ศิลป์สามท่า – เช้ายันสาย-บ่ายยันค่ำ ที่กะดีจีน-คลองสาน

มีเพื่อนชวนไปเดินเที่ยวงาน ศิลป์สามท่า – เช้ายันสาย-บ่ายยันค่ำ ที่กะดีจีน-คลองสาน
ซึ่งเขาจัดช่วง 23-24 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา แถวนั้นเรียกว่าเทศกาลง่วนเสี้ยว (ส่งท้ายตรุษจีน)

จะบอกว่าไม่เคยไปย่านนั้นเลย และไม่มีความคิดจะไป รู้เพียงแค่ว่ามีบ้านเพื่อนอยู่ที่นั่น แล้วมีบ้านทรงจีนโบราณๆน่าไปถ่ายรูปเล่น แต่ไม่รู้จริงๆว่ามีอะไรดี
แต่หลังจากได้ไปเดินเล่นอยู่สัก 5 ชั่วโมง ถือว่าประทับใจครับ เปิดโลกทัศน์และกะลาน้อยๆ ว่าฝั่งธนฯ น่าสนใจ และมีชุมชนเก่ามากมายให้ได้สัมผัส
โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆตามต่างจังหวัดเลย ได้อีกอารมณ์หนึ่งไม่เหมือนกับเดินชุมชนเก่าในย่านฝั่งพระนครด้วย เอาเป็นว่า สรุปมาให้คร่าว Continue reading “ศิลป์สามท่า – เช้ายันสาย-บ่ายยันค่ำ ที่กะดีจีน-คลองสาน” »

แชงกรีลา (Shangri-La) – ตอน 3 สิบสองปานนา และ จีน 101

ต้องขออภัยก่อนเลยครับ ที่ไม่ว่างมาเขียนเรื่องแชงกรีลาหลายวัน งานเยอะมากมาย ปกติเรื่องตอนหนึ่งผมใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการรวบรวมข้อมูล จึงต้องว่างจริงๆถึงจะได้เขียน

จากความเดิมตอนที่แล้ว แชงกรีลา (Shangri-La) – ตอน 2 ออกลุย พวกเราตกรถนอนไปต้าลี่เป็นที่เรียบร้อย เราจึงต้องจำใจอยู่เที่ยวเมืองจิ่งหง หรืออีกชื่อคือเชียงรุ้ง (ในเขตสิบสองปานนา) แบบ 1 วันเต็มๆ อย่างที่ไม่มีการวางแผนมาก่อน แล้วก็พบว่า มันมีอะไรให้เราค้นหาอีกเยอะ น่าเที่ยวนี่นา..

วันที่ 4 ธันวาคม 2552 … ใจกลางจิ่งหง

เป็นคืนแรกที่ผมนอนบนจีนแผ่นดินใหญ่ ในโรงแรมสามดาวของท่ารถเมืองจิ่งหง สภาพห้องโอเค มีแอร์ แต่ไม่มีเครื่องทำความร้อน รวมถึงเตียงก็ไม่ทำความร้อนด้วย เราจึงใช้วิธีปิดหน้าต่างแล้วเปิดแอร์ในอุณภูมิที่สูงกว่าอากาศข้างนอก จำได้ว่าคืนนั้นผมห่มผ้านวมเท่าไรก็รู้สึกว่าหนาวเท้ามาก นอนไม่ค่อยหลับ

ตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณ 8 โมงเช้า เดินไปอาบน้ำอุ่นที่ไหลเอื่อยๆจากฝักบัว เสร็จออกมาเจอเจ้าโด ซึ่งเมื่อคืนมันก็นอนหนาวเท้าเหมือนผมเช่นกัน ขยับตัวแทบไม่ได้ เพราะถ้าขยับมันจะมีไอเย็นเข้ามา ส่วนพี่ป๊อปแกไม่อยู่บนเตียง เลยเดาว่าคงออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนหน้าแล้ว

ผมเดินออกมาหน้าห้องพัก ซึ่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม แม้จะเป็นเวลา 9 โมงเช้า แดดจ้า แต่หมอกยังหนาพอสมควร อากาศยังคงเย็นพอให้หน้าชาได้อยู่ มองไปด้านล่างมีผู้คนและรถทัวร์มากมายขวักไขว่ไปหมด


ท่ารถยามเช้าในจิ่งหง

ผมกลับเข้าห้องมาเปิดหนังสือหาข้อมูลจิ่งหง สักพักพี่ป๊อปก็เดินเข้าห้อง หิ้วซาลาเปาลูกเล็กๆมา 1 ถุง หมั่นโถวไส้ผัก 1 ถุง พร้อมเกาลัดของพี่แอนอีกหนึ่งห่อ แกเล่าให้ฟังว่า ใกล้ๆนี้ มี Super Market ไว้ให้ซื้อของกินของใช้ได้ แกบอกว่าแกไปกับพี่แอน แต่พี่แอนซ้อนมอเตอร์ไซต์ของอาเฮียร้านขายของชำไป China Telecom เพื่อทำเรื่องซิมโทรศัพท์ให้ใช้โทรกลับไทยได้

พวกเรารอพี่แอนจนใกล้เที่ยง จึงเดินลงจากห้องไป Check out ไม่นานนักพอพี่แอนกลับมา จึงตกลงกันว่าจะผ่านไปดู Super Market ของจีน (เที่ยวได้บ้านนอกมาก) แล้วเลาะตามถนนไปสุดที่สวนสาธารณะแห่งชาติ – Nationality Park (Minzu Fengqing Park)

เพิ่มเติม: จริงๆ แล้วสวนสาธารณะที่โด่งดังของจิ่งหงคือ สวนสาธารณะม่านทิง (Manting Park) เป็นสถานที่ที่มีรูปปั้นของท่านโจวเอินไหล (Statute of Zhou En Lai) มีการแสดงของชนเผ่าต่างๆในสิบสองปานนา และสวนดอกไม้นานาชาติ แต่ว่ามันอยู่ไกลจากโรงแรมเราพอสมควร กอปรกับพวกเรายังไม่กล้าที่จะนั่ง Taxi ในจีน (อาเฮียที่เคยช่วยเราบอกว่า ที่จีนเสียค่า Taxi 5 หยวน ไปได้ทุกที่ในเมือง) จึงใช้วิธีการเดินไปสถานที่ใกล้ๆ แทน (เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ค่าฝาก 6 ใบ เขาคิด 10 หยวน)


สตอเบอรี่กรอบเสียบไม้

พวกเราลัดเลาะไปตามถนน Mengla Dadao พบ Super Market มันดูคล้ายกับ Big-C, Lotus ในไทย ผมซื้อเกาลัดติดมือมา 1 กิโล (24หยวน=120บาท) พร้อมทดลองกินสตอเบอรี่กรอบเสียบไม้ (ไม่รู้ราคา เพราะไม่ได้จ่ายเอง แหะๆ) รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ แปลกดี แล้วจึงเดินต่อไปจนถึงสวนสาธารณะแห่งชาติ แต่กว่าจะเจอ ทำเรางงพอสมควร เพราะมันแอบมีสวนดอกไม้เล็กๆ ให้เข้าใจว่ามันคือสวนสาธารณะเล็กๆ ไม่เหมือนในแผนที่ แต่พอเดินเข้าไปสอบถามคนจีนแถวนั้น และเดินต่อไปจนถึงสวนสาธารณะจริงๆ มันกว้างขวางพอสมควร พวกเราเดินเข้าไปแค่นิดหน่อย แล้วนั่งพักพูดคุย กินเกาลัดเป็นมื้อเช้ากัน


ทางเข้าสวนสาธารณะแห่งชาติ

สวนสาธารณะแห่งชาติ

เราเดินต่อจากสวนสาธารณะไปในย่านใจกลางเมือง บนถนน Menglong Lu และ Manting Lu อาคารร้านค้าของจิ่งหงดูใหม่มาก ในสไตล์โมเดิร์นผสมกับลายไม้ฉลุพื้นเมืองของหลังคา เหมือนกับเมืองนี้เพิ่งถูกเนรมิตรใหม่ท่ามกลางป่าเขา อาคารและถนนหนทางดูสะอาด ผู้คนและรถไม่มากนัก แม้วันที่เราไปถึงจะเป็นวันทำงานตามปกติ  จนชวนให้คิดว่า มันคล้ายๆ กับลาสเวกัสในภาพยนตร์ที่เราเคยได้ดู ถูกย่อส่วนมาไว้ตรงหน้า


บ้านเมืองสะอาดและเรียบร้อยมาก

เราเดิน ไปเจอตึก Thai City Hotel (เขียนภาษาไทยไว้ตัวใหญ่ด้วยครับว่า “โรงแรมไทยซิทีย์”) จึงเดินเข้าไปทักทายเพื่อขอเข้าห้องน้ำ แต่ปรากฏว่าไม่มีคนไทยในนั้น พนักงานไม่เข้าใจภาษาไทยอีกต่างหาก เลยคาดว่าเจ้าของอาจจะคนไทยหรือไม่ก็เอาความเป็นไทยมาทำการตลาด ราคาค่าห้องที่นั่น แพงพอตัว ถ้าผมจำราคาไม่ผิดอยู่ที่ประมาณ 150 หยวน ต่อคืน


โรงแรม(ชื่อ)ไทยในจิ่งหง

บ่อยครั้งที่ผมเจอภาษาไทยในจิ่งหง และเจอศิลปะคล้ายๆ ในประเทศไทยมากมาย มันทำให้รู้สึกว่ายังอยู่เมืองไทย ซึ่งในประวัติศาสตร์แถบสิบสองปานนาเคยเป็นของไทยมาก่อน ภาษาท้องถิ่นก็มีหลายคำที่คล้ายๆภาษาไทย ของกินของใช้หลายอย่าง ถูกนำเข้ามาจากประเทศไทย ดังนั้นถ้ามีเวลาสักสองสามวัน เมืองจิ่งหงในเขตสิบสองปานนา น่าเที่ยวมากครับ เป็นเมืองที่มาได้ไม่ยากและธรรมชาติบริเวณนี้ยังคงสวยอยู่


ศิลปะล้านนาคล้ายๆในไทย แต่คิดว่าค่อนไปทางพม่ามากกว่า

เมื่อเสร็จภาระกิจปลดทุกข์ที่โรงแรมไทยซิทีย์ เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปเจอตลาดสด มันดูคล้ายตลาดสดในประเทศไทย คือมีแท่นปูนสี่เหลี่ยมเพื่อแบ่งล็อก แม่ค้าพ่อค้าวางของไว้บนนั้นและขายของ มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว ผักสด ผักดอง ผลไม้ น้ำพริก รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า วางขายกันเยอะพอสมควร เท่าที่พอเห็นราคาจากที่แปะป้ายไว้ รู้สึกว่าผลไม้ รองเท้า เสื้อผ้า ราคาจะถูกกว่าไทยอยู่มากครับ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนไทยนำเข้าของจากจีนในราคาถูกได้ไม่ยาก เพราะแค่เมืองจิ่งหง ที่ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไม่ถึง 15 ชม. (แบบอืดๆ ด้วยนะ!)  สินค้าก็สามารถส่งไปถึงเชียงรายได้ทันที แต่ราคาต่างกับที่ไทยหลายเท่าตัว เช่น รองเท้าบูธผู้หญิงสภาพผมว่าใช้ได้นะ ตกคู่ละ 20 หยวน หรือ 100 บาท


ตลาดสดของจิ่งหง

พวกเราเดินไปหลายที่ในเมือง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส เพื่อวกกลับไปโรงแรมที่พักบนถนน Menghai Lu อีกครั้ง

ตอนนี้ประมาณ 15.00 น. เริ่มจะต้องหาของกินอีกครั้ง พวกผู้ชายเลือกที่จะกลับไปกินอาหารจีนเหมือนเดิม ซึ่งครั้งนี้เราลองเลือกเป็นร้านข้างๆที่ติดกับร้านเดิมของเมื่อวาน ส่วนผู้หญิงเลือกที่จะเดินต่อไปห้างเพื่อกินบะหมี่

บังเอิญตอนไปที่ร้านอาหาร เราพบโต๊ะคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีผู้ชายที่พอดูออกได้ว่าเป็นเจ้าของร้านนั่งอยู่ด้วย จึงขออนุญาตเข้าไปชี้นิ้วสั่งอาหาร เอาแบบพวกเขาอีกชุดหนึ่ง (หิวมาก ขี้เกียจแปลแล้ว และขอบอกว่ามันเป็นวิธีการที่ง่าย แต่เราต้องขออนุญาตเขาก่อนจะไปชี้นะครับ พอเขารู้ว่าเราต่างชาติ พูดจีนไม่ได้ เขาก็ยินดีที่จะแนะนำและให้เราชี้จานเขาสั่งได้ แต่ถ้าโชคดีเจอร้านที่มีรูปอาหารอยู่แล้ว ก็ไปชี้ได้ที่รูปข้างกำแพงหรือในเมนูได้เลย)


ถ้าอ่านไม่ออก แนะนำให้ชี้รูป หรือถ้าไม่มี ขออนุญาตไปชี้จานที่โต๊ะอื่น


ตอนนี้จานใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น หิวมาก!

