ในคืนหนึ่งกลางเดือนพฤศจิกายน ผมกำลังวุ่นๆ กับการเตรียมตัวไปแชงกรีลา จู่ๆ ไอ้ต่าย (ipats) ส่งลิงค์หนึ่งมาให้ผมดู >>http://www.ktc.co.th/ktcworld/detail.php?module=game&id=124
ผมนั่งนั่งอ่านอยู่พักใหญ่ มันเป็นหน้ากิจกรรม KTC Real Team จัดโดย KTC World ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อให้สมาชิกในเว็บ ktcworld.com ได้ไปเที่ยว หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ แล้วนำมาเล่าต่อให้เพื่อนๆ ฟัง
โดยทั้งหมดในทริปนี้ ไปฟรี!!!!
ผมยังไม่ทันตัดสินใจอะไร ต่ายพิมพ์มากดดันต่อ “เราจะส่งชื่อเรากับแกไปเล่นเกมส์ ถ้าได้ไปแกต้องไปถ่ายรูปให้ด้วย!” ผมสองจิตสองใจเพราะมันกระชั้นชิดกับทริปแชงกรีลาที่ผมใช้เวลาวางแผนหลายเดือนมาก แต่ผมก็ตอบตกลง แบบไม่ได้คาดหวังอะไร
ต่ายจัดแจงเอาข้อมูลต่างๆในการถ่ายรูปและเขียนบล็อกของผมและของมัน แนบไปกับคำบรรยายถึงเหตุผลที่อยากไป ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์
วันหนึ่งต่ายมันส่ง msn มาบอกผมว่า “เฮ่ย ได้ไปฮ่องกงว่ะ”
พอรู้แล้วผมก็ทำตัวไม่ถูก เพราะต้องเดินทางใน 4 วัน แถมกลับมาต้องไปแชงกรีลาต่อ กลัวจะเหนื่นเกินไป แต่เอาเถอะ รับปากแล้ว ไปฟรีด้วย ไปก็ไปวะ
คืนนั้นโทรบอกอาม่ากับแม่ว่าอาทิตย์นี้คงไม่ได้กลับบ้าน และต้องไปจีนต่อเลย
แม่ งอล ไม่พูดด้วยไป 1 วัน แต่วันรุ่งขึ้นเจ๊แกก็โทรมาบอกว่า วันเสาร์จะไปส่งที่สนามบินก็แล้วกัน 😀
…
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2552, วั้นนั้นต่ายนั่ง taxi มาหาที่คอนโดผม และมีแม่กับพี่สาวนั่งมาด้วยที่สุวรรณภูมิ
พอไปถึง เราไปเจอกับคุณแม่น้องพลอยและน้องพลอย ซึ่งเป็นอีกทีมที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเรา จากนั้นเราก็เจอกับคนของทางบริษัททัวร์ชื่อ “ตระกูลเฉิน” ที่มารอเราอยู่แล้ว เขาได้อธิบายการเดินทางคร่าวๆ พร้อมแจกบัตรต่างๆ รวมไปถึงช่วย check-in ให้เรียบร้อย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราบินด้วยเครื่องบินของ Cathay Pacific
ระหว่างที่รอเครื่องขึ้นแวะไปนั่ง King Power Lounge ก่อน เพื่อกินของว่าง และต่อ wifi เล่นเน็ตด้วย ตอนเดินไปว่าไกลแล้ว ตอนเดินกลับ ไกลกว่าสองเท่า เพราะเราต้องไปอีกฝั่งหนึ่งของสุวรรณภูมิ (มารู้อีกทีว่าฝั่งนั้นก็มี King Power Lounge เหมือนกัน) เล่นเอาหายใจไม่ทันตอนวิ่งขึ้นเครื่องเลยทีเดียว T-T
แอร์โฮสเตสขาไปมีคนจีนกับคนไทยผสมกัน ไม่ว่าจะไทยหรือจีน รู้แต่ว่าขาวหมวย น่ารักสมคำร่ำลือจริงๆ (เคลิ้มมม…)
