in Lifestyle

2021 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง

ปกติจะไม่ค่อยเขียนบล็อกอะไรประมาณนี้เท่าไรนัก อย่างมากก็คือเขียน Year Resolution ในเฟสบุ๊ค แบบหลายๆคนที่เขาทำกัน แล้วมันก็ไหลผ่านไป แต่ปี 2021 เป็นอะไรที่ เปลี่ยนแปลงเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิตเยอะมากจริงๆ จนอยากจะเขียนบันทึกไว้เป็นหมุดหมายให้ได้กลับมาอ่านระลึกในภายหลัง

ได้ขยับขยายและเปลี่ยนที่อยู่ใหม่

จากที่ไม่เคยมีความคิดมาก่อน ตั้งใจจะอยู่คอนโดที่ดินแดงไปเรื่อยๆ จนเลิกทำงานหรือย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นหรือกลับนครสวรรค์ แต่จู่ๆเมื่อ 2020 ก็เริ่มมีความคิดว่า เราอยากได้สังคมใหม่ๆ ที่สงบๆ ไม่วุ่นวาย อยากได้ที่อยู่ที่มีห้องใหญ่ขึ้น จะได้วางโซฟาเบดได้ เพราะเรานอนกรน เปิ้ลจะได้ไม่ต้องหนีไปนอนโซฟาเล็กๆ หรือต้องทนอดนอนบนเตียงตลอดคืน ก็ไปจองคอนโดที่หนึ่งไว้ที่ซอยรางน้ำ ห้องใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย แต่ทุกคนก็ทักท้วงว่า ราคาต่อพื้นที่แพงมาก (ตรม ละ 2.3แสน) เลยเปลี่ยนไปดูบ้านแทน โซนฝั่งธน กับ นนทบุรี แต่ก็ไกลจากกลางเมืองไปหน่อย สุดท้ายเปิดใจดู Low Rise แถวอารีย์ เรากับเปิ้ลก็ถูกใจ ได้ตามโจทย์ทุกอย่าง เงียบสงบ ใจกลางเมือง ของกินอุดมสมบูรณ์ ห้องใหญ่ เลยได้ย้ายมาอยู่ ช่วงปลายเดือน พค จนถึงตอนนี้ (ไว้จะเขียนบล็อกการเลือกทำเล และเหตุผล อีกที)

ลงทุนแต่งห้องใหม่ และลองจัดการแบบ Agile

หลังจากซื้อคอนโดใหม่แล้ว ก็ลังเลว่าจะตกแต่งห้องดีไหม เพราะไม่เคยอยุ่ในความคิดเช่นกัน คิดเพียงว่าจะซื้อเฟอฯ ซื้อของมาวางๆ แต่งเองว่างั้นเถอะ แต่หลายๆคน รวมถึงเปิ้ลคิดว่า ควรจะจ้างคนออกแบบและทำบิ๊วให้นะ ก็เลยตัดสนใจทำ

ระหว่างทำ ก็ลองทดสอบการจัดการแบบ Agile ไปด้วย คือกำหนดวิธีการทำงานให้ผู้รับเหมาเลย เอาห้องไหนก่อนหลัง ขอรายงานผลทุกวัน เรามาตรวจเช็คทุกวัน แจ้งดีเฟกทุกวัน กำหนดให้แก้อะไรก่อนหลัง ทะยอยส่งมอบห้องทีละห้อง แล้วเราก็ย้ายเข้ามาอยู่เองจริงๆ ด้วย จนห้องเสร็จสมบูรณ์ (ไว้จะเขียนบล็อกรีวิวละเอียดอีกที)

เข้าสู่โลกคลิปโต

เข้าสู่โลกนี้มาได้เกือบปี ได้เงินมาก็เจียดเอาไปถมพอร์ต จนตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าขาดทุนหรือกำไร รู้แค่ ตัวขาดทุนมีตั้งแต่ 30-90% หลายตัว แต่ทุนหลักพัน แต่ตัวกำไรมีสามสี่ตัว คิดเป็น 40% ของทั้งหมด ได้กำไรเกิน 100% พอจะขายก็เสียดาย คิดว่าไปต่อแน่ๆ แต่ถ้าไม่ขาย ก็ยังไม่ใช่รายได้ที่แท้จริงของเรา ลังเล แต่ก็คิดว่าตราบใดยังไม่ขาดสน ก็จะยังถือต่อไป

อ่านเรื่องราว เต็มๆ ที่เกี่ยวกับคลิปโตของผมได้ที่นี่ เรื่องเล่าหลังจากเทรด Crypto ได้ 5 เดือน

