ตอนแรกว่าจะ รีวิวแค่สนามโป่งแยง 2017 – 100กม (ย้อนรูท) แต่คิดไปคิดมา ขอบันทึกทุกเรื่องราวเก็บไว้อ่านในอนาคต เผื่อว่าวันหนึ่งตัวเองจะหลงลืมในบางจุดไป ..

พยายามจะเขียนตั้งแต่วันก่อนละ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ไปทำอะไรมาบ้างวะ ความจำหายไปชั่วขณะ จนได้ไล่ๆอ่านของเพื่อนหลายคนๆ และเม้ามอยกับปลาเลยระลึกชาติได้

เป็นบอสตัวใหญ่ที่สุดที่ตั้งเป้าจะพิชิตตั้งแต่ต้นปี 2017 ว่าจะขอจบ 100กม สักครั้งในชีวิต และต้องมาจบที่งานโป่งแยงเทรลนี้ด้วย เพราะดีที่สุดในประเทศไทย ดังนั้นไม่มีใครป้ายยามา ตรูดมกาวสมัครเองล้วนๆ

ปี 2016 วางแผนไว้ไต่ระยะไว้และทำได้สำเร็จ แม้จะหวุดหวิดไปหน่อย จบ จอมบึง42กม, โคลัมเบีย50กม และตามด้วย โป่งแยง 66กม แต่พอเข้าปี 2017 แม่งดันไป DNF แรกที่เกาะช้าง 70กม ตามด้วย DNF งาน CM6 70กม .. อ้าว แววบรรลัยมาเยือนแล้ว สุดท้าย 4 เดือนก่อนจะมาวิ่งงานนี้ เลยต้องลงงานรัวๆ เท่าที่พอจะสมัครได้

เก็บระยะ วัดชัยมงคล42กม, ปีนเขาหลวงสุโขทัย, Tanaosri Hill Repeat 2 รอบ และปิดท้ายด้วยซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ UTCR 66กม.. ก็จบได้ด้วยดีเกินคาด เลยพอเบาใจได้นิดนึง แต่ก็ยังกลัวๆอยู่ เพราะไม่เคยไปเกินระยะ66กม และออกกำลังกายต่อเนื่องข้ามวันข้ามคืน

เพราะมีประสบการณ์เกาะช้างที่ลุกลี้ลุกลนจนไม่ได้พักผ่อนและวิ่งไม่จบ รอบเชียงรายกับโป่งแยงครั้งนี้เลยบินไปกินๆ นอนๆ รอเชียงใหม่ก่อนหน้า 2 วัน กับมิ้น พี่อั้ม ขวัญ พี่อาน่า เลยจัดอาหารชุดใหญ่เท่าที่จะหากินได้อร่อยๆ, มิ้นจะบอกเรื่อยๆ ว่าควรโหลดอะไร ไม่โหลดอะไร ก็กินตามมันนั่นหละ หลักๆเป็น พิซซ่า สลัด เสต็ก ข้าว


วันศุกร์ไปรับ BIB เจอเพื่อนพ้องน้องพี่คุ้นหน้าคุ้นตากันเพรียบ ส่วนใหญ่เจอกันตามงานเทรลและอัลตร้าที่อื่นๆ และตั้งใจมาเปิดร้อยกิโลแรกที่นี่เหมือนที่ผมทำ เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่า “มันต้องโดนๆ!!”

เช้ามืดวันเสาร์ เสียงปล่อยตัวดังตอน 05:08น. เลทนิดหน่อยเพราะนักวิ่งระยะร้อยเยอะถึง 500คน ผมวิ่งประกอบพี่เก่งไปเรื่อยๆ ลงจากสวนสิริกิติ์ฯ และวิ่งย้อนขึ้นมาเลยจุดสตาร์ทไป ช่่วงนี้ยังทำความเร็วได้ดี จนเข้าจุด W1 เจอเอ๋ มิ้น พวกนักวิ่งขาแรง ยังแอบตกใจ เฮ้ย กรูมาทันกลุ่มนี้ด้วยว่ะ ปกติไม่เคยเจอ ฮ่าๆ แล้วก็วิ่งยาวไปเรื่อยจนถึงลำธารขวางตรงหน้า เลยหยุดถอดรองเท้าถุงเท้า เพื่อข้ามน้ำกัน แม่งเสียเวลาไป5-10 นาที แต่เอาเถอะ ดีกว่าเท้าเปียกแต่ต้น แล้วก็อัดมาเรื่อยๆจนถึง A10 เช็คพ้อยแรก 15 กม

