหงิดคนรอบข้างบางคน แต่ก็ได้ทรงสภาวะของเมื่อคืนมาด้วย คือพิจารณาได้ว่า เขาเป็นของเขาแบบนั้น เราก็แค่เห็น และรู้ไว้ว่านิสัยเขาเป็นแบบนั้น แล้วก็อุทานกับตนเองว่า “เออ เขาเป็นแบบนั้นแบบนี้..” แค่นั้นพอ, ไม่ได้เอาความเป็นแบบนั้นแบบนี้ของเขามาหงุดหงิดและรู้สึกว่าทำไมเขาไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ เหมือนที่เราต้องการ

เอาเป็นว่า ไม่ว่าผมจะได้อะไรหรือได้บุญกุศลอะไรที่นอกจากเกิดกับตัวผมแล้ว ก็ขอส่งบุญนี้ให้ทุกท่านเป็นสุขด้วยกันทุกคนด้วยนะครับ 😀

 

การเสพทางอารมณ์ กับ การกิน

การเสพกับการกิน ผมเพิ่งค้นพบว่ามันเหมือนกันนะ

ในเชิงลบ
การกิน เรากินขนม อร่อยมากเลย มีรสหวานมาก แต่ในขณะนั้นเรากำลังรับสารอาหารอะไรบ้างก็ไม่รู้ที่กำลังจะสะสมในร่างกาย สุดท้าย ถ้ากินเหมือนเดิมทุกวัน เราก็จะอ้วน หรือเป็นเบาหวานในที่สุด

การเสพทางอารมณ์ สมมุติว่าเราปล่อยใจให้คิดถึงใครสักคน ในขณะนั้นเราจะไม่รู้ว่า มันจะมีอารมณ์อยาก รัก หลง เข้ามาเกี่ยวข้อง สุดท้ายแล้วถ้าเราคิดถึงทุกวันๆ เราก็จะกลายเป็นคนที่หลงและคลั่งใคล้ มีแต่ความอยากที่จะเจอ ตลอดเวลา พูดง่ายๆ เมหือนคนบ้า

ในเชิงบวก
หากเรากินพวกผักผลไม้ไปเรื่อยๆ เราไม่รู้เดี๋ยวนั้นหรอกว่า มันจะไปช่้วยอะไรในร่างกายเราบ้าง มันจะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าว่ามีชายแก่คนไทย ไปเที่ยวจีน เขาเดินบนกำแพงเมืองจีน ลุยหิมะ เพื่อจะเที่ยว ได้อย่างไม่หนาว และไม่เหนื่อย ซึ่งสอบถามไป เขาก็บอกว่า เขากินโสมมาตั้งแต่อายุประมาณ 18 จนตอนนี้จะ 80 ก็ยังกินอยู่

หากเราเสพโดย เสพอารมณ์ทางสงบ เช่นการนั่งสมาธิ หรือทำใจให้ปลอดโปร่ง โอเคมันจะไม่ทำให้สติหรือสมาธิประทปัญญาคุณดีขึ้นทันตาเห็น แต่มันจะค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ จนเกิดขึ้นในอนาคต และมันจะมีผลกับร่างกายเหมือนการกินคือ เมื่ออารมร์ได้พักผ่อน ร่างกายก็จะได้พักผ่อนตาม หน้าตาและผิวพรรณของเราจะดี ให้คุณสังเกตุ คนแก่ที่เข้าวัดบ่อยๆ (เข้าด้วยใจนะ ไม่ใช่เข้าบังหน้า) จะมีหน้าตาดี สดใสมาก แม้แต่ผมช่วงที่เพิ่งสึกมาใหม่ๆ ก็มีคนทักว่าหน้าตาสดใสขึ้น เพราะช่วงบวชเราไม่ต้องคิดเรื่องใดๆให้ปวดหัว แล้วได้พักผ่อนที่เพียงพอทั้งทางกายและทางใจ

source: http://ifew.exteen.com/20050921/entry-1