ใช้เวลาอยู่บนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งผมเป็นคนที่ถ้าไม่ง่วง จะหลับยากมาก จึงหยิบกล้องออกมาถ่ายริมหน้าต่างบ้าง(ผมนั่งติดหน้าต่าง) แอบถ่ายแอร์บ้าง(อันนี้นิสัยไม่ดี) พอขี้เกียจถ่ายก็นั่งดูหน้าจอทีวี ซึ่งมันจะมีแผนที่เส้นทางการบิน, ระยะเวลาเดินทางที่เหลือ, อุณหภูมิ และเวลา บอกอยู่เรื่อยๆ เหมือนโรคจิตนิดๆ ที่แอบดีใจ เมื่อระยะทางมันใกล้ลงเรื่อยๆ ฮ่าๆ (จริงๆ อาจจะโรคจิตตั้งแต่แอบถ่ายแอร์แล้วหละนะ 555)
เรามาถึงสนามบิน เช็ก ลัป ก๊อก (Chek Lap Kok, Hong Kong) ของฮ่องกงประมาณ 11.00 น. ในเวลาฮ่องกง (ประมาณ 10.00 น. ของไทย)
พี่ชัย เป็นไกด์ของบริษัทตระกูลเฉินอีกเช่นกัน ยืนถือป้ายรอรับเราอยู่ เพื่อพาเรานั่งรถบัสไป Hong Kong Disneyland Hotel ระหว่างทางพี่ชัยอธิบายเรื่องฮ่องกงคร่าวๆ ให้เราฟัง รวมไปถึงแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวัน
ต่ายเป็นตัวแทนไปประชุมกับทาง KTC ตอนอยู่กรุงเทพฯ ได้อธิบายให้ผมฟังคร่าวๆ แล้ว พอมาฟังแผนการเที่ยวของพี่ชัยอีกครั้ง ผมกับต่ายจึงตกลงกันว่า เมื่อเช็คอินเสร็จแล้ว แทนที่เราจะต้องไปเล่นเครื่องเล่นใน Disneyland เราจะเปลี่ยนแผนไปเที่ยวในเกาลูนและเกาะฮ่องกงแทน โดยเป้าหมายของผมคือ The Peak นั่นเอง (จุดถ่ายรูปที่อยู่บนยอดเขาเหนือเกาะฮ่องกง)
ซึ่งการไป Hong Kong Disneyland คือใช้รถไฟฟ้าครับ สะดวก รวดเร็ว และน่ารักสุดๆ
ตอนไปถึง Disneyland เราเข้ามาเช็คอินโรงแรมเร็วเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปในห้องพักเพื่อเก็บกระเป๋าได้ จึงได้ฝากกระเป๋าและออกมาจากโรงแรมทันที (โดยใน Disneyland จะมีรถบัสคันเล็กวิ่งรอบๆ รับ-ส่ง คนจาก Hong Kong Disneyland Hotel, Hong Kong Disney’s Hollywood Hotel และสวนสนุก Disneyland ตลอด ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ โดยจะมาทุกๆ 15 นาที)
ระหว่างรอ ก็นั่งมองสาวฮ่องกงนอนหลับพริ้มเลยนะฮะ แฮ่ๆ
เราตัดสินใจซื้อบัตร Octopus ซึ่งเป็นบัตรที่อำนวยความสะดวกของเราตลอดระยะเวลาการเดินทาง มันสามารถแตะบัตรจ่ายเงิน ค่ารถเมล์ ค่ารถไฟ ค่านั่งเรือ รวมไปถึงซื้อของตามร้าน 7-11 และร้านสะดวกซื้อหลายๆ ร้านได้
โดยเราได้ซื้อกัน 100$hk (1$hk = ~4 บาท) โดยการซื้อจะต้องเสียค่ามัดจำบัตรอีก 50$hk
ผม ต่าย พี่ชัย เรานั่งรถไฟจาก Disneyland ไป Mong Kok เพื่อเดินเที่ยวย่านนั้น ซึ่ง Mong Kok เองเป็นย่านที่ผู้คนจอแจมากที่สุดในเกาลูน มีขายของต่างๆ มากมาย ทั้งแบรนด์และไม่แบรนด์ ซึ่งเราแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่นั่นเป็นมื้อกลางวัน