ที่นี่ทำให้เรารู้ว่า ร้านอาหารจีนปกติแล้วจะแพ็คพวกจานชามถ้วยน้ำชาช้อนซุปเข้าด้วยกัน ห่อพลาสติกอย่างดีปานว่าใช้ครั้งเดียวทิ้ง (หรือเพราะเราขึ้นร้านเหลาของจีนก็ไม่แน่ใจ) และเหมือนเดิมอีกเช่นเคยเสริฟพร้อมข้าวไม่อั้น ชาไม่อั้น มื้อนี้ผมมีอาม่ามาด้อมๆมองๆ กาละมังข้าว ตลอดเวลา พอแกเห็นหมดปุ๊บ แกเดินไปตักมาเพิ่มให้ เลี้ยงดูดั่งลูกหลาน สรุปค่าเสียหายมื้อนี้หมดไปคนละ 16 หยวน หรือ 80 บาท


มาเป็น package

นั่งรอไม่นานนักพวกผู้หญิงก็เดินกลับมาจากห้าง ซื้อขนมและน้ำติดไม้ติดมือเพื่อเตรียมเดินทางต่อด้วยรถนอนไปเมืองต้าลี่

เราจองตั๋วรถนอนไว้ 6 ใบ เวลา 17.00น. (เพื่อให้ถึงต้าลี่ในเวลา 11.00 น. เพราะในหนังสือบอกไว้ว่าเราจะต้องใช้เวลาเดินทาง 18 ชม.) แต่กว่าเราจะได้ขึ้นรถ ก็เกือบ 17.30 น.


นั่งรอรถกันต่อไป

ระหว่างรอพวกเรากะวนกะวายใจพอสมควร กลัวรถจะออกไปก่อน แล้วเจ๊พนักงานไม่ยอมบอก เพราะป้ายดิจิตอลที่บอกเที่ยวรถ มีแต่ภาษาจีน เราทำได้แต่เปิดหนังสือเพื่อจำรูปตัวอักษร แล้วนำไปเทียบบนตาราง บังเอิญว่ามันมีเที่ยวหมายเลขรถเที่ยวต่อไปขึ้นมาแซงเที่ยวของเรา ทำให้พวกเราเดินกันพัลวัล หยิบตั๋วให้พนักงางานดูอยู่เรื่อยๆ จนเขารำคาญแล้วพูดภาษาจีนอะไรสักอย่าง ทำนองว่า มาแล้วจะบอก


จีนล้วนๆ

ระหว่างที่รอ แต่ละคนผลัดกันเข้าห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัวและสวมชุดกันหนาว
พี่ป๊อปกับโดมเดินออกมา บอกให้ผมไปเข้าต่อ แล้วก็ไม่พูดอะไร

ก้าวแรกที่เดินเข้าไป หันซ้าย ผมเห็นโถยืนปัสสาวะของผู้ชาย สูงมากจนถึงพื้น เหมือนกับที่เคยเห็นในการ์ตูน แต่หันขวา ผมเห็นห้องน้ำที่มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เฮียแกกำลังก้มมองอะไรสักอย่างในโถ และบังเอิญไอ้เราก็สายตาเร็ว ดันมองตามสายตาแกไปด้วย… โอ้วเหี้ย.. จิ้งจกอาเฮีย!

หันกลับมา เข้าซองเสร็จ ล้างมือ ผมเดินออกมาแบบไม่คิดอะไร.. พี่ป๊อป โดม ไม่พูดอะไรนอกจากคำว่า “เห็นอะไรไหม” แล้วก็พยักหน้า..หงึก.. หงึก..

ครั้งแรกกับรถนอนในจีน

เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ขึ้นรถนอน ซึ่งมันทำจากรถบัสขนาดกลาง สภาพภายในรถติดแอร์ ปูพรม ซึ่งก่อนจะขึ้น เราต้องถอดรองเท้าใส่ถุงที่คนขับรถได้เตรียมไว้ให้ และที่นอนถูกซอยแถวเป็นสามแถว มีทางเดินคั่น ซึ่งแต่ละแถวเป็นเตียงสองชั้นติดๆกัน ปลายเตียงจะมีช่องไว้ให้ใส่ของจิปาถะ แต่ส่วนมากจะวางรองเท้า

ดังนั้น หัวคนที่นอนจะแทบนอนหนุนรองเท้าของคนที่นอนอยู่เหนือเราถัดไป (มันโชคดีมากที่รองเท้าคนข้างบนไม่เหม็น แต่เป็นความโชคร้ายอย่างแสนสาหัสของคนนอนต่อจากผม เพราะรองเท้าผม เหม็น โอ้วชาบู…)


รถนอน.. สบ๊ายย!

เราเลือกที่จะนอนเตียงชั้นบนกันทุกคน และมีสิ่งหนึ่งที่แปลกตาตั้งแต่ขึ้นรถ คือ ในช่องทางเดินสองทาง จะมีถังเล็กๆ แต่ใส่น้ำไว้นิดหน่อย อารมณ์ว่าถังขยะ มีอยู่ประมาณ 6 ถังเห็นจะได้ ถือว่ารถคันนี้มีถังขยะเยอะมาก

เนสแจกยานอนหลับให้ทุกคน มีผมคนหนึ่งหละที่ขอกิน เพราะผมเป็นพวกนอนยาก ถ้าไม่ง่วงจริงๆ ตอนนั้นพวกเราคึกกันมากครับ คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนพระอาทิตย์เริ่มตกดิน และรถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ..

พอความมืดปกคลุม ประสบการณ์นั่งรถนอนในจีนครั้งแรกของหนุ่มสาวชาวไทยก็ได้เกิดขึ้น..

ไอ้เด็กเตียงข้างล่างอายุน่าจะประมาณ 5 ขวบ มันโหวกเหวกโวยวายเล่นกันอยู่ 2 คน แรกๆ ดูน่ารัก ครื้นเครงดี หลังๆรู้สึกรำคาญ กรี๊ดกร๊าด วิ่งไปวิ่งมา โชคดีที่ผมนอนเตียงบน แต่มันก็ไม่วายยังปีนขึ้นมาตรงเตียงผมด้วย หัวมันหลิมๆ กลมๆ ตอนนั้นอยากจะเอาเท้ายันหัวมันลงไปเสียจริงๆ ส่วนแม่มันก็ไม่ได้สนใจอะไร คนจีนในนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร เราได้แต่ทนต่อไป และแล้ว.. พวกเราก็เริ่มได้กลิ่นบุหรี่..

ควันขาวๆ เริ่มลอยขึ้นจากใต้เตียงพี่ป๊อป ใช่แล้ว..มันมีไอ้แป๊ะคนหนึ่งดูดบุหรี่บนรถแอร์ เราทำได้แต่มอง แต่มันก็ดูดต่อไปพร้อมเล่นเกมส์มือถือ ไอ้เด็กนรกสองตัวก็ยังคงเล่นกันอย่างเมามัน

เสียงเพลงจีนดังขึ้นเป็นระยะจากข้างหลัง ต่อด้วยเสียงคนพูดที่รับสายโทรศัพท์มือถือจากใครสักคน

ควันสีขาวมันเริ่มโผล่ด้านหน้ารถ.. oh shit! คนขับรถก็ดูดบุหรี่ หัวเรือเปิดทาง ไม่นานนักมันก็มีหลายเตียงที่ดูดตาม..

ดูดกันควันโขมง.. ปานว่าเป็นยาบำรุงกำลังให้ไอ้เด็กเวร 2 ตัว เล่นกันต่อไป

พวกเราได้แต่มองหน้าคุยกันงึมงำๆ  ส่วนผมได้แต่พยายามทำใจว่าเมื่อไรยาจะออกฤทธิ์แล้วหลับเป็นตาย

ผมนอนดมบุหรี่พร้อมฟังเสียงบรรเลงเพลงมวยจากไอ้เด็กนรกสองตัว พรางมองออกไปดูวิวนอกหน้าต่าง แม้จะมืดแต่ก็พอเห็นและรู้สึกได้ว่าถนนที่วิ่งจากเมืองจิ่งหงไปต้าลี่เป็นเขาคดเคี้ยวไปมา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตลอด

ถนนหลายจุดเป็นสองเลนมีรถสวนกันตลอด ดูไปดูมารู้สึกสนุกและลุ้นตลอดทาง บางทีล้อของรถคันข้างหน้าหมิ่นเกือบตกถนนมาก รถเราเองก็คงไม่ต่างกันนัก แต่คงเพราะความชำนาญทางของคนขับ มันก็ไม่ยอมตกถนนเสียที!!!

“อ้วกกก..!”
มีเจ๊คนหนึ่งเมารถ..

“แหวะ….!”
ใครก็ไม่รู้มาอีกระลอก..

“ขากกกกกก.. อ้วววววก..”
อีเจ๊คนเดิม..

“@#$)!(#@J@Q!)FIQ”
เสียงไอ้เด็กนรกสองตัวยังโวยวายตีกันอยู่

ควันบุหรี่ลอยฟูฟ่อง เป็นระยะ…

..

.

ยานอนหลับไม่ช่วยอะไรกรูเลย.. T-T

..

.

จีน 101

จำไม่ได้ว่าทนดม ทนฟัง ไปนานแค่ไหนกว่าจะหลับ
แต่รู้ตัวอีกทีรถบัสจอด ผมจึงตื่น

มองออกไปฟ้ายังมืดมาก มีรสบัสหลายคนจอดเรียงข้างๆ

ได้ยินไอ้เฮียคนขับพูดอะไรสักอย่าง “@#!@ เช้อซัว @!#”
โอเค พอจับใจความได้ว่า จอดให้กรูเข้าห้องน้ำ (Cèsuǒ แปลว่า ห้องน้ำ)

ก้าวแรกที่ลงจากรถ แทบอยากกระโดดกลับ เพราะหนาวมากครับ

เริ่มมีกลิ่นเปรี้ยวๆ โชยมาแต่ไกล.. พวกเรารู้ทันทีว่านั่นคือห้องน้ำ
เหล่าคนจีนหลายคนรีบสาวเท้าลงจากรถเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
พวกเราก็เดินตามไปสำรวจพื้นที่ด้วย

ทางเข้าห้องน้ำเป็นช่องแคบๆ
พอเดินเข้าไปคล้ายๆจะมีทางเข้าสองฝั่ง
เขียนด้วยตัวอักษรจีนเพื่อบ่งบอกว่า คือ หญิง () ชาย (男)
(จริงๆ ผมจำได้แต่ตัวอักษรหญิง แค่อย่าไปเข้าทางนั้นก็พอ)

ก้าวแรกที่เดินเข้าไป กลิ่นแรงมากๆๆๆ
สิ่งที่ผมเห็นคือบ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน บนพื้นปูนยกสูง
หลังจากเจอตอนเย็นไปแล้ว บวกกับความมืด เลยพอทำใจได้

ผมก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นปูนปรัมพิธี
ไม่หันซ้ายและขวาเพราะรู้ว่าจะมีสิ่งใด
บรรจงมองลงไปที่ร่องกลางระหว่างขาตัวเอง
oh shit!!..
นี่มันไม่ใช่คำอุทานที่ตั้งใจจะเขียน
แต่มันเป็นขี้จริงๆ ขี้เต็มร่องเลยครับ!
ผมรู้ว่าร่องมันลึก แต่ขี้ก็พูนทะเนินสูงเกือบปริ่มร่อง
แล้วมันก็ทับถมยาวลงไปจนถึงรางด้านหน้า
คือผมไม่รู้ว่ามันทับถมกันมากี่วัน หรือกี่คน
รู้อย่างเดียวคือ พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองฉี่แรง
คือถ้าผมฉี่แรง เกรงว่าขี้มันจะกระเด็นติดรองเท้า


ห้องน้ำผู้หญิงที่พี่แอนถ่ายไว้

คือ หลายปีก่อนผมมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้กับครอบครัว ผ่านบริษัททัวร์
ทัวร์มันพาผมแวะห้องน้ำข้างทาง มันยังไม่น่าอนาถขนาดนี้

คือ จมูกก็ต้องกลั้นหายใจ แล้วฉี่ค่อยๆ
รีบทำธุระให้เสร็จ แล้วผมก็รีบเดินออกมา
สอบถามความรู้สึกของเพื่อนแต่ละคน
เหนือคำบรรยายทุกคนเลยครับ โดยเฉพาะผู้หญิง!