ตอนเข้า A10 กินขนมกล้วยที่พกมาไปชิ้นนึง กับเกลือแร่ขวดที่จัดให้ไปหน่อยนึง กะว่ามันจะช่วยเพิ่มแรงเพราะต่อจากนี้ไปต้องขึ้นต่อเนื่อง 1,000เมตร ระยะทาง 10กม เพื่อไปยอดดอยปุย จุดที่สูงที่สุดในเส้นทางนี้ .. แต่ก็ไปต่อได้ไม่นานกี่กิโล ผมเริ่มมีอาการเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นแรง และค่อยๆหลุดจากพี่เก่ง จนละสายตากัน ตอนนั้นหลายๆคนเริ่มแซงไปทีละคนๆ และแล้ว ก็มาเจอผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากพุ่มไม้ มองหน้าแบบเหวอๆ “อ้าววว เฮ้ยย! นึกว่าไปไกลแล้ว” นางตอบ “เออ ทำไมต้องมาเจอตอนนี้ด้วยวะ เพิ่งแวะส่งแฟกซ์เสร็จ” ไหนๆก็เขียนถึงละ ขอแท็กชื่อเลยละกันว่าคนที่แอบไปขี้มาคือหญิงปลา นั่นเอง..

หญิงปลาแม่งดีดมาก เดินไวจนนำผมไปเรื่อยๆ แต่ก็หยุดรอเป็นพักๆ พอไล่ให้ไปก่อนแล้วแม่งก็ไม่ไป ไม่ใช่ว่าพิศวาสอะไรผมหรอกนะ ชีแค่ตอบกลับเบาๆ “แล้วกลางคืนเราจะเดินกับใครวะ กลัวผีเว้ย..” โอเค ดีล งั้นลากตรูไปด้วย..

ผ่านยอดดอยปุยและเข้ามาถึง A9 แบบเกินเวลาจากแผนไป 7 นาที แต่ก็ตัดสินใจเสียเวลานั่งกินข้าวผัดต่อ เผื่อจะมีอะไรดีขึ้น ปลาบอกว่า ที่หมดแรงน่าจะเพราะไม่ได้กินอะไรและกินเกลือแร่ เลือดมันเลยข้น พอผมฟังเท่านั้นแหละ นึกถึงตอนปีนภูเขาที่เนปาลเลย อาการแม่งแบบเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมา ก็เลยจิบน้ำเปล่าเรื่อยๆ และไม่กินเกลือแร่ตลอดเส้นทาง

จาก A9 ไป A8 เส้นทางร่มรื่น สวย สโลปลงพอจะวิ่งได้ แต่ก็จะเดิน มีไรป่ะ เพราะตอนนี้กางเกงแม่งเริ่มบาดไข่ละ รู้สึกคันๆ จนมาถึง A8 เลยแวะเข้าห้องน้ำไปขี้ทีนึง จนพอโดนน้ำเท่านั้นหละ แม่งแสบเลย .. นรกมาเยือน อีก 70กิโลหลังจากนี้แม่งหนังชีวิต ชิตฟิวส์กับไข่มหัศจรรย์ .. แล้วความอนาถคือ ตรูลืมพกวาสลีนมาด้วยจ้าา ต้องขอวาสลีนจากหญิงปลา ซึ่งช่วยได้ไม่มากเท่าไรเพราะเป็นแผลไปแล้ว T-T

จาก A8 ไป CP1, A7 บางท่อนแม่งทางเป็นน้ำๆ โคลนๆ อยู่เรื่อยๆ เริ่มเจอแก๊งม้า ถ้าจำไม่ผิดจะมี ม้า21 ม้า22 และก็เจอแก๊งค์แบ็คโฟร์สวนกุหลาบ OSK 115 ผลัดกันแซงๆ เป็นระยะๆ เริ่มคุยกันว่าระยะแม่งเพี้ยนละ เดินเท่าไรก็ไม่ถึง CP1 สักที และพอไปถึง ก็ไม่คัทออฟที่นี่ตามแผนที่ด้วย แต่เลื่อนไปคัทออฟที่ A7 แทน คือไปไกลขึ้นอีก 3กิโล แต่เวลาคัทออฟเท่าเดิม คือ 17:15น ก็เลยรีบอัดๆกันไป จนเข้าที่ประมาณ 16:00น ซึ่งตอนนี้ผ่านระยะ 46กม แล้ว ใช้เวลาไป 11:00ชม (ระยะที่นาฬิกาผม)

