ในความเป็นจริงของโลก คงไม่มีใครจะสมหวังไปทุกเรื่อง
และไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่พุ่งขึ้นสม่ำเสมอตลอดเวลา
ในบางช่วงของชีวิต คนๆหนึ่งอาจได้รับบทเรียนอันแสนเจ็บปวดรวดร้าว
ความเจ็บปวดจากชีวิตขณะก้าวเดินขึ้นไปบนยอด แต่แล้วต้องกลับมาสู่เชิงดอยอีกครั้ง
เปรียบเหมือนนกที่เคยโผบินบนท้องฟ้า มีผู้คนคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา
จนวันหนึ่งด้วยความหลงผิดและไร้เป้าหมาย ต้องทำให้ตนเองปีกหัก
และร่วงลงมาแทบจะถูกผู้คนเหล่านั้นเหยียบซ้ำ เพราะไร้ความเหลียวแล
ความจริงอันปวดร้าวเช่นนี้ ถึงแม้ไม่เกิดในช่วงครึ่งแรกของชีวิต
แต่ทุกคนก็หนีไม่พ้นเมื่ออยู่ในชีวิตครึ่งหลังเป็นแน่
แต่การจะใช้เวลาไปถึงตอนนั้น ทุกอย่างอาจถูกบ่มเพาะให้เราปลงกับสิ่งที่ผ่านมาและสิ่งที่จะเกิด
แต่ที่น่าเศร้ากว่าคือ บุคคลผู้รู้แล้วว่าจะเกิดแต่ไม่หาทางยืดมันออกไปหรือแก้ไขตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้มันเป็นเพียงการเปรียบเทียบในช่วงบั้นปลายชีวิตที่ได้เขียนไว้ว่าเวลาอาจจะช่วยทำใจให้ง่ายขึ้น
และที่กล่าวมาทั้งหมดถึงเหตุการณ์เหล่านั้น คือการเกิดขึ้นในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต
วัยที่กำลังแข่งขัน และบังเอิญว่าคุณเริ่มต้นดีวิ่งแซงคนอื่นมาหลายช่วง
แต่ก็ต้องสะดุดเท้าตัวเองจนหัวทิ่มอย่างไม่เป็นท่า
เจ็บกายก็เจ็บ แถมเจ็บใจเพราะคนในอัฒจรรย์บางแห่งมองคุณด้วยความเย้ยหยัน
จนบ่อยครั้งก็รู้สึกว่าชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว และก้มหน้าก้มตาทำตามที่โค้ชสั่งไปตลอดชีวิต
แต่โชคยังดีที่ว่า ยังมีความคิดเล็กๆแทรกซึมเข้ามากระซิบว่า สู้เถอะ
เสียงเล็กๆเหล่านั้นชี้ให้ดูคนพิการและนักกีฬาตัวสำรองว่าเขาอาจจะไม่มีสิทธิ์ไปตลอดชีวิต! ไม่เหมือนคุณ!
และเสียงเล็กๆเหล่านั้นกระซิบต่อว่า ยอมเจ็บปวดเถอะ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของคุณเอง
เพียงคุณรู้ตัวและเริ่มต้นตั้งไข่ชีวิตใหม่อีกครั้ง
ยอมเจ็บปวด และเสียเวลาย้อนกลับไปตอนนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายจนเกินไป สายไปจนไม่มีโอกาสทำใดๆได้อีก
สุดท้าย คงขอบคุณตนเองที่ไม่หมดกำลังใจเพื่อตนเองไปเสียก่อน