หลังจากบ่นกันเสร็จ เราเดินไปที่บ้านอีกหลัง
ที่นั่นเป็นร้านข้าวต้มที่ทางรถโดยสารเขาจัดไว้ให้เราทาน (เหมือนของไทยเลย)
แต่พวกเราเลือกที่จะไม่ทานครับ
เพราะดูจากสภาพจานและตะเกียบ
คงมีแววได้เข้าไปขี้ทับถมกันส้วมสถานีหน้าแน่ๆ

พวกเรา เดินไป เดินมาแถวหน้ารถ จนคนขับเปิดประตูและกวักมือเรียกให้ขึ้นไปได้

นั่งไปสักระยะ ก็เริ่มบรรเลงกันอีกรอบแล้วครับ
ทั้งบุหรี่ และอ้วก และดีหน่อย รอบนี้ไม่มีเสียงเด็ก มันคงหลับไปกันหมดแล้ว

วงจรเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งคืนการเดินทางของผม
เดี๋ยวก็ดูดบุหรี่ ดูดเสร็จนอน นอนเสร็จลุกมาอ้วก อ้วกแล้วดูดต่อ แล้วก็นอน…
ผมก็ทำได้แค่หลับๆ ตื่นๆ เพราะเพลียมากๆ
เริ่มชินและเริ่มทำใจยอมรับมัน

เอาเป็นว่า นี่แหละครับ original chinese

พวกผมมาถึงจีนแล้ว!

ไว้ตอนหน้า ผมจะเริ่มพาเข้าไปสู่ต้าลี่และลี่เจียงต่อไป
ตอนนี้ขอจบเท่านี้ครับ

บาย….

แชงกรีลา (Shangri-La) – ตอน 2 ออกลุย

หลังจากที่ใช้เวลา 5 เดือน เพื่อวางแผนเดินทางไปเที่ยวแชงกรีลา ตอนนั้นผมก็ได้เพื่อนๆ ผู้ร่วมชะตากรรมความมันส์ครั้งนี้อีก 5 คน

และแล้ว เมื่อเวลาพร้อม คนพร้อม เงินพร้อม ถึงเวลาลุย!! สู้ว๊อยยย!!!

เย็น วันที่ 2 ธันวาคม 2552

วางแผนไว้ว่าจะลางานตอนบ่าย 3 เพื่อไปแลกเงินที่ธนาคารใกล้บ้าน จากคำแนะนำของโดนัทเพื่อนผม มันบอกให้แลกเป็นหยวนบางส่วน แล้วนอกนั้นถือเงินดอลลาร์ไว้ทะยอยแลกไปเรื่อยๆ เมื่อหยวนหมด

ผมจึงลองคำนวณคร่าวๆ ว่าจะแลกเป็นหยวน 1,000RMB (5,000บาท, RMB ย่อจาก Renminbi เป็นค่าเงินของจีน) เพื่อให้พอไปถึงลี่เจียง และอีก 300$US (10,000บาท)

บังเอิญวันนั้นงานเข้าครับ ผมต้องแก้ Bug อะไรบางอย่างในโปรแกรม จึงทำให้ออกจากออฟฟิตตอน 5 โมงเย็น! พอมาถึง Big-C สะพานควาย ปรากฏว่าเงินหยวนและ $US เขาไม่มี Stock ไว้ (ต้องสั่งล่วงหน้า 1 อาทิตย์!) ทั้ง กสิกร, ไทยพาณิชย์, กรุงเทพ ไม่มีสักที่!

ตอนนั้นต่ายกำลังจะมาหาผม เพื่อ copy รูปที่ไปเที่ยวฮ่องกง ผมจึงโทรให้แลกธนาคารในเซ็นทรัลลาดพร้าวให้ ปรากฏว่าก็ไม่มีให้แลกเช่นกัน

โชคดีที่ผมโทรหาพี่ป๊อป และแกกำลังจะไปแลกเงินที่พารากอนผมจึงฝากแลกตามที่วางแผนไว้ แล้วรีบเดินกลับมาที่บ้านเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋าทันที! (โล่งอก..)


อุปกรณ์ที่เตรียมไว้ ผมมีเป้ใส่เสื้อผ้า 1 ใบ + ขาตั้งกล้อง, กระเป๋ากล้อง 1ใบ, กระเป๋าคาดเอว 1 ใบ

ใช่ครับ ณ เวลานั้น คือ 17.30 (รถทัวร์ออก 19.30 แต่ต้องไปรับตั๋ว 19.00) ผมยังไม่ได้จัดแจงเก็บกระเป๋าเดินทางเลย! รวมไปถึงยังไม่มีเงินหยวน, เงินดอลล่าร์ อีกด้วย! โครตจะพร้อมเดินทาง ฮ่าๆ

ผมทิ้งให้ต่ายนั่ง copy รูปฮ่องกง ส่วนผมก็รีบเก็บเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆ กลัวไม่หล่อครับ ผมยังอาบน้ำอีกต่างหาก! (ไอ้ต่ายบอกว่าจะตกรถอยู่แล้ว ยังจะอาบน้ำอีก)

กว่าจะเสร็จทุกอย่าง กินเวลาไปเกือบ 1ทุ่ม ผมจึงเลือกนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างจากสะพานควายไปหมอชิต เขาเรียก  20 บาท โครตตะลึง! ถูกกว่าที่คิดไว้เยอะ

ตอนนั้นใช้เวลา 10 นาที ถึงหมอชิตใหม่ รีบไปยืนยันตั๋วรถทัวร์ที่จองไว้กับสยามเฟิร์สทัวร์ (Siam First Tour) พี่ปูและพี่แอน มารอผมก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนโดมก็ตามมาสมทบทีหลัง, เนส เธอไปรออยู่ท่ารถตรงวัดเสมียนนารี และคนสุดท้ายที่เรารอคือ… พี่ป๊อป… ช้าสุดๆ (เผากันจะๆ)

พี่ป๊อปมาถึงก่อนเวลาแป๊บหนึ่ง จำได้ว่าเรามีเวลา 10 นาทีเพื่อรีบสาวเท้าไปให้ถึงชานชะลาขึ้นรถ และสุดท้ายรถมันได้ออกไปก่อนเรียบร้อยแล้ว…!!!

ยืนงงๆ.. ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป

ขณะที่กำลังอึนๆมึนๆ พนักงานตรวจตั๋วเดินมาบอกให้เราไปกับรถแม่สาย เพื่อต่อไปยังท่ารถของสยามเฟิร์ส เพราะรถของเรามันจะไปจอดรับคนที่นั่นด้วย ฟังแล้วรู้สึกโล่งอกกันเป็นแถบ พวกเรารีบขนกระเป๋าและขึ้นไปนั่งบนรถทันที

เริ่มต้นสนทนา ก็เฮฮาปาจิงโกะ เสล่อตกรถกันตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง 😛

เราไปถึงท่ารถของสยามเฟิร์ส เจอคุณเนสนั่งรออยู่บนรถเชียงของแล้ว เจ้าหน้าที่จึงให้ผมไปทำการขึ้นตั๋วและโหลดกระเป๋า (เรียกเหมือนเครื่องบินเลย)

โดยรถที่จองเป็นรถ VIP กรุงเทพ-เชียงของ และมันเป็นเก้าอี้นวดด้วย! ผมหวือหวากับเก้าอี้นวดกันมาก เพราะไม่เคยเจอเลย คือ พอกดปุ่มนวดปุ๊บ อารมณ์เหมือนไอ้คนเบาะหลังเอาเท้าถีบเรา แล้วลากขึ้นลากลง

ผมบอกให้ทุกคนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้เตรียมลุย สุดท้ายคนอื่นหลับหมด มีผมที่แหกตานั่งดูหนังต่อ ซึ่งหนังที่ฉายคือ Everest เป็นเรื่องของกลุ่มนักปีนเขาชาวแคนนาดาที่กำลังจะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส

นั่งดูจากกรุงเทพไปถึงนครสวรรค์ ลุ้นระทึก และโครตได้บรรยากาศผจญภัยสุดๆ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง รถกำลังขึ้นสะพานเดชาติวงศ์ที่นครสวรรค์พอดี ผมยอมรับว่า ณ เวลานั้นรู้สึกคิดถึงบ้าน และอยากเจอแม่กับอาม่า แต่ก็ไม่มีโอกาส..

วันที่ 3 ธันวาคม 2552 … เชียงของ (ไทย) – บ่อเต็น (ลาว)

ผมเป็นคนหลับยาก ต้องง่วงจริงๆ ถึงจะหลับ แต่นี่อารมณ์ตื่นเต้น แถมนอนบนรถอีกต่างหาก จึงทำให้หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน กว่าจะรู้สึกว่าได้หลับสนิท ก็ใกล้ถึงเชียงของแล้ว หันหลังกลับไปพบว่าผู้คนทั้งคันลงจากรถไปเกือบหมด พวกเขาคงลงตามรายทางแถวๆเชียงราย มีเพียงกลุ่มเราและคนอื่นๆ อีก 2-3 คน ที่ไปลงปลายทางเชียงของ

7.30น. พวกเราลงที่ท่ารถเชียงของ (คุ้นๆว่ามี 7-11 อยู่ตรงนั้น) และต่อรถสกายแล็ป (เป็นรถสามล้อที่ต่อพ่วงไว้โดยสารคนและของได้มากขึ้น) ไปที่ท่าเรือบั๊คริมน้ำโขง ซึ่งค่าโดยสารคันละ 20 บาท

ตอนนั้นด่านยังไม่เปิด พวกเราจึงมีเวลาไปล้างหน้าแปรงฟันที่สถานีบริการประชาชน ตรงชายแดน  อากาศตอนนั้นเย็นๆ และน้ำก็เย็นมากเช่นกัน

พี่ป๊อปตะโกนเรียกให้เราไปที่ด่านเพื่อเขียนใบขออนุญาติเข้า-ออกเมือง ซึ่งนอกจากพวกเรา ก็มีฝรั่งอีกกลุ่มและคนไทยอีกกลุ่ม กำลังจะข้ามฝั่งไปลาวเช่นกัน

หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย พวกเราจึงลงไปที่ท่าเรือบั๊คที่อยู่ถัดไป เสียค่าเรือข้ามฝั่งโขงคนละ 40 บาท (ข้อมูลที่เราหาได้บางแห่ง บอกว่าค่าเรือ 30 บาท แต่มีค่าวางกระเป๋าอีก 10 บาท)

แม่น้ำโขงยามเช้าสวยมากครับ แสงอาทิตย์ส่องแสงเป็นลำ สีเหลืองทองอร่ามไปทั่วคุ้งน้ำโขง พร้อมไอหมอกที่ระเหยจางๆ เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายไว้ เนื่องจากมัวแต่ชื่นชมบรรยากาศ และปล่อยให้คนอื่นบันทึกภาพ

8.20 เราถึงด่านห้วยทรายฝั่งลาว และขณะที่กำลังเขียนเอกสารขอเข้าเมือง ก็มีรถตู้มาสอบถามว่าเราจะไปไหน พร้อมเสนอราคาให้ (ภาษาไทย) เราเลยบอกว่า “จะไปบ่อเต็น 6 คน ถ้าเหมาเท่าไร” (บ่อเต็นคือด่านลาว แขวงหลวงน้ำทา ที่ติดกับด่านโมฮั่น มณฑลยูนนานของจีน) เขาบอกราคามาว่า 3,000บาท (ซึ่งเราหาข้อมูลได้ว่า ค่ารถจะได้ราคาประมาณคนละ 600-700บาท แต่ถ้าได้ 500 ถือว่าถูกแล้ว) เราจึงตอบตกลงทันที

แต่พอถามอีกครั้งกลับบอกเราว่า ขอเป็น 3,500บาท ก็แล้วกัน จะออกรถให้เลย และไม่รับกลางทาง ซึ่งกลับคำพูดกันชัดๆ! พวกเราจึงลังเลจะไปหาเจ้าอื่นแทน แต่โชคดีที่เจอพี่คนหนึ่ง จริงๆเราได้คุยกับเขาตั้งแต่ตอนกรอกใบขอเข้าเมืองแล้ว เขาก็จะไปบ่อเต็นเช่นกัน พี่เขาบอกว่าถ้าเช่นนั้นพี่เขาขอไปกับเราด้วย เป็น 7 คน ก็จะตกคนละ 500 บาท เหมือนเดิม แต่ต้องไม่รับใคร และออกรถทันที

ผมไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่ด้วยความที่เพิ่งเจอกัน ผมเลยตั้งป้อมไม่ค่อยไว้ใจไว้ก่อน แต่คนแถวนั้นเรียกแกว่าเสี่ย และดูท่าทางแกเดินทางแถวนี้บ่อย พูดคุยกับคนขับรถ รู้จักชื่อคนขับหลายๆ คนในระแวกนั้น