กินข้าวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ A7 เสร็จ โครตโชคดี ใน Drop Bag นี้มีวาสลีนโหลดมาด้วย ก็เลยโปะเป้าเต็มที่และพกไปด้วย ใช้เวลาที่ CP นี้ราวๆ 15 นาที ก็รีบออกเดินทางต่อ ตอนนี้เข้าสู่เส้นทางที่ผมเคยวิ่งโป่งแยง66 เมื่อปีก่อน เลยจำได้ว่า A6 ผานกกกมันชันมาก แต่พอขึ้นเขาลูกแรก กลับไม่ชันอย่างที่คิด และเหมือนว่าเส้นทางจะเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรจนผมจำไม่ได้ ใช้เวลาพักใหญ่ก็ถึงยอดเขาและเจอไร่กะหล่ำ (ซึ่งปีก่อนเหมือนจะเป็นไร่กุหลาบ) เดินราบๆ และเจอขาลงยาวๆ แล้วก็ย้อนกลับขึ้นมาแบบชันๆ อีกรอบ ก็มาถึง A6 ผานนกก

A6 ผานกกก มีเวลาเหลืออีก 1 ชั่วโมงก่อนคัทออฟ ผมเริ่มเจอเพื่อนๆ DNF กันบ้างแล้ว, ตอนนั้นประมาณ 19:30น มืดแล้ว พวกเราที่เหลือ มีแก๊ง OSK115 กลุ่มพี่เสื้อเทา และเพื่อนอีก 3-4 คน เกาะกันไปเรื่อยๆ เพื่อไป A5 ซึ่งเส้นทางนี้เป็นป่าไผ่ แม้ระยะทางแค่ 5.4 กม ไม่ไกลนัก แต่แม่งชันม๊ากก ทำได้แค่เดินไปพักไป ลมแม่งก็แรง ความหนาวเริ่มมาเยือน .. แต่จุดที่แปลกคือ ผมเริ่มดีดว่ะ เดินได้เรื่อยๆแบบไม่เหนื่อย ทำให้บ่อยครั้งเป็นแนวหน้ากลุ่ม

ไปถึง A5 บ้านกองแหะ ก่อนคัทออฟเพียง 1 ชั่วโมง กินข้วาเหนียวหมูไปห่อนึง ได้น้ำแดงแฟนต้าอีกแก้ว โครตชื่นใจ ที่นี่ปลาและเพื่อนคนอื่นๆเริ่มลังเลว่าจะไปต่อดีไหม เพราะเหมือนใกล้จะหมดแรง เขาถามผมว่าทางข้างหน้าไป A4 เป็นไง ผมตอบได้แค่ว่าคุ้นๆว่าชันพอสมควร แต่ก็ไม่มากเท่าป่าไผ่มื่อสักครู่ ปลาก็เลยตัดสินใจไปต่อ .. เช่นกัน ทางแม่งเปลี่ยนไป เหมือนทำดีขึ้น ก็เลยไม่ชันเท่าที่ผมรู้สึกจากปีก่อน ท่อนแรกๆเป็นถนนชัน จากนั้นก็ขึ้นลงๆไปเรื่อยๆ ไม่ยากมาก

จาก A5 ไป A4 ผมยังคงดีดเหมือนเดิม เดินนำมาตลอดทางจนหลุดถึงถนนแม่ริม- สะเมิง ผมเดินคนเดียวทิ้งปลาไว้อยู่กับกลุ่มใหญ่ แต่ก็ได้ยินเสียงเพลงที่ปลาเปิดพยายามมาใกล้เรื่อยๆ แต่แล้วก็ห่างออกไป ที่เร่งเพราะผมเข้าใจว่าคัทออฟคือ 00:00น และแล้วผมก็ไปถึง A4 จุดชมวิวสะเมิง ตอน 00:00น พอดี แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าคัทที่ 00:30น ผมเลยรีบตะโกนเรียกปลากับคนอื่นๆ ให้รีบมาเข้าเช็คพ้อย

ที่ A4 ผมเจอคนนั่ง DNF เยอะพอสมควร เพราะติดถนนใหญ่ ปลาบอกผมว่าหมดแรงแล้ว ไปไม่ไหวจริงๆ จะไม่ไปต่อแล้ว ผมพยายามพูดและดึงให้ไปอยู่นาน นางก็ไม่ยอม งอแง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกใครทิ้งใคร สุดท้ายผมก็ให้ปลาอยู่ที่นั่น และเดินออกมาคนเดียว ทุกคนในเต็นท์ตะโกนโห่ร้องเชียร์ปิดท้ายส่งผม “ผู้กล้าาาา..”

ผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไม ส่งท้ายว่า “ผู้กล้า” คนที่ไปก็นำไปกันหมดแล้ว คนที่ไม่ไปก็ DNF หมดแล้ว เหลือผมตัวคนเดียว และเป็นคนสุดท้ายของเรซ กับเวลาอีก 15นาที ที่ผมเหลือ GAP จาก A4, ผมเดินไปก็คิดไปว่าจะย้อนกลับมา DNF ดีไหมวะ เพิ่งผ่านมาไม่กี่ร้อยเมตร ความหวังริบหรี่ชะมัด และแม่งตอนนั้นก็มีความกลัวเข้ามาแทรก เพราะลมแรงและมืดสนิท มีแค่ไฟจาก Headlamp กับแสงจันทร์ มองไปริมถนนทางไหนแม่งก็เจอแต่ศาลพระภูมิ ได้ยินเสียงเป้น้ำก็คิดว่าคนเดินตาม หางตาเห็นตอไม้ก็คิดว่าคนนั่งมอง เสียงไม้ไผ่เสียดสีกันก็เหมือนเด็กร้อง โอ๊ยยย ความกลัวมาเต็มๆๆ ก็แผ่เมตตาออกไปตามที่เคยปฏิบัติ สุดท้ายเริ่มมีสติ กลับมาคุยกับตัวเองอีกครั้ง “มาตั้ง 70กม แล้วนะ จะยอมให้สิ่งที่ทำมาทั้งวันทั้งคืนสูญเปล่าหรอวะ” ก็เลยตัดสินใจไม่ย้อนกลับไปหาคนข้างหลัง แต่จะรีบตามไปหาคนข้างหน้าแทน ก้มหน้าก้มตาเร่งฝีเท้าเดินไปเรื่อยๆ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

พอหลุดถนนใหญ่เข้าไปทางขึ้นเขา ผมก็เห็นแสงไฟนักวิ่ง เลยตะโกนว่ารอผมด้วยๆ ปรากฎว่าเป็นแก๊งค์แบ็คโฟร์ OSK 115 ต้องขอบคุณมากจริงๆ ที่ยังรอและมาด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง เราเริ่มไต่เขาเข้าหมู่บ้าน ไม่แน่ใจว่านอร์ทหรือโจ้ บอกให้ผมนำไปก่อนได้เลย เพราะเขาอาจจะไปเรื่อยๆและไปนอนกันที่ A3 ผมก็เลยเร่งฝีเท้าเดินมาเรื่อยๆ เส้นทางนี้ไม่ยากอะไร พอขึ้นพ้นหมู่บ้าน ก็เป็นทางขึ้นลงนิดๆหน่อยๆ ผมกลับมาเดินคนเดียวอีกครั้ง ความกลัวไม่มีเหมือนเดิม แต่ความเบลอกลับเพิ่มขึ้น เดินหลงทางไปสองครั้งเพราะเป็นทางแยกและไม่เห็นความเชื่อมต่อของริบบิ้นกับป้ายสะท้อนแสง ก็เสียเวลาเดินย้อนกลับมานิดหน่อย เลยต้องเร่งฝีเท้าให้มากขึ้นไปอีกเพื่อชดเชยเวลา จนตามไปเจอพี่่เสื้อเทากับลุงเสื้อน้ำเงิน (ผมขอโทษจริงๆ ผมจำชื่อพี่ทั้งสองไม่ได้) เราเดินมาด้วยกันจนถึง A3 วัดโป่งไคร้ ก่อนเวลา 45 นาที ถือว่าทำเวลากลับคืนได้ดี แต่ยังอันตรายอยู่

