[25+4km] – TNT2016 (11 Dec 2016)
(เขียนเล่าความกาก และการเตียมตัวของคนเป็น ITB แต่อยากเอาชนะ)
ได้ยินกิตติศัพท์ของงานตะนาวศรีบ่อยๆ
เวลาไปวิ่งเทรลที่ไหน มักได้ยินคนพูดเปรียบเทียบตลอด
ถามว่ากลัวไม๊ หึหึ ถ้าไม่กลัว กรูลง 50 ไปแล้ว จ้าาา
สมัครไปดูเชิงก่อนแค่ 25กม พอ ซึ้่งทีมงานก็ใจดี แถมให้เป็น 29กม
ท้าวความตอนวิ่งโป่งแยง66กม ข้อพับซ้ายเจ็บเลยลงน้ำหนักที่เท้าขวา
ผลคือ ตอน recovery หลังจบโป่งแยง พบว่าตัวเองมีอาการเจ็บเข่า และมารู้ตอนหลังว่าเป็น ITB
เลยทำให้ต้องพักงานลังกาหลวง เพื่อรักษาตัวไปลุยตะนาวศรี
แต่แล้วก่อนวิ่ง 3 วัน ลองไปวิ่งเช็คอาการ แม่งยังเจ็บอยู่เว้ย
วิธีสุดท้ายต้องพึ่งอุปกรณ์กับยา..
ก่อนวิ่งหนึ่งวัน ผมนั่งทำแพลนหยาบๆ
คำนวณเวลาด้วยเวลาที่ใช้ “เดิน”
ใช่ ผมจะไปเดิน กะเวลาไว้ว่า จบประมาณ 10:42ชม หรือตอน 17:12 น. (Cutoff Finish Line 17:30น.)
ทำใจแล้วหละว่าถ้าผิดแผน
อย่างน้อยก็ได้พิชิตเขาแหลมก่อน แล้วค่อยนั่งรถกลับ
เช้าวันวิ่ง เลยจัดอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มที่
พกไม้เท้าไปสองด้าม สเปร์แบบเย็น2กระป๋อง หุ้มที่รัดเข่าซ้ายเพื่อพยุงเข่า (เพราะจะต้องลงน้ำหนักเยอะ)
และใช้ที่พันแก้ ITB รัดเข่าขวาไว้ เพื่อกดเส้นเอ็นลดอาการเจ็บ
ตบท้ายด้วยโด๊ป Meloxicam 15mg 1เม็ด + แคลเซียม 1เม็ด
(ผมเคยใช้วิธีนี้กับเกาะช้าง35กม มาแล้ว มันได้ผล)
หลังจากปล่อยตัวนักวิ่ง ผมวิ่งเหยาะๆพร้อมพี่ยิ่ง
ผ่านไป 500เมตร เริ่มมีอาการตึงที่ขา (อันนี้เป็นผลจากพักซ้อมสองอาทิตย์)
ผมจึงเริ่มเดิน ให้พี่ยิ่งและเพื่อนคนอื่นๆนำไป
หลายคนวิ่งแซงผมไป และอีกหลายคนก็แวะยืดเหยียดเหมือนจะเป็นตะคริว
ผมประเมินว่าตนเองกำลังอยู่ไม่เกิน 10 คนสุดท้าย
แต่ช่างมัน ก้มหน้าก้มตาเดินให้ไวที่สุด เพราะในกราฟเหมือนเป็นทางราบเดียวที่จะได้ทำเวลา
พ้น กม4 เริ่มเป็นทางขึ้นเขาลูกแรก
คนยืนต่อคิวยาวเหยียด ผมเลยเดินเลาะข้างๆไป
มีคนทักผมว่า “ผมว่าพี่ต่อคิวดีกว่าไหมครับ”
ผมหันไปบอกว่า “ผมว่าเราเปิดทางใหม่กันดีกว่านะ”
ผมคงต้องขออภัยพี่ๆทุกคนที่ผมแซงคิวมา มันดูเสียมารยาท แต่มันก็มีทางไปได้นะครับ
เขาลูกแรกผมก็รู้สึกชันมากแล้ว ยาวต่อเนื่อง จนเจอป้าย End of Up Hill
ผมเริ่มประเมินกราฟในรูปกับระยะทางและความชันจริง อีกครั้ง ผมเริ่มหวั่นใจแล้วว่ะ
ตอนนั้น ผมต้องดึงไม้เท้ามาใช้สองด้าม เพราะเริ่มรู้สึกถึงอาการเสียวที่หัวเข่าตอนลงไปที่ wsน้ำตกเก้าโจน
ผมปักไม้เท้าขวาไปข้างหน้ายันไว้ และเอาขาขวาก้าวลงก่อน เพื่อให้ขาตึงเสมอ จะลดความเจ็บ ITB ได้
บางช่วงก้าวซ้ายขวาลงปกติ แต่ต้องโน้มตัวไปข้างหน้า และก้าวยาวๆ เพื่อให้ขาขวาตึงเช่นกัน