09.00 ล้อหมุน ซึ่งรถที่นั่งไปเป็นรถตู้ Comuter ติดแอร์ เบาะใหญ่ 3 แถว และดูใหม่ๆ ถือว่าสบายดีเลยทีเดียว

ระหว่างทางที่นั่งรถไป พวกเราได้สนทนากับพี่คนแปลกหน้า จนรู้มาว่าพี่แกชื่อพี่วิโรจน์มีร้านอาหารไทยอยู่บ่อเต็น ต้องเดินทางไปมาเพื่อทำเอกสารและเอาวัตถุดิบบ่อยๆ พี่แกเลยเล่าเรื่องของประเทศลาวให้ฟังตลอดการเดินทาง

เส้นทางของลาวเป็นทางลาดยางคดเคี้ยวเลาะตามภูเขาไปมา และมีหลุม มีบ่อ ตลอดเส้นทาง โชคดีที่คนขับไม่เมามันส์มากนัก ขับไปสบายๆ แต่ก็ทำให้พี่ปูต้องเมารถและนั่งซมไปพักใหญ่ๆ

13.00 เราใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง จากด่านไทย-ลาว มาถึง ด่านลาว-จีน ซึ่งเราต้องไปส่งพี่วิโรจน์ที่ร้านอาหารก่อน และเพื่อขอบคุณพี่วิโรจน์ที่มาด้วยกันและแก้ปัญหาปากท้องเรา เราจึงแวะกินข้าวที่ร้านพี่แกเสียเลย (ตอนนี้เราทำเวลาได้ดี มาแบบสบายๆ และถึงเป้าหมายก่อนเวลาที่กำหนด 14:00 โครตเก่งเลย อิอิ)

ประเดิมมื้อแรกในต่างแดน เป็นข้าวผัดหมูจานโต พร้อมน้ำต้มผักชามใหญ่ๆ ใหญ่ขนาดที่พวกเราแอบหวั่นใจในราคาเล็กน้อย กินกันทั้งหมดข้าว 6 จาน และซุป 2 ชาม คิดเงินมื้อนั้น จ่ายไปคนละ 15หยวน (75บาท)

14.00 เราถามจากพี่วิโรจน์และขอให้พี่คนขับรถตู้พาเราไปที่ธนาคารลาว เพื่อขอแลกเงินเพิ่ม เนื่องจากพี่ป๊อปแลกเงินมาให้ผมแค่ 200$US ผมจึงต้องใช้เงินไทยแลกจากที่นี่เป็นหยวนให้หมด เนื่องจากถ้าข้ามไปฝั่งจีนแล้วจะหาแลกเงินไทยเป็นหยวนได้ยาก

รถตู้พาเราไป ธนาคารพัฒนาลาว แกไม่คิดอะไรมากครับ แกบอกว่า 5บาท = 1หยวน เศษสตางค์ไม่มีคิด ผมเลยแลกไปทั้งหมด 2,000RMB (10,000 บาท)

พี่รถตู้ขับพาเรามาส่งถึงด่านบ่อเต็น ให้พวกเราทำเรื่องขอออกจากลาว ซึ่งคนจีนก่อนหน้าผม โดนเก็บไป 20 หยวน ผมโดนไป 20 บาท แต่เนสหรือบางคนเขาไม่ได้เก็บเงิน ตรงนี้ก็เลยงงๆ อาจจะเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชามากกว่าจะเป็นค่าข้ามด่านปกติ

จากนั้นพี่รถตู้ยังแฮปปี้ใจดีอีกครับ พาเราไปจนถึงเขตชายแดนลาวเลยทีเดียว เพราะถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราต้องเดินอีกพอสมควร เราจึงอำลาอาลัยพี่แกพร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ด่านที่อยู่เบื้องหน้าพวกเรา เป็นด่านโมฮั่น มณฑลยูนนานของจีน ใหญ่โตอลังการ เมื่อเทียบกับไทยและลาว สมกับความเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่แบบจีนจริงๆ

ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะข้ามฝั่งจากลาวไปจีน นี่คือด่านโมฮั่น

บ่อเต็น (ลาว) – จิ่งหง (จีน)

14.20 พวกเราเข้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจีน ระหว่างรอคิว มีทหารจีนมาถามเราว่า “Where You Come From” เราจึงบอกว่า “Bangkok Thailand” และเขาก็ยิ้มๆ เดินจากไป

14.40 ทุกคนทำเรื่องผ่านเข้าด่านเสร็จ เดินออกมาตรงประตูทางออก…

ซึ่งตอนนี้ พวกเราเริ่มเข้าสู่โลกแห่งการคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วครับ!!..

เจ๊ที่ยืนรอรับแลกเงินหลายคน พร้อมอาเฮียคนขับรถ กรูเข้ามาหาพวกเรา

เจ๊ “@!)$!@**@@!#)_*#@..”
ผม “เอ่อ…”
เจ๊ “#$!@!#(*)@!#!#)_*##@$#@@…”
ผม “อ่าา…”
เฮีย “#@%#_@)()#@$*@!(*$!@%*(&…”
ผม “ทิง ปู้ ต่ง อ่า..” (กรูฟังไม่ออก!)
เจ๊และเฮีย “#$@#@!#%%#@$@#@#@!$@!$@#@!#…”
ผม “ทิง ปู้ ต่ง, ทิง ปู้ ต่ง, ทิง ปู้ ต่ง..”

พอโดนตีมึนสักพัก ทั้งผมและพี่แอนจึงเริ่มตั้งสติได้ว่ากรูก็เคยเรียนภาษาจีนมา

“หว่อ เมิน เสี่ยง ชวี่ เมิ่ง ลา” (พวกเราอยากไปเมิ่งลา)
เฮีย “#$@#@!#%%#@$@#@#@!$@!$@#@!#…”

แล้วเฮียแกก็ให้เราเดินตามไปขึ้นรถบัส เราเดินตามไปแต่ก็ยังยืนด้อมๆ มองๆ ว่าเมิงจะพากรูไปไหนวะ

“#$@#@!#%%#@$@#@#@!$@!$@#@!#.. ชวี่ เมิ่ง ลา…”

พอเริ่มจับ main idea ของเฮียแกได้ว่า “พวกเมิงจะไปเมิ่งลาใช่ไม๊ ขึ้นรถกรูสิ”
ผมเลยถามกลับไปว่า “ตั้ว เส่า เฉียน” (เป็นเงินเท่าไร)
เจ๊ที่เป็นคนเก็บเงินบอก “ไคว้ เฉียน” (2 หยวน)
ผมบอก “อี เก้อ ไคว้ เฉียน?” (1คน 2หยวน?)
เจ๊พยักหน้าๆ พร้อมพูดจีนอะไรอีกไม่รู้นิดหน่อย

แต่ก็เอาวะ คงพาเราไปเมิ่งลา เพราะถ้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ มีหวังตกรถแน่ๆ เราจึงกระโดดขึ้นรถทันที ทั้งเจ๊และเฮียและคนจีนที่นั่งอยู่บนรถก็ขำๆ พูดโช้งเช้งๆ อะไรกันก็ไม่รู้

14.50 อาเฮียคนขับพาพวกเรามาถึง Mo Han Bus Station ซึ่งด้านในมีรถตู้เก่าๆ จอดเรียงรายอยู่สามสี่คัน ทันใดนั้นมีเจ๊อีกคนกวักมือเรียกพร้อมพูดภาษาจีน เดาว่าให้เข้าไปที่ซุ้มหลังเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ขายตั๋ว

เจ๊แกพูดภาษาไทยได้บางคำ จึงพอเข้าใจได้บ้าง พวกเราจึงบอกว่า เราจะไปเมิงลา เจ๊แกเลยออกตั๋วให้ 6 ใบ ค่าโดยสารคนละ 17หยวน ซึ่งข้อมูลที่หาได้ บอกว่า 15หยวน เราเห็นว่าไม่ต่างกันมาก จึงตกลงและขนของไปขึ้นรถ


อาเฮียที่เราคิดว่าเป็นคนจีนที่นั่งข้างเนส เรามารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคนไทย และใจดีมากๆ

สภาพรถตู้ที่ได้นั่ง เป็นรถคันเก่าๆ 4 แถว เบาะยุ่ยๆ โนแอร์ แต่เมนี่หน้าต่าง ไว้เปิดรับอากาศภายนอกแบบสะใจ

15.00 (ในจีนตอนนั้น 16.00) เริ่มออกเดินทาง โดยมีกลุ่มเรา 6 คน และคนจีนสามคน แต่ระหว่างทาง ก็จอดแวะรับ และมีคนโบกในช่วงแรกๆ จนเต็มคัน

ในการเดินทาง บนถนนใหญ่ที่เราพบคือ จะมีด่านเก็บเงินอยู่เป็นช่วงๆ ดังนั้นรถตู้ที่ผมนั่งและหลายๆคัน จะวิ่งอ้อมเส้นทางหลัก ไปใช้เส้นทางในทุ่งนา หมู่บ้าน จริงๆ แล้ว ผมไม่รู้ว่าอ้อมหรือเปล่า แต่คิดว่าไม่น่าจะอ้อม เพราะเส้นทางตรงไปเรื่อยๆ ไม่ได้คัดเคี้ยว หรือลงลึกเข้าไปในป่าอะไร

ระหว่างที่นั่งรถ เราได้เห็นหมู่บ้าน ทุ่งนา ไร่ สวน ของชาวจีน กอปรกับมีลมเย็นๆ คอยพัดเข้ามาทางหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา พวกเราชิวๆ และรู้สึกดี จึงคุยกันเฮฮาไปตลอดทาง

ตอนเราเริ่มสนทนากัน เฮียที่นั่งข้างๆ เนส แกทักขึ้นมาว่า “เป็นคนไทยหรอ จะไปไหนกัน” เราดีใจมากและบอกว่า “จะไปจิ่งหง” เฮียแกก็บอกว่าจะไปเหมือนกัน จากนั้นก็คุยกันตลอดทาง ซึ่งเฮียแกเพิ่งกลับไปทำเอกสารเดินทางที่ไทย แล้วคนข้างๆเฮียอีกคนเป็นเพื่อนชาวจีนที่มารับ

หลังจากวิ่งพ้นช่วงถนนที่มีด่านเก็บเงิน เราก็ได้วิ่งบนถนนสายหลัก ซึ่งสองข้างทางเป็นภูเขา ต้นไม้ ไร่ สวนขั้นบันไดตามไหล่เขา ซึ่งผมสังเกตว่าน่าจะเป็นต้นยางพารา เนื่องจากเห็นต้นคล้ายๆต้นยางที่ไทย และมีรอยกรีดสีขาวๆ จีนคงกำลังพยายามจะปลูกยางพาราให้ได้มากๆ แทนการนำเข้าจากไทยหรือประเทศอื่นๆ เป็นแน่

17.00 (จะใช้เวลาที่จีนตั้งแต่นี้ไป) เราใช้เวลา 2 ชั่วโมง จาก โมฮั่นถึงเมิ่งลา ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงกลุ่มเรา 6 คน และอาเฮีย 2 คน คนขับรถหันกลับมาคุยอะไรสักอย่างกับอาเฮีย เฮียแกเลยบอกเราว่า พวกเราจะไปจิ่งหงต่อ คนขับเขาเลยติดต่อรถเพื่อนเขาไว้ให้ จ่ายคนละ 40หยวน พวกเราก็เลยตกลงไปกันต่อ

หลังจากเปลี่ยนรถเพื่อจะไปจิ่งหง (สภาพรถไม่ต่างจากเดิม) รถพาเราแวะปั๊มเติมน้ำมัน เราจึงขอคำแนะนำจากเฮียเพื่อซื้อน้ำดื่ม เฮียแกแนะนำว่าให้ลองดื่มน้ำชายี่ห้อหนึ่ง กระป๋องแดงๆ แกบอกว่าอร่อยดี แกดื่มประจำ เราบางคนเลยลองซื้อมาดื่ม (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 1กระป๋อง/5หยวน) ส่วนผมซื้อโค๊ก (1ขวด/3หยวน)

เท่าที่ลองดื่มเจ้ากระป๋องแดง รสชาติคล้ายๆ ชาจีนผสมเก็กฮวย (และพบว่ามันดังมาก มีขายทุกที่ที่ผมไป), ส่วนโค๊ก รู้สึกได้เลยว่าจืดกว่าไทยนิดหน่อย