ที่ A3 แม่งโครตอนาถ ต้องแบ่งกันกินข้าวเหนียวหมูห่อสุดท้ายและน้ำแดงแฟนต้าที่เหลืออีกนิดหน่อย เรารีบจัดแจงของใน Drop Bag เสร็จ ผมใส่เสื้อกันลม แล้วก็พุ่งตัวออกมาทันที เส้นทางจาก A3 ไป A2 ผมคุ้นๆว่าชันมาก แต่พอเจอของจริง รอบนี้ทำไมชั๊นชันและยาวนานกว่าที่คิดวะ เดินเท่าไรก็ไม่สุดสักที ตอนนั้นผมยังคงดีดอยู่ เป็นผู้นำกลุ่ม จนผมเริ่มหลุดไม่เห็นพี่สองคนนั้นตอนใกล้ยอด แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวแกคงทัน ก็เลยเดินมาเรื่อยๆคนเดียว ไม่ได้กลัวอะไร (ดีนะ เพิ่งรู้จากพี่เก่งนี่แหละว่ามันเจอผีตรงนี้) จนหลุดจากป่ามาเจอสวนผักชาวบ้าน ตรงนี้ลมแรงมากๆ และหนาวทะลุเสื้อเลยทีเดียว ตอนนั้นรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะมันโล่งๆ มองเห็นดาว เห็นไฟไกลๆระยิบระยับ (แถวม่อนแจ่ม) แต่ก็ยังรีบเดินต่อไป จนเข้าจุด A2 ตอน ตี4 ครึ่ง

ที่ A2 ผมแปลกใจมากเพราะเจอมิ้น ผมคิดว่ามิ้นวิ่งจบไปแล้ว ซึ่งมิ้นบอกว่ามาถึงตั้งแต่ตี2 แต่แวะนอนพักครู่หนึ่งเพิ่งตื่น พอจะไปต่อก็หนาวมาก เสื้อที่พกมาเอาไม่อยู่และคิดว่าจะ DNF ตรงจุดนี้ ผมเลยให้ Emergency Blanket ไป และมีชาวบ้านตัดถุงดำคลุมให้อีกที แต่เจ้าหน้าที่เห็นคงสงสาร ก็เลยให้ยืมเสื้อแจ็คเกตมาตัวนึง สุดท้ายมิ้นเลยตัดสินใจไปต่อ และพวกเราต้องรีบออกจากจุด A2 นั่นทันที เพราะถ้าไม่ออกก่อน 05:08น จะถูกตัดเป็น DNF ทันที

ตอนนี้แรงผมหมดแล้ว จู่ๆก็ง่วงมากๆ จะวูบหลายรอบ เพิ่งเคยเป็นกับตัวเองครั้งแรก หรือศัพท์ที่นักวิ่งเรียกกันว่าเข้าสู่โหมด Auto Pilot หรือ ขับเคลื่อนอัตโนมัติ หมายความว่า หลับในขณะวิ่ง ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าขาผมยังขยับอยู่ แต่เคลิ้มหลับตลอดเวลา พอจะรู้สึกได้ว่าเป๋ไปเป๋มาและรู้สึกว่ามิ้นจะพยายามคุยกับผมเรื่อยๆ ตอนนั้นผมสะดุดเท้าตัวเองทีก็ตื่นที เป็นตั้งแต่เริ่มออก A2 จนลงมาสุดถนนประมาณ 2กิโลก่อนเตรียมขึ้นเขาอีกรอบ ตอนนั้นเหมือนถูกสั่งว่าต้องตื่นได้แล้ว จู่ๆก็เลยตื่นทันที หลุดจากโหมด เออ แปลกดี … แต่ก็โล่งใจที่ไม่ใช่ตัวเองเป็นคนเดียว เพราะหันไปข้างทางเห็นนักวิ่งบางคนนอนสิงอยู่โคนต้นไม้เช่นกัน (ก็ถูกไล่ออกมาจาก A2 นี่หว่า ใครอยู่โดนปรับ DNF หมด)

ผมกับมิ้นเดินขึ้นไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้เร่งมากนัก จนไปถึงจุดที่จะขึ้นเขาม่อนล่อง ซึ่งเป็นที่ตั้ง A1 มิ้นก็ได้เร่งเดินมากขึ้น ตอนนั้นผมยังพอเร่งตามได้บ้าง แต่มิ้นคงได้ยินเสียงหอบผมก็เลยหยุดแล้วหันมาถามว่าพักไหม ก็เลยพัก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนถึง A1 ม่อนล่อง จุดเช็คพ้อยสุดท้ายของงาน ตอนประมาณ 06:45น ที่นี่พบคนที่ไม่คาดคิดเยอะ อย่าง แอน ซีอิ๊ว พัน เพราะคิดว่าน่าจะจบกันหมดแล้ว

