บอกตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่อ “ผาแง่ม” หรือ “ผาสองฤดู” มาก่อน แต่ว่างพอดีก็เลยลงทริปไปเดินที่นี่สักครั้ง
อยู่ใกล้กับ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ที่หลายๆคนชอบไปดู ดอกซากุระ กันที่นั่น

เส้นทางที่ไปศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ค่อนข้างคดเคี้ยว และถนนเล็ก
ยิ่งตอนผมไปกำลังทำถนนพอดี หากธาตุไม่แข็งก็อาจมีปล่อยอาหารเช้าที่ข้างถนนได้

จัดแจงสัมภาระส่วนตัวเสร็จ ก็เดินทางต่อไปจุดเริ่มต้นเดินกันเลย

 

ณ จุดเริ่มต้น เป็นแปลงปลูกดอกไม้และสตอเบอรี่ อยู่ไม่ไกลจากศูนย์เกษตรมากนัก


ตอนเช้ามองขึ้นไปยอดดอยไม่เห็นอะไรเลย เจอแต่หมอก แต่ดูจากระยะแล้ว ไม่สูง แต่ชันแน่ๆ

 

เป็นไปตามคาด เส้นทางไม่มีราบเลย ชันอย่างเดียว น่าจะประมาณ 30-45องศา


ประเมินง่ายๆ ระยะทาง 2.7กิโลเมตร แต่ไต่ระดับความสูงจาก 1,500 ไป 2,100 เมตร ก็หนักหนาพอตัว

 

เป็นป่าดิบที่ไม่ร้อนครับ สบายๆ ต้นไม้ร่มไม้เยอะ

 

แต่ยังดีที่ระยะไม่ไกล อดทนอึดใจเดียวก็จะโผล่สันเขา เป็นทางราบให้ได้พักเท้าแป๊บหนึ่ง
แล้วก็อดทนไต่ชันอีกสักนิด เพื่อไปถึงจุดกางเต็นท์

 

เมื่อไต่บนสันเขา หมอกลงแทบไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่ยอดไม้ที่ห่างกันไม่กี่เมตร

 

พอเดินสูงมาอีกหน่อยก็เริ่มพ้นหมอก ฟ้าใสสวยงาม

 

ที่จุดกางเต็นท์ เป็นสันเขาไม่กว้างมาก มีต้นไม้ใหญ่ต้นเดียว และมีปาดหน้าดินเพื่อกางเต็นท์ไว้ให้ 5-6 หลัง (Update 14 Dec 2015 – ปัจจุบันจุดตั้งแคมป์ได้ย้ายจากจุดนี้แล้ว ถ้าเดินจากพื้นขึ้นมา จะใกล้กว่า แต่ก็ทำให้ตอนขึ้นยอดต้องเดินไกลกว่าเดิม)
ตรงนี้เอง ก็แทบจะเป็นสองฤดูแล้ว เพราะด้านหนึ่งเป็นหมอก(ด้านที่เรามา) อีกด้านฟ้าใส(ด้านทิวเขาดอยอินทนนท์)

 

และเมื่อมองไปด้านหน้าของเราก็จะเห็นวิวยอดดอยแบวีถูกปรกคลุมด้วยหมอกครึ่งซีก แบ่งเป็นสองฤดูอย่างชัดเจน

 

จากที่สังเกตและฟังจากพี่ในทีมเล่า หมอกไหลจากด้านซ้ายไปขวา แต่เมื่อพ้นยอดดอย จะมีลมตีกลับ
จึงทำให้หมอกอยู่ได้แค่ฝั่งซ้ายฝั่งเดียวเท่านั้น unseen มากๆ สมคำล่ำลือครับ

 

เราขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินกันตั้งแต่ 4 โมงเย็น อากาศเริ่มหนาวขึ้นสวนทางกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยหายไป
ตอนแรกผมคิดว่าหมอกเยอะจนไม่น่าได้เห็นอะไร แต่เปล่าเลยครับ ฟ้าเวลานั้นสีทองอร่าม ทำมุมกับยอดดอยอินทนนท์สวยมากๆ

 

เมื่อแสงทองของอาทิตย์สาดมาทางด้านขวา มีไอหมอกที่พยายามลอยมาจากทางด้านซ้าย พื้นหลังเป็นยอดดอยอินทนนท์สูงใหญ่
มันช่างเป็นบรรยากาศที่วิเศษมากๆ ภูมิประเทศแบบนี้คงมีไม่มาก หรืออาจจะที่เดียวในไทยเท่านั้นก็เป็นได้

บนยอดดอยแบวีจะมีพระธาตุขุนวางให้เราได้กราบไว้กัน ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ ขอพรได้สมใจ

 

และจากยอดสามารถเดินต่อไปได้อีกหน่อย เป็นสันคมมีดค่อนข้างหวาดเสียว
แต่เป็นมุมที่ผมคิดว่าถ่ายรูปได้สวยสุดๆ เพราะทั้งน่าหวาดเสียวและเห็นสองฤดูด้วย
(แสงช่วงเย็นจะเหมาะสมมาก มันช่างเหมาะกับการถ่ายทำ Profile Picture มาก ฮ่าๆๆ)

 

และก็โชคดีต่อที่สอง ในค่ำคืนนั้นฟ้าใส และมืดสนิท ทั้งๆที่ไม่ใช่คืนเดือนมืด
ประกอบกับตรงกับวันที่มีฝนดาวตกพอดี เลยตั้งกล้องถ่ายทางช้างเผือกกัน ติดฝนดาวตกมาดวงหนึ่งแน่ะ