เส้นทางที่วิ่งจากเมิ่งลาไปจิ่งหงเริ่มมีภูเขามากขึ้น แต่รัฐบาลจีนไม่ได้ทำแบบลาวที่ตัดถนนเลาะตามภูเขาให้น่าอ้วกแตก แต่รัฐบาลจีนเล่นเจาะภูเขาทำอุโมงค์กันเป็นกิโลฯ บ้างก็สร้างสะพานข้ามภูเขากันเลยทีเดียว ดังนั้น ตลอดเส้นทาง เราจะวิ่งบนสะพานสลับกับอุโมงค์อยู่บ่อยๆ วิวทิวทัศน์ข้างทางสวยงาม พร้อมอากาศที่เย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแสงอาทิตย์ที่น้อยลงริบหรี่ๆ


รัฐบาลจีนสร้างสะพานข้ามภูเขาและเจาะอุโมงค์ ดังนั้นเส้นทางถนนของจีนจึงราบเรียบ ไม่คดเคี้ยวไปมาเพื่ออ้อมภูเขาแบบที่ลาวหรือไทยทำ


สองข้างทางระหว่างที่ไปเมิ่งลาและไปจิ่งหง จะมีวิวสวยๆ ที่เริ่มไม่มีในเมืองไทยให้ได้ชมตลอดทาง
กอปรกับลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างตลอด ผมจึงรู้สึกสดชื่นและมีความสุขมาก

ระหว่างนั่งรถ ผมเปิดหนังสือ Lonely Planet เช็คตารางเวลาเที่ยวรถ ซึ่งมี จิ่งหง-ต้าลี่ เที่ยวสุดท้ายตอน 19.30 (จริงๆ ในตอนที่หนึ่งเป็นแผนการที่ยังไม่อัพเดท ซึ่งเป็นแผนที่พวกเราต้องวิ่งจากจิ่งหงไปคุนหมิง แต่ก่อนเดินทางสองอาทิตย์เราได้เปลี่ยนแผนวิ่งยาวไปต้าลี่เลย ไว้ผมจะลงแผนการอัพเดทอีกครั้งในตอนสุดท้าย)

ล่องลอยที่จิ่งหง (เชียงรุ้ง,สิบสองปันนา,ซื่อฉวงปานนา)

19.00 อีก 10 กิโลจะเข้าถึงจิ่งหง อาเฮียถามว่าเราจะไปที่ไหน เราจึงบอกว่าจะไปนั่งรถนอนเพื่อไปต้าลี่ เฮียแกบอกว่าที่จิ่งหง มีสถานีรถ 2 แห่ง ไปที่ไหน

หันหน้ามองกันเลิกลั่ก งงสิครับ! เพราะไม่ได้เตรียมการว่าจะไปสถานีรถชื่ออะไร เราจึงบอกเฮียแกไปว่าเราไม่รู้

เฮียแกเลยถามคนขับและถามเพื่อนแก แต่ก็ไม่ได้ความ คราวนี้ทั้งเฮียและเพื่อนแกโทรไปหาใครบ้างก็ไม่รู้อยู่หลายนาที สุดท้ายได้ความว่า ต้องไปที่สถานีรถโดยสารทางใต้ของเมืองจิ่งหง แล้วแกก็โทรเช็คที่สถานีให้เรา ซึ่งได้คำตอบว่า “รถเต็มแล้ว…” เฮียแกเลยแนะนำให้เดินทางพรุ่งนี้ แต่พวกเราก็ขอที่จะลองไปเช็คอีกครั้งที่ท่ารถก่อน

19.30 เราไปถึงสถานีรถบัสตอนใต้ของจิ่งหง พวกเราขอบคุณและแยกทางกับเฮียแกตรงนั้น จ่ายเงินค่ารถตู้ไปคนละ 50หยวน (ตอนแรกตกลงไว้ 40หยวน แต่ตอนจ่ายเงินไปแล้ว คนขับไม่ทอนครับ ขับรถออกไปเลย) พวกเรารีบไปในสถานีเพื่อเช็คเวลารถออก

เนสเป็นคนอาสาไปเช็คให้ เธอพูดจีนไม่เป็น และพกหนังสือ Lonely Planet ไปด้วย พวกเรายืนรอแป๊บนึงและเดินตามเข้าไป เนสบอกว่ารถเพิ่งเต็มและออกไปเมื่อสักครู่นี้


พนักงานที่สถานีพูดจีนไม่ได้ ป้ายเที่ยวรถและป้ายบอกทางต่างๆจะเป็นภาษาจีนหมด ดังนั้น เราต้องเปิดหนังสือเพื่อเทียบตัวอักษรจีนกันตลอด

เราตกรถอีกแล้วครับ! เป็นรอบที่สอง 😛

สรุป เราเลยต้องนอนค้างที่จิ่งหง 1 คืน และได้จองตั๋วรถนอนจากจิ่งหง-ต้าลี่ รอบ 17.00 ของวันรุ่งขึ้น ไว้ล่วงหน้าเลย ป้องกันผิดพลาดอีก ค่ารถจ่ายไปคนละ 195หยวน

ณ ตอนนั้นเหนื่อยกันมาก เราจึงพักโรงแรมที่อยู่ในสถานีรถนั่นเอง สภาพห้องพอไหว เปิดห้อง 3 เตียงไว้ 2 ห้อง เขาคิดห้องละ 120หยวน (คนละ 40หยวน)


เหนื่อยกันมาก จึงเลือกพักที่โรงแรมของสถานีจิ่งหง

ซึ่งในคนที่มาติดต่อเราเป็นผู้ชายตัวใหญ่ แกคึกมา เดินขึ้นเดินลงพาผมกับพี่แอนไปดูห้องจนหอบเลยทีเดียว เพราะตอนแรกเราไม่ชอบที่ตึกแรก มันมีกลิ่นอับๆ จึงขอไปดูที่ตึกสองด้านใน สรุปได้นอนห้องบนดาดฟ้า ภายในดูดี ห้องก็โอเค อยู่ได้ครับ แต่ภายนอกดูน่ากลัวๆ เพราะมีเพียง 2 ห้องของผม และห้องของ รปภ. (จริงๆ ก็คือผู้ชายที่พาเรามาดูห้องนั่นเอง) อยู่บนนั้น


โรงแรมที่พักของสถานีจิ่งหง ห้องประมาณ 2-3 ดาว ถือว่าใช้นอนพักสบายๆ ได้ (มีถุงยางแถมมาอีกต่างหาก)

จัดแจงเก็บของไว้ในห้องเสร็จ พวกเราจึงออกไปหามื้อเย็นกินกัน ก่อนไปพี่แอนขอให้ รปภ. พาไปซื้อ SIM มือถือ กว่าจะเข้าใจว่าอยากได้ SIM ใส่มือถือ เล่นเอางงอยู่พักใหญ่ๆ

รปภ. พาเดินไปที่ร้านโชว์ห่วยข้างโรงแรม

“#@QR%#@EW#R#@^#@^#$EFRR#KI)(F#…”
“S:AKDF#TI_@QKF#)IRF…”
“@%!)#%*#F#MFD@)(ID@!…”


กำลังหาซื้อ SIM มือถือ

ยืนคุยกันอยู่นานเลยหละครับ เพราะงงกับ SIM ของที่นั่นมาก พี่แอนแกรู้ภาษาจีนเยอะพอสมควรครับ เลยพอจับใจความได้ว่า มันมีทั้งโทรได้เฉพาะมณฑล โทรได้ทั่วประเทศ แบบนี้โทรออกนอกประเทศไม่ได้ แบบนี้โทรออกได้ แต่ใช้ได้เฉพาะมณฑลนี้ ถ้าข้ามไปอีกมณฑลจะต้องใช้อีกรหัสหนึ่ง บลาบลาบลา… อะไรก็ไม่รู้.. ส่วนผมยืนดูดโค๊ก มองหญิงจีนไปพลางๆ..

สรุปว่า พี่แอนซื้อมาได้ 1 SIM แต่ลองใส่แล้ว โทรกลับเมืองไทยไม่ได้ ใช้ได้แค่ที่จีนเท่านั้น

นาย รปภ. ชี้ให้เราไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามของโรงแรม เราเลยเดินข้ามฝั่งเจอร้านอาหารจีน 2-3 ร้าน และเจอร้านอารมณ์ส้มตำแบบไทยด้วย คนจีนนั่งเต็มเลย บนโต๊ะมีหม้อดิน มีปลาเผาเกลือมีผัดผัก มีอะไรก็ไม่รู้ ที่ภาพรวมดูแล้วคล้ายๆไทย พวกเราจึงเลือกที่ไปนั่งร้านอาหารจีนข้างๆ ดีกว่า อยากลองของใหม่

เราเลือกร้านที่มีรูปภาพแปะข้างฝา ซึ่งเจ๊ในร้านก็มาแพ่มภาษาจีนใส่เรา พร้อมส่งเมนูให้ 1 แผ่น ภาษาจีนล้วนๆ ไม่มีซับอิ๊ง T-T

เราหันกลับไปมองฝาผนังแกอีกครั้งเพื่อดูรูป สั่งต้มผักมา 1 ชาม แล้วก็จนมุมแบบเดิมเพราะรูปมีน้อย และบางรูปเราก็คิดว่าคงไม่ถูกปากเรา ต้องก้มหน้าก้มตากลับมามองเมนูที่ตัวเองอ่านไม่ออกอีกครั้ง

จู่ๆ พี่แอนพูดขึ้นมาว่า “เฉ่า ช่าย,เฉ่า ช่าย” (ผัดผัก)
เจ๊แกตอบ “S:AKDF#TI_@QKF#)IRF…”
พวกเราจึงทำหน้างงๆ


ความลำบากอีกอย่างหนึ่งนอกจากการเดินทาง คือ การสั่งอาหารครับ เมนูเป็นภาษาจีนหมด เจ้าของร้านก็พูดแต่จีน

เจ๊จึงตัดสินใจพาผมกับพี่แอนเดินเข้าไปในครัว ชี้ว่าพวกเมิงจะกินอะไร เราเลยชี้ไปที่ผักอะไรสักอย่าง คล้ายๆคะน้า แล้วเจ๊แกก็แนะนำมะเขือเทศให้เรา (มันดูไม่เกี่ยวกันเลยว่ะ)

ผมหยิบมือถือมาเปิด Dict ภาษาจีน แล้วบอกเจ๊ไปว่า “จูโร่ว, จีโร่ว” (หมู,ไก่) เจ๊แกก็พาไปที่ตู้แช่แข็งแล้วชี้ยืนยันว่าจะกินหมูกับไก่ใช่ไหม ผมตอบ “ตุ้ย ตุ้ย..” (ถูกๆ) เจ๊แกก็พยักหน้าเออ ออ แล้วก็ไม่ได้ถามอะไร ไอ้เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยเดินกลับโต๊ะ สรุปก็ไม่รู้เจ๊แกจะทำอะไรมาให้กิน

ผมนึกขึ้นได้ว่าจะให้ออกบิลให้ เพื่อเราจะได้รู้ราคาต่อจาน เดินไปทำไม้ทำมือว่าเขียนๆ แล้วพูดว่า “บิลลิ่งๆ” เจ๊แกก็พยักหน้า และบรรจงเขียนภาษาจีนพร้อมราคา ปิดท้ายด้วยผลรวมให้เสร็จสรรพ มื้อนั้น 6 คน 90หยวน

อาหารทะยอยเสริฟ มีผัดผัก 2 จาน , ผัดหมู 1 (อร่อยมาก เลยเบิ้ลอีกจาน), ผัดไก่ 1, ต้มไก่ 1 (ชามใหญ่อีกเช่นเดิม) และข้าวสวย (ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าข้าวเติมได้ไม่อั้น) ส่วนเครื่องดื่มเป็นชาจีนร้อน เติมไม่อั้นอีกเช่นกัน


จริงๆ สั่งมา 4 อย่าง แต่มีเบิ้ลผัดหมูอีก 1

มื้อนี้เป็นมื้อแรกของจีนและมื้อแรกที่เราสั่งเอง มาแบบอลังการมากๆ อิ่มมากๆด้วย รสชาติก็ใช้ได้ ไม่จืดและไม่มันมาก อาจจะเป็นเพราะใกล้ๆ ไทย รสชาติเลยยังไม่แตกต่างมาก (ผัดมะเขือเทศอร่อยมาก)

กินเสร็จ เดินกลับไปที่โรงแรมอีกครั้ง ผมแวะซื้อโค๊กดื่มอีกรอบ ซึ่งผมดื่มโค๊กแทบตลอดทริปเลยครับ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน เหมือนไม่ค่อยอยากดื่มน้ำเปล่าเท่าไร

พูดถึงเครื่องดื่มทั่วๆไปในจีน เป็ปซี่ที่จีนหาไม่ค่อยได้ จะมีก็เป็นโค๊กและน้ำดื่มในเครือของโค๊ก มีเครื่องดื่มไทยที่ไปทำตลาดด้วยนะครับ ซึ่งที่เห็นจะมีกาแฟเบอร์ดี้และกระทิงแดง (ทั้งคู่สกรีนกระป๋องมีภาษาไทยแบบที่ไทยเป๊ะ) คนจีนรู้จักดี เขายังชี้ที่กระทิงแดงและทักเราเลยว่า “ไท่กั๋วๆ” (ประเทศไทย) ส่วนน้ำเปล่าของจีนขวดเล็กราคา 1.5หยวน ชื่อยี่ห้อก็กวนตรีนใช่เล่น ชื่อ “วะฮ่าฮ่า” (Wahaha)

ขึ้นมาที่ห้อง เราจัดแจงนัดคุยกันอีกครั้ง เพื่อวางแผนใหม่ (อีกแล้ว) เนื่องจากเราตกรถวันนี้ ทำให้แผนเราเคลื่อนหมด ซึ่งถ้ายึดตามแผนเดิม พี่ป๊อปและเนสก็จะตกเครื่องบินที่เวียดนามแน่นอน (ทั้งคู่กลับไทยก่อนคนอื่น 1 วัน คือ วันเสาร์)

เมื่อทุกอย่างคลาดเคลื่อนไปหมด พวกเราจึงต้องมาวางแผนเดินทางใหม่อีกครั้ง

การเดินทางต่างๆในทริปของเรามีข้อแม้เยอะครับ รวมไปถึงเวลาเดินทางที่เรากำหนดมาแบบเป๊ะๆ จนเกินไป และเวลาที่คาดเคลื่อน 1 ชั่วโมงระหว่างไทยกับจีนก็ทำให้เราชะล่าใจ จึงทำให้คืนนี้ดูเป็นคืนที่เหมือนจะวุ่นวาย แต่เชื่อไหมครับ เพราะคืนนี้เอง ที่ทำให้พวกผมได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ก่อนจะเจอความลำบากในคืนวันรุ่งขึ้น..