ผมสังเกตอาการมิ้นตอนลงจากม่อนล่อง ดูบาดเจ็บ ผมเลยถามมิ้นไป มิ้นบอกว่าเป็น ITB ลงลำบาก แต่ทางขึ้นกับทางราบยังสบายๆ ผมเลยคำนวณเวลาว่า เราเหลือทางลงดิ่งๆ 8กิโล และขึ้นชันอีก 2กิโล กับเวลาอีกแค่ 3 ชั่วโมง ต้องเร่งพอสมควร ผมเลยบอกมิ้นว่าขอลงนำหน้าไปก่อน และให้มิ้นไปแซงผมตอนขาขึ้น 2กิโล สุดท้าย เพราะตอนนั้นผมคงขึ้นได้เอื่อยๆ มิ้นเลยตกลง ผมก็วิ่งแซงมิ้นมา

เส้นทางขาลงเพื่อไป Botanic Resort ผมรู้สึกไม่คุ้นอีกแล้ว ผมจำได้ว่าปีก่อนสวยมาก เป็นป่าสนเคล้าหมอก แต่ตอนนี้กลายเป็นไร่สวนชาวบ้านเยอะมาก คือถ้าไม่ได้เปลี่ยนเส้นทาง ก็แอบรู้สึกเสียดายนะ

ผมวิ่งเหยาะๆลงไปเรื่อยๆ โดยตั้งใจว่าจะให้เหลือเวลาอย่างน้อย 1ชั่วโมง เพื่อใช้เดินขึ้น 2กิโล สุดท้าย ตอนนั้นเริ่มแซงได้สองสามคน จนมาเจอพี่คนหนึ่งเดินตัวเอียง กระเผกๆ ผมเลยชวนคุย แกบอกว่า อยากจบสนามนี้มาก เพราะฟิตซ้อมมาตลอดทั้งปีเพื่อให้จบ 100กิโล แกบอกว่าอายุผมมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำแบบนี้อีกเมื่อไร ผมบอกไปว่าถึงเข้าไม่ทันเวลาแต่ได้เข้าเส้นชัย ก็นับเป็น Finisher แล้วครับ ได้เหรียญได้เสื้อ แต่เราไม่ได้คะแนน ถ้าเราไม่เอาคะแนนก็ไม่ซีเรียสอะไร ก็บอกว่า เออน้องคิดดี ซึ่งมันก็จริง แต่มันไม่สมบูรณ์แบบ พี่อยากเข้าเส้นชัยให้ทันตามเวลาที่กำหนดไว้ .. โอ้โฮ กินใจโครตช็อตนี้ .. จนพอถึงทางลง ผมก็ลาแกเพื่อวิ่งเหยาะลงไปเช่นเดิม ..

ลงมาถึง Botanic Resort เจอพี่ตั๊บเพื่อนปลาพอดี เลยเดินมาด้วยกันแบบสบายใจ ผมรีบเปิดโทรศัพท์และไลน์บอกเพื่อนทันที ให้มารอรับที่เส้นชัย เปิด Zello เพื่อวอบอกปลาว่ามาถึงแล้ว ลงไปจนถึงถนนใหญ่ตอน 8:45น. ซึ่งตอนนั้นนักวิ่งที่เดินผ่านเริ่มให้กำลังใจว่าใกล้ถึงแล้ว

ทางขึ้นเนินชันๆ 2กิโล สุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย จู่ๆ พี่ที่เดินตัวเอียงก็มาทำให้ผมเซอไพร้อีกครั้ง แกมาไวมากๆ แกบอกว่าแกเป็นนักปั่น เลยขาขึ้นจะไวหน่อย ซึ่งผมมารู้ทีหลังจากปลาว่า แกชื่อ ลุงอ้วน เป็นนักไตรกีฬาระดับ Iron Man (เชร้ดดด!!..) ตอนนั้นก็เดินเกาะกลุ่มกันไป มี แอน พัน ผม ลุงอ้วน และเพื่อนๆอีกสี่ห้าคน