พี่ชัยอธิบายพร้อมกับชี้ให้เราดูว่า ตึกในฮ่องกงส่วนมากไม่ใช้นั่งร้านเหล็ก แต่ใช้ไม้ไผ่ โดยเอาไปแช่น้ำทะเลและมีขั้นตอนการทำให้เหนียวและทนทาน จึงทำให้มีราคาถูก ยืดหยุ่น และดีกว่าเหล็กเสียอีก
จากนั้นเดินไปตามถนน Nathan ซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเลือกชมเพชร พลอย ทอง เสื้อผ้าแบรนด์เนม รองเท้า และบรรยากาศก็เย็นๆ ร่มรื่นเพราะมีแต่ตึกสูงๆ คอยบังแดดให้ ส่วนบนถนนเต็มไปด้วยรถโดยสารสองชั้นและ taxi (รถที่นี่ไม่ติด)
เราแวะดูเสื้อที่ Bossini กับ Jiordano ซึ่งเป็นราคาปกติที่ยังไม่ทำโปรโมชั่น คิดเป็นเงินไทยแล้วถูกกว่าในไทย 30-50% เลยทีเดียว (เข้าใจแล้วว่าทำไมคนไทยชอบมาซื้อของที่ฮ่องกง) จริงๆ มีกระเป๋า Samsonite อีกตัวที่พี่ชัยบอกว่าถูก เพราะแบรนด์เหล่านี้ผลิตในฮ่องกง
เราเดินชมเมืองอยู่ตามถนน Nathan ไปจนถึงย่าน Tsim Sha Tsui เป็นย่านที่คนไทยนิยมชอบมาซื้อสินค้าแบรนด์อีกเช่นกัน โดยย่านนี้ถ้าเรายืนตรงริมทะเล จะมองไปเห็นวิวเกาะฮ่องกงได้สวยมากๆ เป็นจุดที่ช่างภาพนิยมไปถ่าย รวมถึงเป็นจุดที่หลายคนรอชมการแสดง Symphony of Lights ด้วย (การเล่นแสงเลเซอ ไฟสีต่างๆ บนตึกของฮ่องกงยามค่ำคืน)
แวะถ่ายรูปเสร็จ เรายืนตกลงกันว่าจะไป The Peak ก่อน หรือยืนรอชม Symphony of Lights ก่อน เพราะตอนนั้นเป็นเวลา 17.00 ซึ่งการแสดง Symphony of Lights จะมีตอน 20.00 คือ เหลืออีก 3 ชั่วโมง จึงตกลงกันว่าจะไปขึ้น The Peak ก่อน เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็มุ่งหน้าไปขึ้นเรือเฟอรี่ทันที เพื่อข้ามฝั่งไปเกาะฮ่องกง และตอนนั้นเองพี่ชัยก็ขอตัวลาเรากลับบ้านที่เซินเจิ้น ปล่อยสองหนุ่มไทย ลุยกันตามยถากรรม ฮือๆ
เรานั่งเรือจาก Tsim Sha Tsui, Kowloon เพื่อไปลง Central, Hong Kong เนื่องจากถามทางจากพี่ชัยมาว่า ระยะทางจาก Central ไปท่ารถขึ้น The Peak มันไม่ไกลนัก เราจึงตัดสินใจเดินเท้าแทน
เดินไปเรื่อยๆ ถนนหนทางในนั้น เป็นเนินเขา ให้เราต้องออกแรงกันตลอด บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่ามันชันพอสมควร และสุดท้ายพวกเราก็หลงทางครับ! เดินวกไปวนมา อยู่แถวๆ Zoological and Botanical Garden เสียเวลาร่วมชั่วโมง เพราะเราดูในแผนที่แล้ว ไอ้ท่ารถเนี่ย มันอยู่ตรงนี้แน่ๆ แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ ถามหลายๆ คนแถวนั้นก็ไม่รู้เรื่อง จนสุดท้าย ไปเจอคนยืนต่อแถวยาวมากตรงโบสถ์ St.Joseph และตรงนั้นเอง คือท่ารถขึ้น The Peak
เหนื่อยกันไปตามระเบียบ..