ที่ผ่านมา ยังเรียกว่าเฉียดๆจีน แต่ตอนหน้าพวกผมถึงจีนแบบเต็มๆ เรียกได้ว่า China 101 เลยทีเดียว ลองติดตามกันดูครับ

แชงกรีลา (Shangri-La) – ตอน 1 เริ่มต้นวาดฝัน

พฤษภาคม 2552

ช่วงที่ร้อนที่สุดช่วงหนึ่งของไทย ระหว่างทางกลับจากที่ทำงาน ผมแวะแผงหนังสือใกล้ๆ บ้านพัก และซื้อ National Grographic (NG) ฉบับเดือนพฤษภาคม ติดกลับมือมาด้วย ซึ่งเป็นนิตยสารประจำเดือน 1 ใน 2-3 เล่มที่ผมซื้อประจำ

ngthai_may2009

ใน NG ปกติผมชอบอ่านเรื่องของประวัติศาสตร์ สังคม ดาราศาตร์ และวิทยาศาสตร์ ไล่ตามลำดับความสนใจ จึงทำให้ผมเปิดผ่านๆ เรื่องที่ขึ้นปกของฉบับนั้นไป (นั่นคือ ทารกแช่แข็ง การปลุกชีพแมมมอท) ไปเจออยู่คอลัมน์หนึ่ง คือ ตามหาแชงกรีลา

แชงกรีลา (Shangri-La) ชื่อนี้ผมเคยได้ยิน ผมพอจะรู้ว่ามันคือภาษาธิเบต ที่แปลทำนองว่า ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์

แต่ผมไม่รู้ว่านี่คือชื่อเมืองๆ หนึ่งของจีน และผมก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน รู้เพียงจากภาพที่เห็นใน NG ว่า เหมือนธิเบต และ อะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้สวยงามมากนัก (เนื่องจากภาพแชงกรีลาใน NGถูกถ่ายทอดออกมาในมุมมองของสารคดี ไม่ใช่สถานที่เที่ยว)

ngthai_may2009-1

ใน NG เขียนถึง แชงกรีลา ว่า เป็นคำที่ฟังแล้วเหมือนภาพสะท้อนของนครศัมภาลา (Shambhala) หรือสรวงสวรรค์บนดินแดนตามคติพุทธศาสนาแบบธิเบต ซึ่งในคัมภีร์ในพุทธศาสนาบรรยายไว้ว่านครศัมภาลาตั้งอยู่ ณเชิงเขาผลึก เหนือเทือกเขาหิมาลัยขึ้นไป ผ้คนปลอดพ้นจากความฉ้อฉลและโลภโมโทสันของโลกภายนอก..

ซึ่งตามตำนานอันยิ่งใหญ่แบบนี้เอง ประกอบกับข้อมูลงานสำรวจใน NG ช่วงปี 1922-1935 ของ โจเซฟ ร็อก (Joseph Rock) นักพฤกษศาสตร์ชาวตะวันตกที่เข้าไปใช้ชีวิตในลี่เจียง (Lijiang) จึงทำให้มีเกิดพลังดึงดูดมหาศาลต่อ เจมส์ ฮิลตัน (James Hilton) นักเขียนชาวอังกฤษ และต่อมาเขาได้วาดฝันงานหนังสือนวนิยายขึ้นมาเล่มหนึ่งในปี 1933 ที่ชื่อว่า “Lost Horizon” และถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า “ลับฟ้าปลายฝัน”

lost_horizon_book

NG บอกต่อว่า แชงกรีลา (Shangri-La) ต่างจากสถานที่อื่นๆ ในตำนาน เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริงกระทั้งถึงปัจจุบัน! แต่ชื่อมันถูกนำไปเป็นชื่อเมืองแห่งหนึ่งในดินแดนของธิเบต ในนวนิยายของนาย เจมส์ ฮิลตัน ครั้งแรก แล้วบังเอิญว่านวนิยายเล่มนี้โด่งดังไปทั่วโลกครับ..

โด่งดัง ขนาดที่ว่ามีผู้คนมากมายตามหาแชงกรีลา (Shangri-La) จริงๆ ตามสถานที่ที่ถูกระบุไว้ในนิยาย จนมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหัวใสหลายเมืองในมณฑลยูนนาน (Yunnan) และเสฉวน (Sichuan) ของจีน (China) แก่งแย่งชื่อแชงกรีลานี้เพื่อขออนุญาติจากทางการจีนเพื่อเปลี่ยนชื่อเมืองและเทศมณฑลใหม่

และ เมืองที่กลายเป็นแชงกรีลา ก็คือเมือง “จงเตี้ยน” (中甸县 Zhōngdiàn) ซึ่งอยู่บนความสูง 3,160 เมตร และมีภูมิประเทศที่สุดตระการตาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะเป็นเส้นทางผ่านของ 3 สาย คือ แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำแยงซี ไหลกัดเซาะไปตามซอกเขา ก่อให้เกิดโกรกธารลุ่มลึกของแม่น้ำ ตัดผ่านภูมิประเทศอังสูงชันและตัดกับเทือกเขาตั้งสูงตระหง่าน เกิดแตกต่างของระดับแม่น้ำ พื้นดิน ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ และธรรมชาติอย่างสูง จนองค์การสหประชาชาติได้รับรองแม่น้ำเหล่านี้ให้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย ในชื่อว่า เขตสามแม่น้ำไหลเคียง หรือ Three Parallel Rivers World Heritage site

จำได้ว่า คืนนั้นผมอ่านด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่ต้นจนจบ และรำพึงรำพรรณตามประสาคนทั่วไปกับตัวเอง ว่า “อยากไปจัง” พร้อมกับข่มตาหลับ เพื่อให้พร้อมทำงานในวันรุ่งขึ้น..

กรกฎาคม 2552

กลับจากเที่ยวนครนายก ผมได้นัดพบกันเพื่อน เพื่อแลกภาพถ่ายที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ระหว่างที่รอการพบเจอ ผมแวะร้านขายหนังสือเพื่อเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย..

“เฮ่ย!.. แชงกรีลา!”

ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย และรีบหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา

“ลัดทุ่งหญ้า ฝ่าทุ่งน้ำแข็ง ตะลุยแชงกรี-ลา” โดย คุณ สมพร ขจรสุวรรณ์

book_shangrila_thai

เป็นหนังสือที่เขียนบันทึกการเดินทางหลังเรียนจบของคุณสมพร (นูมิน) กับเพื่อนของเขา เจ้าหมิว
ผมเปิดผ่านๆ ไปเจอ ตารางการเวลาที่ใช้ในการเดินทางและตารางค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง

“เฮ่ย!… ทั้งทริป 16,000 บาท”

ตกใจรอบสองครับ จึงรีบพลิกกลับไปดูตารางเวลาการเดินทาง เขาใช้เวลาทั้งหมด 17 วัน และเดินทางจากไทย ทะลุลาว ขึ้นไปจีนและกลับมาทางเวียดนาม..

สำหรับผม การที่ผมเห็นสถานที่ๆ ถูกระบุใน NG ว่ามันเป็นดินแดนในฝันที่สุดยอดมาก กอปรกับ การเดินทางไกลได้เที่ยวในหลายๆ ที่ หลายๆประเทศ ในราคา 16,000 บาท มันน่าทึ่งมากครับ!

ผมตัดสินใจซื้อเล่มนั้น พร้อมกับบอกเพื่อคนที่ผมนัดเจอว่า “ผมจะไปแชงกรีลา!”
ผมพูดโดยที่ ณ เวลานั้น ผมยังไม่พร้อมทั้งเวลา ทั้งเงินและข้อมูล แต่ผมรู้สึกมั่นใจว่า

ผมจะไปตามหาแชงกรีลา..

กรกฎาคม – ตุลาคม 2552

เป็นช่วงที่บริษัทผม (TARAD.COM) กำลังทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Rakuten Japan ซึ่งแน่นอนครับว่ามันวุ่นวายมากๆ พร้อมกับอะไรหลายอย่างที่ไม่แน่นอน แต่ผมก็ยังป่าวประกาศว่าผมจะไปแชงกรีลา พร้อมกับหาข้อมูลการเดินทาง

ระหว่างที่ผมพูดถึงแชงกรีล่าในมุมมองที่ผมรู้จักให้ใครต่อไปฟัง หลายคนพูดกับผมว่า เขาเคยได้ยิน และ/หรือ เขาเคยดูสารคดีในโทรทัศน์อีกด้วย มันสวยมาก ซึ่งทำให้ผมยิ่งอยากไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ทริปนี้ผมคิดว่าจะไปคนเดียว เพราะในขณะนั้นมีเพียงแผนการเดินทาง ไม่มีความคิดว่าผมจะชวนใครไป แต่เมื่อผมเล่าเรื่องแชงกรีลาให้เพื่อนๆ พี่ๆ ฟัง จึงทำให้มีคนสนใจร่วมเดินทางกับผมด้วย

ผมได้คุยกับหลายๆ คน ที่สนใจ พร้อมกับจองตั๋วเครื่องบินขากลับของ Air Asia จาก ฮานอย (Ha Noi) – กรุงเทพ (Bangkok)

โดย ณ เวลานั้น ผมและหลายๆ คน ยังไม่ได้ขออนุญาติทางบริษัทและครอบครัวเลยสักคน รวมไปถึงแผนการเดินทางที่ผมหาข้อมูลก็ยังไม่นิ่งพอ!