เริ่มเข้าใกล้เส้นชัย ทุกคนริมตะโกนร้องเชียร์ สลับกับปรบมือให้ ได้ยินเสียงโปรหนำผ่านไมค์ประกาศชัยชนะของนักวิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงบันไดเส้นชัยที่นักวิ่งโป่งแยงทุกคนอยากจะมาให้ถึง ผมวิ่งซอยเท้าขึ้นไปผ่านประตู Finish ตอนเวลา 09:24:45น. ผมวิ่งจบอัลตร้าเทรล 100 กิโลเมตร ได้ตามความฝันแล้ว สิ้นสุดการผจญภัยที่ยาวนานถึง 28:16ชั่วโมง ทุกอย่างที่ทำมาและซ้อมมาทั้งหมดไม่สูญเปล่า..

ต้องขอบคุณร่างกายและจิตใจของตัวเองที่พามาถึงวันนี้ได้
ขอบคุณปลาที่มาด้วยกันเกือบ 70กิโล ให้วาสลีน ให้ขนม ให้เสียงเพลง ให้กำลังใจ ช่วยลาก และอยู่ด้วยกันตลอดทาง ขอบคุณจริงๆ แอบรู้สึกผิดที่ทำให้เปลี่ยนใจกลับเข้าเรซไม่ได้ เลยทำให้ปลาไม่จบ
ขอบคุณมิ้นที่ให้วิตามิน ให้ความรู้เรื่องอาหาร ขับรถกลับให้ และช่วยลากมาตอนท้ายๆ และก็โดนผมทิ้งไป กระซิกๆ
ขอบคุณพี่เก่งที่ช่วยลากมาตอนต้น แต่งวดนี้พี่เทพจริงๆ ผมตามพี่ต่อไม่ไหว เราเลยไม่ได้ไปด้วยกันต่อ (งานหน้าแก้ตัวนะ คือพี่ต้องมาช้ากับผมนะ ไม่ใช่ผมไวตามพี่)
ขอบคุณแอน ซีอิ๊ว พี่ตั๊บ พี่พัน แก๊งแบ๊คโฟร์สวนกุหลาบOSK115 กลุ่มพี่เสื้อเทา ลุงเสื้อน้ำเงิน แก๊งม้า และอีกหลายๆคนในเรซ ที่มาด้วยกัน ช่วยลากกัน รอกัน แบ่งขนมให้ คอยพูดส่งพลังให้กันตลอดทาง กราบในหัวจิตหัวใจ

ขอบคุณโปรหนำ อาจารย์นทีและผู้จัด ที่รังสรรค์สนามโหด

ขอบคุณแม่ ที่เชียร์ตลอด แม้รู้ว่ามันยังปิดมือถืออยู่ ยังไม่ได้อ่าน

ขอบคุณทุกแรงเชียร์และกำลังใจทุกคนด้วยนะครับ

สรุป
ระยะทางจากนาฬิกา: 106.86km
เวลาจากนาฬิกา: 28:16:05 ชั่วโมง
เวลา Official: 28:16:00 ชั่วโมง
เวลา Chip Official: 28:15:15 ชั่วโมง
อันดับ Overall: 310th of 465
อันดับ Division: 254th of 385
อันดับ Group: 254th of 385
Avg Pace Official: 16:57 / 1k
Avg Pace นาฬิกา: 15:52 / 1k

อาหารระหว่างทางรอบนี้ ผมกินแต่น้ำเปล่า และข้าวที่มีให้ตาม CP ทุกจุด กินขนมปังสองจุด ปรากฎว่าดีดมาก มีแรงขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย แม้จะออกฤทธิ์ช้าหน่อย(1-2ชั่วโมง)แต่อยู่ได้นาน ส่วนขนมอื่นๆผมมีกินเจลลี่สองเม็ด และวิตามินบีรวมบีรอคคาที่มิ้นให้ 1 เม็ดก่อนออกตัวกับที่ A3 ไม่กินเจล ไม่กินบาร์แท่ง ไม่กินเกลือแร่ (จิบไปหน่อยแล้วก็หมดแรงตอน A10)



Published by iFew

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ชื่นชอบหลายเรื่องที่ไม่น่าจะไปกันได้ ทำงานไอที แต่ชอบท่องโลกกว้าง รักประวัติศาสตร์ แต่ก็สนใจเทคโนโลยี ชอบสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และไปป้ายยาคนอื่นต่อ

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Exit mobile version