ผมเร่งฝีเท้าไปเรื่อยๆจนไปถึง ws1 ซึ้งทำเวลาได้ไวกว่าแพลน
ถึงจุดที่ต้องขึ้นเขาลูกที่สอง เขาเขียว ตอนนี้อาการผมไม่ค่อยดี
จากที่เจ็บเฉพาะขาลง เริ่มมีเจ็บขาขึ้นตามมา
ผมต้องใช้ไม้เท้าขวาปักไปข้างหน้าดึงตัวขึ้น และไม้เท้าซ้ายยันข้างหลังช่วยดันตัว
ผมเริ่มหยุดพักเป็นช่วงๆ เพราะความไม่ฟิต และต้องออกแรงมากกว่าปกติ
ตอนนั้นนอกจากเข่าเจ็บ น่องตึง ผมรู้สึกถึงอัตราการเต้นหัวใจที่สูงผิดปกติ
(เป็นผลข้างเคียงของยา Meloxicam มันไปเพิ่มความดันโลหิต ซึ่งตอนเกาะช้างผมไม่รู้สึกเพราะฟิตกว่าและไม่ได้ชันขนาดนี้)
จนแล้วจนรอดก็ไปถึง ws2
ผมรีบหยิบโพยขึ้นมาดู ค่อยชื้นใจหน่อย เพราะมาก่อนแพลน 10 นาที
เริ่มจับสเต็ปได้ เลยใช้เทคนิคไม้เท้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ
และพยายามคุมหัวใจตัวเองไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคือ ตัวเองเดินหนืดๆล้าๆมาก
เลยลองอัดซีเรียลแท่งกับยูโร่คัสตาร์ดไป ดีขึ้นหน่อย สงสัยจะหิว
จนกระทั้งถึงทางต้องขึ้นเขาแหลม
อัดเจลไปอีกซอง เดินขึ้นไป ก็จับเวลาไป
รู้สึกเจลช่วยได้นะครับ ตื่นตัว แต่อากาศร้อนมาก
ความรู้สึกผมว่ามันไม่ชันเท่าเขา 1-2ลูกแรก แต่ก็ทำให้ผมพักถี่มาก แทบจะทุกสิบเก้า
ผมถึงยอดเขาแหลมตอน 13:20 ช้ากว่าที่แพลนไว้ว่าควรถึง 12:40
ตอนนั้นแพลนเสียหายไปมาก หิวก็หิว เลยมีโอกาสถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วต้องรีบไปต่อ
ผมมีเวลาเพียง 70นาที สำหรับการลงยาวๆ เพื่อไปให้ทันคัทออฟ1
ท่อนนี้เป็นความลำบากที่สุดในเส้นทาง เพราะองศาการลงลาดชันกว่าขึ้นมาก
เสต็ปไม้เท้าผมเริ่มใช้ไม่ได้ผล ผมต้องใช้ไม้เท้าปักไปข้างหน้า และก้าวเท้าชนเท้าทีละข้าง
นาฬิกาที่ข้อมือขึ้นเพซเป็น 00:00 หมายความว่ามันช้ากว่า 30นาที/กม
บางช่วงผมใช้วิธีการที่เสี่ยงหน่อย คือก้าวเท้ายาวๆวิ่งลงไป มันไม่ค่อยเจ็บ แต่มันก็อันตรายที่จะหน้าทิ่มได้
ผมเร่งฝีเท้าจนเข้า cutoff1 บ้านกีร์ ก่อนเวลาเพียง 5 นาที
คว้ากล้วย4ลูกข้าวต้มมัด1คู่ เกลือแร่สองขวด นำเปล่า1ขวดใหญ่ ออกมา checkout
แอบเซ็งที่จุดนี้ เพราะเขานับเวลาที่ตอนขาออก ไม่ได้รับเวลาขาเข้า
นั่งชิลที่แคมป์ไม่ได้ ต้องออกมานั่งกินกลางแดด หลังเส้น checkout
ตอนนั้นนั่งเกลาดเกลื่อนเหมือนแรงงานอพยพมาก
ชาวกลุ่มสุดท้ายพูดคุยชมเชยและเฮฮาถึงเรื่องเวลาตัดตัว รวมถึงให้กำลังใจกันและกัน
บางคนถอดใจ และอีกหลายก็คนเสียใจที่เข้า cutoff ไม่ทัน
ผมก็แอบถามตัวเองเช่นกันว่าจะไปหรือไม่ไป 8กม กับเวลาอีกแค่ 3ชม
ถ้าไปต่อผมอาจไม่ทัน เหนื่อยฟรี ไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้าไม่ไป ผมก็นั่งรถกลับแคมป์ กินข้าว แช่น้ำร้อนที่อุทยาน เพื่อรอเพื่อนวิ่งเสร็จและกับบ้าน..
สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะเสี่ยง
ใช้เวลาพักอยู่ 7นาที รีบลุกเพื่อไปต่อ
แต่ด้วยความตะกละ มันเลยทำผมจุกพอสมควร ฮ่าๆ
ผมเดินได้ทีละหน่อยๆ กับการขึ้นเขาลูกที่สี่ ซึ่งเป็นลูกสุดท้าย
ตอนนี้ ผมต้องเริ่มออกคำสั่งกับตัวเอง เหมือนที่เคยทำๆมา
“ตัดสินใจมาแล้ว ก็ต้องไปให้จบ..”
“ที่ทำมาทั้งหมดต้องไม่สูญเปล่า..”
ตอนนั้นทุกคนดูล้ามาก ผลัดกันแซงไปมาอยู่เรื่อยๆ
จนผมเริ่มมาเป็นจ่าฝูงนำทาง โชคดีที่ภูเขาลูกนี้ไม่ชันมากนัก
และแล้วผมก็เจอป้าย End of Up Hill บอกตามตรง ผมรักป้ายนี้มากกกก
ในช่วงขาลง หลายคนก็เริ่มวิ่งแซงผมลงไป
จนเหลือประมาณ 2กม สุดท้าย กับเวลา 32 นาที
ผมจำตัวเลขได้แม่น เพราะตอนนั้นผมเดินที่เพซเฉลี่ย 17 ซึ่งไม่ทันแน่ๆ
ผมเลยตัดสินใจที่จะเจ็บเป็นเจ็บ สับให้ได้ไม่เกินเพซ14
แต่ก็ฝืนหัวใจตัวเองเกินไป จนบางทีผมต้องยืนพักในช่วงขาขึ้นบันไดหิน
ขณะที่ผมเหลือ 1 กิโลเมตรสุดท้าย กับเวลา 10นาที
มีน้องเดินมาบอกว่า เขาต่อเวลาให้อีก 1 ชั่วโมง
เท่านั้นหละ ผมโครตจะดีใจ
ลดความพยายามลงมาเพื่อไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บเกินไป
แต่ยังเร่งสับเท้าเพื่อให้ทันเวลาของ cutoff แรก อยู่
จนแล้วจนรอด ก็ไม่ทันคัทออฟเวลาเดิม
ผมเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 11ชม กับ 7นาที
อันดับที่ 475 จากทั้งหมด 852
ถามว่าดีใจไหม ก็ดีใจนะ
แต่ปนๆกับความแย่และความไม่สนุกเท่าไรที่ตัวเองบาดเจ็บ
ทางที่ควรจะวิ่งลงสนุกๆ หรือเดินขึ้นเอื่อยๆเรื่อยๆตามสไลต์ มันทำไม่ได้
มาเพื่อพิชิต เพื่อเอาชนะล้วนๆ
แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ดีและเทคนิคที่เรียนรู้เองระหว่างทางหลายอย่าง
สุดท้าย ก็สะกิดใจสอนตัวเองอย่างหนึ่งว่า
“ชนะแล้วได้อะไรวะ เชี่ย นอนอยู่บ้านให้หายแล้วค่อยวิ่งก็สิ้นเรื่องสิ้นราว..”