ท้ายที่สุด ทริปนี้ มีผู้ร่วมชะตากรรม 6 คน คือ พี่ป๊อป (พี่ที่บริษัทตลาด), พี่ปู (พี่ที่บริษัทตลาด), พี่แอน (เพื่อนพี่ปู), เนส (เพื่อนพี่ป๊อป), โดม (เพื่อนรุ่นน้องของผม) และก็ผม

รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาพอสมควรเลยครับ ที่มีเพื่อนเดินทางด้วย และทุกคนเท่าที่ผมได้คุยด้วย ล้วนสนุกสนาน และมุ่งมั่นที่จะไปแชงกรีลามาก แต่ในใจลึกๆ ผมรู้สึกกลัว กลัวว่า คนมากขึ้นจะทำให้การเดินทางลำบากขึ้น เช่น ตกรถ รถไม่พอ ต่างคนต่างไป ความเห็นไม่ตรงกัน ฯลฯ

แต่เพราะความกลัวนั่นเอง จึงทำให้ผมต้องหาข้อมูลให้มากขึ้น รวมไปถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร่วมเดินทาง ได้ช่วยหาข้อมูล ตัดสินใจและปรับแผนการเดินทางให้รัดกุมมากขึ้นอีก

แผนการเดินทาง (วางแผนก่อนไป)

สามารถดูตัวเต็มได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Backpack Shagri-La Trip

ขั้นตอนการเดินทาง

มี 4 เส้นทาง ให้เลือก
เรียงตามระยะเวลาจากน้อยไปมาก
และเรียงตามปริมาณการได้เที่ยว ยิ่งใช้เวลามาก ก็ยิ่งได้เที่ยวหลายจุด

1. [รถ] กรุงเทพ-เชียงของ(เชียงราย) > [เรือ] เชียงของ-ฝั่งลาว > [รถ] ฝั่งลาว-หลวงน้ำทา > [รถ] หลวงน้ำทา-เมืองลา(จีน) > [รถ] เมืองลา สามารถเลือกไปคุณหมิงหรือไปต้าหลี่ได้ > [รถ] จากคุณหมิง,ต้าหลี่ > แชงกรีลา << เลือกเส้นทางนี้

2. [รถ] กรุงเทพ-หนองคาย > [รถ] หนองคาย-เวียงจันทร์(ลาว) > [รถ] เวียงจันทร์-คุณหมิง(จีน) > [รถ] > [รถ] คุณหมิง > แชงกรีลา

3. [รถ] กรุงเทพ-แม่สาย > [รถ] แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก(พม่า) > [รถ] ท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง(ด่านจีนต้าหลั้ว) > [รถ] เชียงตุง-เชียงรุ้ง(จิ่งหง)(จีน) > [รถ] เชียงรุ้ง-เซี่ยก้วน > [รถ] เซี่ยก้วน-ต้าหลี่ > [รถ] ต้าหลี่ > แชงกรีลา

4. [รถ] กรุงเทพ-หนองคาย > [รถ] หนองคาย-เวียงจันทร์(ลาว) > [รถ] เวียงจันทร์-ฮานอย(เวียดนาม) > [รถ] ฮานอย-ลาวไค(ด่านจีนเหอโข่ว) > [รถ] เหอโข่ว-คุณหมิง > [รถ] คุณหมิง > แชงกรีลา

แผนที่การเดินทาง

ขาไปนั่งรถประมาณ 2500กม. ขากลับนั่งรถ 1000กม. แล้วบินกลับ

@@@@@@@@@@ ขาไป @@@@@@@@@@@

shangri-est-go

@@@@@@@@@@ ขากลับ @@@@@@@@@@@

shangri-est-back

สรุปราคาเท่าที่คำนวณได้ตามแพลน 9 วัน ~12746 บาท

สามารถดูตัวเต็มได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Backpack Shagri-La Trip

ตุลาคม – พฤศจิกายน 2552

เป็นเดือนที่ผมและเพื่อนๆ หลายคน ได้บอกกับทางบริษัทที่ทำงานและทางบ้านเรียบร้อย ว่าเราจะเดินทางในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม – 13 ธันวาคม ที่จะถึง จึงทำให้พวกเราได้ทำ Visa เพื่อเข้าประเทศจีน (ลาว, เวียดนาม ไม่ต้องทำครับ) ส่วนผมและโดม ต้องไปทำ Passport ใหม่ เนื่องจากอายุหนังสือมีเหลือไม่ถึง 6 เดือน และก็ช่วงนี้อีกเช่นกันที่เราปั่นเงิน เก็บเงินกันจ้าละหวั่น อิอิ

ผมเพิ่งรู้มาว่ามีรุ่นน้องผมคนหนึ่งชื่อ โดนัท ได้เดินทางไปแชงกรีลาเมื่อตอนต้นปี ผมรีบหาทางคุยกับเขาทาง Internet เนื่องจากเรารู้จักกันมานาน แต่เราไม่เคยคุยกันเลย จึงทำให้ผมต้องนัดเจอเขา เพื่อให้เขาอธิบายประสบการณ์การเดินทางของเขาว่าพบอุปสรรคอะไรบ้าง และ สถานที่ใดห้ามพลาดบ้าง (ผมกลัวว่า ข้อมูลที่ผมค้นได้จาก Internet จะมีไม่รอบด้านและไม่ละเอียดพอ)

โดนัทบอกว่าโดนัทไปมาตอนปลายเดือนธันวา ซึ่งมันจะหนาวมากๆ และได้อธิบายสิ่งต่างๆ ให้ผมฟัง เช่น

  • ระวังของหายบนรถนอน
  • เจดีย์สามองค์,ต้าลี่ (崇圣寺三塔, San Ta Si, The Three Pagodas – Dali) สวย อลังการ แต่ค่าเข้าแพง
  • สระมังกรดำ, ลี่เจียง (黑龙潭, Hei Long Tang, Black Dragon Pool – Lijiang) สวยมาก แต่ค่าเข้าแพง แพงกว่าเจดีย์สามองค์เสียอีก
  • ลี่เจียงสวยมาก แต่ก็หนาวมากเช่นกัน
  • แชงกรีลา ให้พกกระป๋องออกซิเจนไปด้วย
  • ที่พักหาได้ไม่ยาก ทั้งลี่เจียง และแชงกรีลา
  • ที่พักราคา 60-100 หยวน ตามแต่จะเลือก
  • ผมสามารถหาที่พักในเมืองเก่าลี่เจียงได้เลย
  • สถานีรถโดยสารไม่มีภาษาอังกฤษเลยในบางแห่ง
  • โดนัทไปกับเพื่อนสองคน พูดภาษาจีนไม่ได้เลย แต่ก็รอดมาได้!
  • โดนัทแนะนำให้ซื้อหนังสือ Lonely Planet China Travel Guide พกติดไว้ จะได้อุ่นใจ

หลังจากได้ฟังจากโดนัท วันถัดมา ผมรีบไปเดินหาหนังสือ Lonely Planet China Travel Guide มาโดยทันที ซึ่งตอนไปถึงร้าน (ผมไป Asia Book) จะมีสองเล่มให้เลือกครับ คือ Lonely Planet China Travel Guide ที่เขียนถึงจีนทั้งประเทศ กับ Lonely Planet Southwest China Travel Guide ที่เขียนเฉพาะจีนตะวันตกเฉียงใต้

จะว่าไปแล้ว ถ้าซื้อแค่ Lonely Planet Southwest China Travel Guide ก็มีมณฑลยูนนาน (แชงกรีลาอยู่ในมณฑลยูนนาน) เพียงพอกับทริปนี้แล้ว เพราะทริปนี้ผมจะวนเวียนอยู่แค่ในยูนนาน และเล่มนี้หนาเพียง 528 หน้า แต่ผมเลือกที่จะซื้อ Lonely Planet China Travel Guide (ฉบับล่าสุดคือ ปกกำแพงเมืองจีน ที่แก้ไขครั้งที่ 11 นะครับ) เพราะคิดไว้ว่าอนาคตอยากไปที่อื่นๆ อีก (ทริปนี้จะรอดหรือป่าวไม่รู้ แต่คิดการณ์ไกลเหลือเกิน ;P )

Lonely-Planet-China-9781741048667-t2

หลังจากผมได้ Lonely Planet มา ผมพบว่าข้อมูลมันสั้นๆ แต่แม่นยำและเป็นทางการครับ เช่น บอกเวลาเดินรถ และบอกว่าเราสามารถต่อรถจากเมืองนี้ไปเมืองไหนได้บ้าง หรือแม้กระทั่งแนะนำว่ามีโรงแรม,ร้านอาหารที่ไหน ราคาเท่าไร มี Internet ไหม ได้ข้อมูลแบบนี้ จึงทำให้ผมต้องนัดคุยกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เพื่อลงรายละเอียดในแผนการเดินทาง

เชื่อไหมครับว่า แผนการเดินทางที่ถูกแก้ล่าสุด เราแก้กันตอนที่มันเหลือสองอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะเดินทาง!!!

สามารถดูตารางเวลาก่อนไปที่ได้แก้ไข ได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Shangri-La time table

และสองอาทิตย์สุดท้ายนั่นเอง ที่แผนการเดินทางเราเริ่มนิ่ง ผมและเพื่อนบางคนก็เพิ่งจะเดินหาซื้อของเพื่อเตรียมเดินทาง!!!!

ต้องบอกไว้เลยครับว่า พวกเราทุกคนไม่เคยต้องเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน!!! และมีเพียงผมกับพี่แอนเท่านั้นที่พอจะพูดและฟังจีนได้นิดหน่อย นอกนั้นไม่ได้เลย!!!

จึงทำให้สองอาทิตย์สุดท้าย เรียกว่าวุ่นวายพอสมควร พวกเราต้องไปหาซื้อกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเสื้อผ้า, อุปกรณ์กันหนาว

โชคดีที่พี่ปูกับพี่แอนรู้จักร้าน KitCamp ตรงสะพานควาย (ใกล้บ้านผม แต่ผมไม่รู้จัก ฮาา) จึงทำให้เราได้กระเป๋า Deuter และเสื้อกันหนาว The North Face ในราคาไม่แพงมากนัก

northface-cloth

the north face gore-tex xl สองชั้น กันลม กันหนาว 1800

deuter5510

ผมโชคดีครับ ได้กระเป๋า deuter 55+10 aircontact มือสอง 3600 บาท

buff-headware

buff headware ผ้าสารพัดจะคลุมหัว ได้มาฟรีๆ

hi-tec

ไหนๆ ก็พูดอุปกรณ์แล้ว ลืมแนะนำครับ รองเท้าผมและโดมใช้ของ HI-TEC ดีมากเลยครับ
รุ่นที่ผมใช้คือ HI-TECT Gannet Peak เกาะพื้นดี โดยเฉพาะบนน้ำแข็ง และอุ่นเท้าพอสมควร
(ไม่ได้ซื้อที่ KitCamp แต่ซื้อที่ Sport Junction)

รวมไปถึงทางร้านก็ได้แนะนำการสะพายกระเป๋าและอุปกรณ์บางอย่างให้เราได้เตรียมพร้อม เจ้าของร้านคุยสนุกมากครับ จนกลายเป็นได้คุยยาว ได้กินข้าว ได้ของแถมกันไป ฮา…

kitcamp

คุยกับเจ้าของร้านคุณคิต KitCamp เมามันมาก คุยสนุกจนได้เครื่องดื่มย้อมใจฟรีๆ คนละหนึ่งขวด
และปิดท้าย ก่อนกลับ ได้ออกมานั่งร่วมโต๊ะกินส้มตำและคุยกันต่ออีกยก ฮาา..

พฤศจิกายน – ธันวาคม 2552

พวกเราใกล้จะออกเดินทางเต็มทน แต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องต่างๆ ให้ได้คิดตลอด เช่น อากาศ อุปกรณ์ สุขภาพ และ แผนการเดินทางที่กลัวคลาดเคลื่อน

เหลืออีกอาทิตย์เดียวจะเดินทาง ผมเองตัดสินใจพกมือถือไปด้วย (แต่ขี้เกียจไปเปิด Roaming) และลง Chinese Dictionary พกไว้ (ใครใช้ Android ผมแนะนำให้ลง app ชื่อว่า Hanping Chinese-English Dictionary ครับ มันจะแปล chinese-english, english-chinese และสามารถพิมพ์ได้ทั้ง pinyin และ Hanzi ที่เป็นอักษรจีน)

และอาทิตย์สุดท้ายนี่เองที่ทำให้ผมรับรู้ข่าวดี ข่าวหนึ่ง คือ ผมได้ไปฮ่องกงฟรีๆ 28-30 พฤศจิกายน.. เพื่อถ่ายรูปให้ KTC ฮาแตกมาก เพราะกลับมาปุ๊บ วันที่ 2 ผมต้องไปจีนทันที

1918371_337593225643_6327238_n

แต่สุดท้ายการเดินทางที่ฮ่องกงสบายๆ ราบรื่นและสนุกดีครับ ผมจึงพร้อมจะไปตามหาแชงกรีลา อย่างที่ฝันมาหลายเดือน..

mom

ก่อนผมไปฮ่องกง แม่ผมมาหาที่กรุงเทพ เลยเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้
เพื่อเดินทางทั้งฮ่องกงและจีนเลยหละครับ แหม่ รักเจ๊แกจริงๆ

แต่ตอนนี้ ผมขอจบภาคนี้ไว้เพียงเท่านี้ และภาคต่อๆไป ผมจะเขียนภาคละวัน ตามที่ผมได้เดินทางจริงๆ ใครสนใจและอยากไปตามหาแชงกรีลแบบผม ติดตามได้เลยครับ 😀

เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!! – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ใน Hong Kong Disneyland และเป็นวันสุดท้ายใน Hong Kong ด้วย ซึ่งทริปในวันนี้พี่ชัยจะมารับเราไปนั่งกระเช้า ไหว้พระ และเดินเล่นที่ Kowloon

แต่ก่อนจะออกจากโรงแรม เราได้มีโอกาสไปลองทานอาหารเช้าของโรงแรมครั้งแรก ซึ่งจะอยู่ชั้น 1 ใกล้ๆ กับสระว่ายน้ำ