เราไม่รู้ว่าแถวนั้นต่อเข้า The Peak Tram ซึ่งเป็นรถรางไฟฟ้าที่จะลากเราขึ้นไปบนยอดเขา แต่ก็เอาเถอะครับ เต็มใจขึ้น ลองของใหม่ ซื้อตัวไป-กลับ พร้อมบัตรเข้าชม The Peak แต่กว่าเราจะได้ขึ้น (รวมเสียเวลาเดินหลง) ก็ล่วงมา 19.00 แล้ว
ต่อแถวรอนานร่วมยี่สิบนาทีก็ได้ขึ้นรถราง ซึ่งทางที่รถรางวิ่งจะเสียวเล็กๆ เพราะชัน แทบจะเอียงเกิน 45องศา เลยทีเดียว
และในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึง The Peak ครับ ซึ่งขอบอกคำเดียว สวยมากๆๆๆ คุ้มค่ากับการรอคอย เราอยู่บนนั้นกันสักพัก ผมเองก็ถ่ายรูป ส่วนต่ายเดินไปเดินมาดูวิว ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ลง เพราะอากาศตอนนั้นลมแรงและเย็นมาก
ขาลง คนรอขึ้นรถรางเยอะเช่นเดิม คิดว่าเยอะกว่าขาขึ้นเสียอีก เราเลยตัดสินใจ ยอมขาดทุนไม่นั่งรถราง แต่ไปเสียเงินนั่งรถเมล์แทน ซึ่งก็คิดถูกครับ ค่ารถ 8$hk พาเราลงจาก The Peak ไปจนถึง Central ท่าเรือที่เราจะข้ามฝั่งเพื่อกลับ Kowloon ทำให้เรารู้สึกไม่ฉลาดทันทีเลยทีเดียว ว่าทำไมไม่ขึ้นรถเมล์ไปตั้งแต่แรก เพราะค่าตั๋วนั่งรถรางราคาค่อนข้างแพง
เรานั่งเรือเฟอรี่กลับมาฝั่ง Kowloon เพื่อถ่ายภาพเกาะฮ่องกงยามมืด ถึงแม้จะไม่ทัน Symphony of Lights แต่ฮ่องกงก็ยังคงสวยงามด้วยแสงไฟ และรูปทรงของตึกสูงต่างๆ
ถ่ายรูปจนพอใจ เกือบๆ 11.00 น. ตอนแรกว่าจะกลับไปหาอะไรกินแถว Mong Kok แต่ว่ากลัวรถไฟใต้ดินปิดเสียก่อน จึงเลือกกิน McDonald แถวนั้น ซึ่ง McDonald ที่นี่มีเมนูไม่หลากหลายเท่าไร ไม่มีซอสให้กด แต่ให้มาเป็นซอง ส่วนเรื่องราคา ผมว่าพอๆกับบ้านเรา
กินเสร็จ นั่งรถไฟใต้ดินกลับเหมือนเดิม และต่อรถบัสของสวนสนุกเข้าไปโรงแรม ซึ่งครั้งแรกที่เข้าไปเห็นห้องนอน มันเป็นห้องที่หรูมาก และดีมาก ของอำนวยความสะดวกมีให้ทุกอย่าง รวมไปถึงสาย Lan ใช้ต่อเน็ต (ใน Lobby มี Wifi แต่ในห้องนอนใช้สาย Lan, งงกับเขาเลย)
พรุ่งนี้เราคงอยู่เที่ยวสวนสนุกกันทั้งวัน ไม่รู้จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวไว้กลับมาเขียนต่อนะครับ 😀
ซีรี่ – เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!!
วันที่ 1 – ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกง
วันที่ 2 – ลุย Hong Kong Disneyland
วันที่ 3 – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง
Source: http://ifew.exteen.com