Paknampho Circuit

เบื่อวิ่งอุทยานสวรรค์ เลยลองไปเส้นทางวิ่งใหม่ในนครสวรรค์ ขอเรียกมันว่า Paknampho Circuit ก็แล้วกัน

แพลนใน Google Map ก่อน พอได้หยุดวันแรงงานเลยลองวิ่งจริง
ขอแชร์ไว้ให้ลองไปวิ่งหรือเดินเล่นดูครับ เพราะผมพบว่าแม้จะเป็นบ้านเกิดตัวเอง แต่เส้นนี้ก็น่าสนใจ

ระยะรวม 18กม เริ่มออกตอน 6 โมงเช้า
เริ่มจากซอยตรงข้ามโรงเรียนสตรีนครสวรรค์ และกลับมาจุดเดิม
ผมเริ่มจากวิ่งเลาะจุดต้นแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตลาด
Continue reading “Paknampho Circuit” »

มาราธอนแรก.. จอมบึง (42.195km)

ต้องย้อนหลังไปเมื่อปลายปี 2557 ตอนนั้นเริ่มวิ่งออกกำลังเพื่อให้ตัวเองแข็งแรงแล้วไปปีนเขา เข้าป่าสนุกๆ ไปได้สูงไปได้ไกลขึ้น

ก่อนหน้านั้นไปอีก ผมวิ่งไม่เป็นเลย ไม่ถึงกิโลฯ ก็เหนื่อย เริ่มหัดตอนเข้าฟิตเนสแรกๆ เผื่อใครสนใจลองดูครับ คือ เดินแกว่งเท้าจาก 15 เป็น 30 เป็น 60 นาที แล้วขยับไปเดินเร็วบนลู่ จากนั้นสลับเดินวิ่งอย่างละ 1 นาที ปรับไปเป็น เดิน1วิ่ง2 เดิน2วิ่ง5 เดิน2วิ่ง10 แล้วจนวิ่งต่อเนื่องบนลู่ได้ถึง 5กม ผมจึงลองไปวิ่งบนถนนจริง (เหนื่อยกว่าลู่พอตัว เพราะฝืดเท้า และอากาศร้อน)

ระยะที่วิ่งเล่นตอนนั้นก็เพียง 3-5 กิโลเมตรเท่านั้น งานแรกที่ไปวิ่งคือ AIA Music Run 5กม แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปต่อ TMB Park Run 5กม เลย เปรี้ยวมากครับ ตอนนั้นวิ่งต่อเนื่องได้เกิน 2กม ก็ดีใจมากแล้ว กว่าจะจบ 5กม ได้ ก็วิ่งๆเดินๆ เหนื่อยเอาการ Continue reading “มาราธอนแรก.. จอมบึง (42.195km)” »

ความคิดในทุกๆก้าว

IMG_20141107_000444

ความคิดของผมชัดเจนทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับตัวเอง
บนลู่วิ่ง หรือเส้นทางที่ก้าวเหยียบในทุกๆก้าว
เมื่อเราไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการเคลื่อนไหว..

เริ่มวิ่งไปที่กิโลเมตรแรก..
ผมคุยกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมาจุดนี้ได้ แน่นอนมันเป็นความทะเยอทะยานบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องมาจากการชอบเที่ยว ชอบเข้าป่าและปีนเขา ผมคิดเสมอ ถ้าร่างกายผมไม่แข็งแรงพอ ผมจะพิชิตยอดเขาที่สูงขึ้นไปได้อย่างไรกัน อาจจบที่เขาใดเขาหนึ่ง ไม่สามารถไปต่อที่ที่สูงขึ้นหรือยากขึ้นได้เลย

เข้าสู่กิโลเมตรที่หนึ่ง..
ผมเคยลังเลว่าตัวเองหมดไฟแล้วหรือยัง ทำไมฉันถึงไม่ขยับไปไหนสักที แต่เปล่าเลย สิ่งต่างๆในกิจกรรมที่ผมทำ ผมพบว่าตัวเองยังมีไฟ ยังมีความทะเยอทะยาน และมีพลังมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีใครคนหนึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่คุณไม่เคยมี คุณก็ต้องทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ” นั่นคือการที่ผมลุกมาทำอะไรบ้าๆบอๆ ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ในชีวิต  ผมจึงได้โลกใหม่ ได้ชีวิตที่แข็งแรงขึ้น  และก็ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ๆ

เข้าสู่กิโลเมตรที่สอง..
มันตอกย้ำกับความคิดผมที่ว่า เรื่องราวระหว่างทางย่อมมีความหมายและสวยงามของมันในทุกๆช่วงขณะ และเราจะได้ประสบการณ์จากตรงนั้น ส่วนปลายทางความสำเร็จ  มันเป็นความภูมิใจของเรา ที่ได้สั่งสมประสบการณ์จนมาถึงจุดๆนี้ได้ รอบข้างเราเต็มไปด้วยสิ่งที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจดจำมันไว้ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ดีเสมอ และผ่านมาแล้ว

เข้าสู่กิโลเมตรที่สาม..
ผมเริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากที่มาได้เกิน 60% แล้ว พอๆกับร่างกายที่ตึงพอสมควร แต่เราก็ทำมันได้  ผมพยายามหาเหตุผลและวิธีคิดให้ตัวเองบรรลุอะไรบางอย่าง ผมควรทำอย่างไรดีเพื่อเปลี่ยนพลังความทะเยอทะยานบ้าๆบอๆและไฟเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ บ้าง เช่น งาน เงิน ความรัก บางทีมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ดีและเร็วกว่านี้ก็เป็นได้

เข้าสู่กิโลเมตรที่สี่ กิโลเมตรสุดท้าย..
ผมเริ่มประมาณการระยะทางที่เหลือ และนับถอยหลังเรื่อยๆ  คำสบถเริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัว “แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบหาย เมื่อไรจะถึง” บางทีก็คิดถึงอนาคตที่ว่า “วิ่งจบเมื่อไรกรูจะลงไปนอนแผ่ทันที” กิโลเมตรนี้สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผม มันทำให้ผมเห็นหน้าบรรพบุรุษที่เสียไปแล้ว กำลังกวักมือเรียก เหงื่อแตก น้ำมูกไหล ดั่งธาตุไฟเข้าแทรก มันเป็นช่วงที่ต้องนึกถึงบุญกรรมที่เคยสะสมไว้ในชาตินี้และชาติที่แล้ว  ช่วยดลบรรดาลให้เรามีพลังเฮือกสุดท้ายทำการใหญ่ได้สำเร็จ

สิ้นสุดห้ากิโลเมตร..
อยากจะร้องไห้น้ำตาไหลเพราะทำสำเร็จ  แต่น้ำระบายทั้งตัวผ่านเหงื่อและน้ำมูกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความปวดร้าว จังหวะหัวใจที่เต้นแรง และความภูมิใจลึกๆ ว่า “หนูทำได้” (ตามด้วยเสียงบีบแตร ปี๊บๆ ปี๊บๆ)

 

เรียบเรียงจากคำให้การของนักวิ่งหน้าใหม่