ในห้องอาหารของโรงแรม จะเป็นบุฟเฟ่ ที่มีอาหารและขนมให้ทานได้ทั้งแบบตะวันตกและตะวันออก รวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าอาหารมีให้เลือกเยอะพอสมควร และอยู่ในเกรดที่ดีเลยทีเดียว

1918371_335804125643_5902809_n 1918371_335805295643_4667374_n  1918371_335804890643_4784993_n
hk18

ระหว่างที่เรากำลังทานอาหาร ก็มีมิกกี้เม้าส์ มินนี่เม้าส์ กรู๊ฟฟี่ โดนัลดั๊กค์ พลูโต มาเดินถ่ายรูปร่วมด้วยตามโต๊ะอาหาร (อย่างกับงานแต่งงาน ฮ่าๆ) แต่เสียดาย อดถ่ายกับโดนัลดั๊กค์, พลูโต จึงได้แค่ภาพ มิกกี้เม้าส์ มินนี่เม้าส์ กรู๊ฟฟี่มาเป็นที่ระลึก

hk19

1918371_335808120643_6559093_n

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ รีบเดินทางไปต่อกันที่กระเช้า Ngong Ping 360 ทันที

ซึ่งกระเช้า Ngong Ping 360 จะอยู่ในเขต Tung Chung บนเกาะ Lan Tua ซึ่งคนไทยมักจะเรียกว่า เกาะลันเตา เป็นเกาะเดียวกับที่ตั้งของ Hong Kong Disneyland และอยู่ใกล้กับสนามบิน เช็ก ลัป ก๊อก (Chek Lap Kok)

กระเช้าที่ให้ขึ้น จะมีให้เลือกสองแบบ คือ แบบปกติ ที่เห็นทั่วๆไป กับ แบบ Crystal ที่มีพื้นเป็นกระจกใส เพิ่มความหวือหวาให้กับชีวิต เพราะสามารถมองทะลุลงไปเห็นเบื้องล่างได้เหมือนกับกำลังลองอยู่บนอากาศ อย่างไงอย่างนั้น (บรรยายเว่อร์ไปไหมเนี่ย ฮ่าๆ)

เราใช้เวลานั่ง Ngong Ping 360 ประมาณ 30 นาที โดยข้ามเขาหลายลูกพอสมควร ในระดับความสูงที่ผมก็ประมาณไม่ค่อยจะถูก แต่เดาว่าเกินกว่าตึก 50 ชั้น โดยปลายทางของเราอยู่ที่พระใหญ่ป่อหลิน (Tian Tan Buddha, Po Lin Monastery)

ระหว่างที่นั่ง มี ผม พี่ชัย ต่าย คุณแม่น้องพลอยและน้องพลอย เฮาฮาปาจิงโกะมากจะมีหวือหวาและหวาดเสียวบ้างในบางขณะ โดยเฉพาะช่วงที่กระเช้าไปพาดกับรอยต่อของเสา ซึ่งมันจะเร็วและส่ายๆ เล็กน้อย

hk20 hk21 hk22

นั่งข้ามเขามาได้สักระยะ ก็จะเริ่มเห็นวิวของพระใหญ่ป่อหลิน (Tian Tan Buddha, Po Lin Monastery) ซึ่งดูสงบ และสวยมากๆ อยู่บนเนินเขา

1918373_358609285643_5887963_n

หลังจากถึงจุดหมายปลายทางของสถานีกระเช้า (ก่อนจะลง ข้างๆ อาคาร จะมีป้ายบอกให้เรามองลิง เพราะตรงลิงจะมีกล้องถ่ายรูปเพื่อบันทึกภาพไว้ขายเป็นที่ระลึก) เราก็มุ่งหน้าเดินไปที่พระใหญ่ ซึ่งระหว่างทางจะเป็นร้านค้า ที่ถูกสร้างขึ้นแบบทรงจีน สวยดีครับ (มี Star Buck ด้วยนะ) และมีอีกหลายๆ สิ่งก่อสร้าง ที่กำลังถูกสร้างขึ้นเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบแห่งใหม่ในอนาคต

1918373_358609290643_4738314_n

เราเดินไปจนถึงบริเวรณวัดป่อหลิน (Po Lin Monastery) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระใหญ่ จะมีบันไดให้เราเดินขึ้นไปอีก 268 ขั้น เพื่อถึงองค์พระ ซึ่งพี่ชัยได้เล่าให้ฟังว่า ปกติทัวร์ที่มาลง มักจะแวะที่พระใหญ่เป็นแห่งสุดท้าย ดังนั้น เมื่อลูกทัวร์เริ่มล้า ก็จะไม่ค่อยเดินขึ้นไป แต่อาศัยยืนไหว้จากด้านล่างแทน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

พวกเรายังไม่สูงอายุครับ เลยเดินขึ้นบันไดไปที่องค์พระ แต่เดินไปได้ครึ่งทางก็เริ่มรู้สึกหอบกันถ้วนหน้า ฮ่าๆ

1918373_358609300643_4315961_n

ในองค์พระจะประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากศรีลังกา ซึ่งรัฐบาลฮ่องกงได้อัญเชิญมาไว้ที่นี่ และเชื่อกันว่าเป็นพระเขี้ยวแก้วของจริง ของพระพุทธเจ้า

1918373_358609320643_5173133_n

ซึ่งก่อนจะเข้าไปกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ จะต้องเสียค่าเข้าประมาณ 20$hk ครับ และตอนขาออก สามารถนำตั๋วนั้นไปแลกเป็นน้ำและขนมได้ 1 ชุด (ซึ่งผมขอแลกเป็นโค้ก 1 กระป๋องและน้ำเปล่า 1 ขวด)

หลังจากที่เข้าไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุ และเดินชมรอบๆ องค์พระอยู่พักหนึ่ง (ซึ่งอากาศบนนั้นเย็นสบายกำลังดีเลยทีเดียว) พวกเราจึงเดินลงมา เพื่อเตรียมตัวไปทานข้าวเที่ยงใน Kawloon

ก่อนขึ้นกระเช้ากลับ ผมได้แวะห้องน้ำที่นั่นด้วย เป็นห้องน้ำที่สร้างแพงมากๆ หลักสิบล้าน (จำไม่ได้ว่าหน่วยบาท หรือ $hk) ถ้าใครได้ไป ก็ลองแวะสักครั้งนะครับ ฮ่าๆ

ตอนนั่งกระเช้าขากลับ และใกล้ๆกับสถานีกระเช้า พี่ชัยแนะนำให้เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ โดยบอกให้พวกเราไปยืนเรียงที่หน้ากระเช้า และแอ็คท่าให้ลิงถ่ายรูปสักครั้ง ซึ่งพวกเราก็ทำครับ! สนุกดี

เดินลงจากกระเช้าเสร็จ จะต้องผ่านห้องที่ขายของที่ระลึก โดยผมกับต่ายเลือกที่จะซื้อ package แบบส่งรูปภาพไปให้ทาง e-mail พร้อมกับทำ Magnet และพวงกุญแจอย่างละชิ้นไว้เป็นที่ระลึก ถ้าผมจำราคาไม่ผิด น่าจะประมาณ 160$hk ครับ

และรูปที่ได้ก็ออกมาเป็นเช่นนี้.. (ห้ามขำ!)

tung-chung-360

เราออกจาก Ngong Ping 360 ประมาณ 11.00 เพื่อนั่ง shuttle bus ไปกินข้าวเที่ยงที่ Tsin Sha Tsui  ซึ่งอาหารที่ได้ทานก็เป็นอาหารจีนครับ มันๆ ผักๆ เลี่ยนหน่อยๆ และเค็มหลายจาน  ซึ่งพี่ชัยบอกว่าคนฮ่องกงชอบกินเค็มครับ

hk23

ณ เวลานั้น เป็นวันจันทร์ ผู้คนก็หลั่งไหลออกมาทำงาน และทานข้าวกันเยอะพอสมควร จึงได้มีโอกาสเสพบรรยากาศฮ่องกงในเวลาทำงาน และเดินเล่นไปเรื่อยๆ หาซื้อของประมาณ 1 ชั่วโมง

hk24

ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด พี่ชัยจึงแนะนำว่าให้เรา check-in เครื่องบินที่สถานีรถไฟ Kaoloon เพราะเวลาไปถึงจะได้ไม่ต้องไปเดินหาและ check-in ที่สนามบิน มันจะวุ่นวายและเสียเวลา

โดยการ check-in ที่สถานีรถไฟ ผมชอบมากๆ โดยเราโหลดกระเป๋าและ check-in เครื่องบิน จากนั้นกระเป๋าของเราจะเดินทางไปโหลดขึ้นเครื่องในเที่ยวของเราให้เลย ส่วนเราก็เดินตัวปลิวเที่ยวไปเรื่อยๆ พอใกล้เวลาค่อยตามไปสนามบินอีกที

แต่ครั้งนี้ ทั้งตัวทั้งเป้ต้องตามไปพร้อมกันเลย เวลามันเหลือน้อยเต็มทน ก่อนขึ้นเครื่อง

hk25

เส้นทางรถไฟใต้ดินที่ไปสู่สนามบิน (Airport Express) จะเป็นรถไฟที่มีความเร็วสูงกว่ารถไฟทั่วไปในฮ่องกง โดยจะแวะเพียงแค่ 3 สถานี คือ Hong Kong (บนเกาะฮ่องกง) จากนั้นจะข้ามทะเลมาจอดรับที่ Kaoloo, Tsing Yi และไปสุดสายที่ Chek Lap Kok Airport

ซึ่งได้ข่าวว่า Airport Link ในกรุงเทพฯ ของเรา ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันรถความเร็วสูง ต้นทางสนามบินสุวรรณภูมิ ตรงดิ่งเข้า BTS พญาไท โดยแวะสถานีมักกะสัน และอื่นๆอีก 1-2 สถานี

Airport Express ถ้าผมจำไม่ผิด จะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีครับ จาก Kaoloon เข้าไปถึง Chek Lap Kok Airport โดยพวกเรามีหน้าที่แค่ผ่านตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเดินไปรอขึ้นเครื่องอย่างเดียวเท่านั้นเอง สะดวกมากๆ

อ้อ อย่าลืมแลกบัตร Octopus กลับเป็นเงินก่อนนะครับ จะทำให้เราได้ค่ามัดจำบัตรคืนมาอีก 50$hk (200บาท) แต่ถ้าใครอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ไม่ต้องแลก หรือถ้าคิดว่าจะกลับมาเที่ยวอีกก็สามารถนำกลับไปใช้ได้ครับ แต่ต้องตรวจสอบเวลานิดหนึ่งนะครับว่าหมดอายุเมื่อใด

ก่อนขึ้นเครื่อง เรามีเวลาเดินเล่นใน Duty Free ประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าต่ายไปเดินช้อป ส่วนผมนั่งเล่นเน็ตรอ (ในสนามบินมี wifi ฟรีครับ และผมลืมบอกไปว่าในฮ่องกงแทบทุกหนแห่งมักจะมี wifi ฟรีให้เล่นด้วย ซึ่งจัดให้โดยรัฐบาลฮ่องกงนั่นเอง) แล้วจึงออกเดินทางตอน 16.30 ครับ ถึงไทยอีกทีตอน 18.30 อย่างสวัสดิภาพ

hk26

เป็นไงบ้างครับ เท่าที่อ่านดูแล้ว ผมว่าฮ่องกงเป็นอะไรที่น่าไปเที่ยวมากๆ และจะสนุกยิ่งขึ้นถ้าเราไปช้อปปิ้ง เพราะคงจะได้จ่ายเงินกันเพลินเลยทีเดียว

และอย่างที่เห็นครับ ว่าการเดินทางไปไหนมาไหนในฮ่องกงไม่ได้ยากเย็นเลย ยิ่งถ้าเราเลือกที่พักในโซน Tsim Sha Tsui หรือย่านที่ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน เราสามารถไปไหนก็ได้ทุกที่ และที่สำคัญควรพกบัตร Octopus เพื่อความสะดวก

และถ้าไปฮ่องกง โดยไม่ได้ไป Hong Kong Disneyland กับไหว้พระใหญ่ป่อหลิง ว่ากันว่าคุณยังไปไม่ถึงฮ่องกงนะครับ อิอิ

สุดท้าย ความสนุกทั้งหมดนี้ ผม,ต่าย,คุณแม่น้องพลอยและน้องพลอย ต้องขอขอบคุณ KTC World สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด และขอขอบคุณ ตระกูลเฉิน ที่จัดทริปและเตรียมไกด์ (พี่ชัย) ให้ ณ ที่นี้ด้วยคร้าบบบ.. 😀


ซีรี่ – เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!!

วันที่ 1 – ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกง
วันที่ 2 – ลุย Hong Kong Disneyland
วันที่ 3 – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง


Source: http://ifew.exteen.com