 

คืนนั้นอากาศเย็นมาก แต่ไม่ถึงกับหนาว และไม่มีลม เราวัดกันได้ประมาณ 12องศา ช่างเหมาะกับนั่งปาร์ตี้และดูดาวสุดๆ
แต่ถ้าช่วงไหนมีลมวูบเข้ามา ก็สั่นสะท้านเหมือนกันครับ น้ำค้างลงจัดมาก หากใครจะไปก็เตรียมเต็นท์ดีๆ นะครับ

คืนนี้ ชม ชิม ชิล เพลินมากกว่าจะได้นอนก็ทนหนาวเกือบ 5 ทุ่ม
แต่ต้องยอมครับ โอกาสและบรรยากาศลงตัวแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ

 

เช้ารุ่งขึ้นพบว่าตัวเองตื่นสายมาก 6.15 น.! เปิดเต็นท์มาทุกคนหายไปหมดแล้ว
เลยต้องรีบแต่งตัวเตรียมกล้องวิ่งขึ้นอดยแบวีเดี๋ยวนั้นเลย

ระหว่างเดินขึ้นก็เห็นเส้นขอบฟ้าสีเหลืองตลอดทาง ลุ้นอย่างเดียวว่าไปให้ทันเห็นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

 

พอไปถึงยอด พบทุกคนยืนมองแบบงงๆ ว่าเอ็งมาด้วยเหรอ
แต่โครตดีใจ มาทันพอดี พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ตอนนี้เลยกดชัตเตอร์รัวๆ ไม่สนใจอะไรแล้ว

 

บรรยากาศสวยมากๆครับ แต่แอบรู้สึกว่าช่วงอาทิตย์ตกของเมื่อวาน สวยกว่านี้มากๆ
แต่ก็คนละอารมณ์ เพราะมันขึ้นคนละฝั่งผากัน เลยได้เห็นอะไรที่เมื่อวานไม่เห็น เช่นหมู่บ้าน

 

พวกเราอยู่กันไม่นานมาก พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเต็มฟ้า ก็เดินลงยอดแบวีไปกินข้าวเช้ากัน

 

ระหว่างทางลงจากดอยแบวี เห็นเขาเชียงดาวด้วย! ไม่น่าเชื่อ เพราะมันไกลมาก อยู่คนละฝั่งเชียงใหม่เลย

สรุปการเดินทาง

เป็นยอดที่ผมคาดว่าจะบูมต่อจากช้างเผือก และม่อนจอง
ขึ้นง่าย ลงง่าย แม้จะชันหน่อย แต่ระยะทางไม่ไกล
บนยอดวิวสวยมากๆ และน่าหวาดเสียวนิดๆ
เป็นอะไรที่ unseen จริงๆครับ ที่ได้เห็นภูเขาฟากหนึ่งเป็นหมอก อีกฟากหนึ่งฟ้าใส
ผมเข้าป่าหลายที่ก็ไม่ค่อยเห็นอะไรแบบนี้ (หรืออาจไม่สังเกตเองก็ไม่รู้นะ แหะๆ)
ว่ากันว่า หากมาช่วงฤดูกาลเหมาะสม จะเจอดอกซากุระและกุหลาบพันปีด้วยนะ

ความสวย: 10/10
ความสนุก: 8/10
ความยาก: ง่าย
แหล่งเติมน้ำ: ไม่มี

ระยะเวลาขาขึ้น: ประมาณ 2 ชั่วโมง
ระยะเวลาขาลง: ประมาณ 1 ชั่วโมง

ความสูงยอดดอย: 2,129 เมตร (จุดกางเต็นท์)
ความสูงจุดเริ่ม: 1,540 เมตร

วิธีการไป (Update 14 Dec 2015)

ติดต่อ อ้ายหือ (ลุงหือ) เบอร์โทร 087-788-0707
แจ้งจำนวนคนเดินทางไปด้วยนะครับ เพราะสถานที่กางเต็นท์มีจำนวนจำกัด
ค่าลูกหาบแบกสัมภาระ กิโลกรัมละ 50 บาท ไม่มีขั้นต่ำ

จากนั้นเดินทางไปศูนย์เกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (แผนที่)
เพื่อเริ่มต้นเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขา

ขาขึ้น

 ขาลง

เส้นทางใหม่ที่ใช้ขึ้น-ลง (Update 14 Dec 2015)

ทางอ้อมกว่าทางเดิมหน่อยนึง และลูกหาบบอกว่าเหนื่อยน้อยกว่า แต่ผมว่ามันก็พอๆกันเลยนะ ฮ่าๆ
แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ จุดตั้งแคมป์เขาย้ายลงมาจากจุดเดิม ทำให้ตอนขึ้นยอดต้องเดินไกลกว่าเดิม

ปอ ลิง…

เหล้าบ๊วยที่ขุนวางเป็นที่ลือเลื่องมาก หากใครชื่นชอบ แนะนำให้ซื้อพกไปบนยอดแก้หนาวครับ หวานๆเหมือนน้ำจิ้มบ๊วย  หาซื้อได้ที่ศูนย์เกษตรฯเลยครับ

Published by iFew

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ชื่นชอบหลายเรื่องที่ไม่น่าจะไปกันได้ ทำงานไอที แต่ชอบท่องโลกกว้าง รักประวัติศาสตร์ แต่ก็สนใจเทคโนโลยี ชอบสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และไปป้ายยาคนอื่นต่อ

Exit mobile version