ทำอะไรกับตัวเองบ้าง เช่น ปลูกผม ฉีดสเต็มเซลส์ ฉีดโบท็อก ฉีดเมโสแฟต

เรื่องพวกนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดเช่นกัน แต่วันหนึ่งเรารู้สึกว่า ผมเราเริ่มร่วงเยอะเกินไปแล้ว สกินเฮดเริ่มพรางตาไม่ได้ แล้วเราเองก็เริ่มถูกแซวบ่อยๆ เราไม่เคยคิดมาก่อนถ้าแซวอะไรเรา แต่เริ่มแซวเปิ้ลด้วย เราเลยคิดว่า ไปปลูกผมดีกว่า จะได้ลบจุดด้อยออกไป เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองด้วย และคนข้างๆเราจะได้ไม่รู้สึกไม่ดีด้วยจากการที่คนมาแซว ซึ่งเริ่มปลูก 10 เมษาฯ จนถึงวันที่เขียน ก็ผ่านไปแล้ว 8 เดือน ตรงส่วนด้านหน้าที่ปลูกผมขึ้นดกดำเป็นปกติดี แชแต่ตรงกลางกระหม่อมที่ฉีดเต็มเซลส์ ก็ขึ้นประมาณหนึ่งแต่ยังบางอยู่ คงต้องรอดูต่อไป โดยรวมแล้ว บอกตรงๆว่าดูดีขึ้น มั่นใจขึ้น ฮ่าๆ (ไว้จะเขียนบล็อกรีวิวละเอียดอีกที)

ช่วง 30 ตุลาฯ ปลากับป้ายุ่ย ชวนไปหาหมอศัลยกรรม หมอแนะนำให้ฉีดโบท็อกที่หน้าผาก กับฉีดเมโสแฟต เพิ่มกรอบหน้า คิดว่าไหนๆ มาแล้ว ก็เอาวะ ลองดูสักที.. เออเฮ้ยยย รอยย่นหน้าผากจางลงมาก หน้าเรียวขึ้นชัดเจน จนคนอื่นทัก ดีอ่ะ .. แต่จะไปเติมไหม ขอคิดก่อน ฮ่าๆ

ได้ลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ด้วยการทำคีโต

จริงๆ ทำคีโตมาตั้งแต่ กย 2020 แล้ว เข้มงวดกับตัวเองมากประมาณหนึ่ง น้ำหนักลดลงเรื่อยๆเลย แต่ลดได้มากสุดๆ จริงๆ ก็ช่วง เดือน เมษา 2021 นี่เอง จากเริ่มต้น น้ำหนักอยู่ที่ 111.2กก และลดได้ต่ำสุดๆ ที่ 92.9กก จากนั้นก็เริ่มผ่อนคลายลง เพราะรู้สึกว่าความยากในการทำไม่ใช่การที่เรางดคาร์บ เช่น แป้งหรือน้ำตาล แต่ความยากของมันคือการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งในขณะที่เราเลือกร้านอาหาร หรือทำอาหารกิน เปิ้ลเอง แม่ผม เพื่อนๆ เขาจะมีข้อจำกัดในการเลือกร้านอาหารมาก ว่าร้านไหน เป็นร้านที่ผมกินได้ด้วย ต้องดูในระดับเมนูเลย สุดท้าย ร้านที่ชวนกินบ่อยๆ ก็เป็นพวก ร้านอาหารญี่ปุ่น ชาบู สุกี้ ปิ้งย่าง ส้มตำ(ไม่ใส่ชูรส ไม่ใส่น้ำตาล) ซึ่งผมต้องขอบคุณคนรอบข้างทุกคนจริงๆ ที่พยายามเพื่อผมตลอดปีที่ผ่านมา (ไว้จะเขียนบล็อกรีวิวละเอียดอีกที)

ช่วงครึ่งปีหลังนี้เอง ผมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น กินปนเปื้อนเยอะขึ้น แต่ก็คงยังไม่กินขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน ข้าว เส้น ขนมปัง อยู่ เรียกได้ว่าตัวเองมาเป็นแนว Low Carb มากกว่าแล้ว ซึ่ง ณ วันที่เขียน น้ำหนักอยู่ที่ 100กก เรียกได้ว่า เด้งมาพอสมควรในช่วงเวลา 6 เดือน

เปลี่ยนงานใหม่ รูปแบบการทำงานใหม่ อุตสาหกรรมใหม่

ตั้งแต่ทำงานมา เริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ เป็น SA และมีแว่บไปทำ Business Development มาปีหนึ่ง แล้วกลับมาเป็นหลีดปรแกรมเมอร์อีกครั้ง จนมีโอกาสไปทำ Agile Coach อยู่ได้ 2 ปี ก็มาทำเป็น Operation Director อยู่โอริสมา จริงๆ เริ่มผันตัวเองชัดเจนว่ามาสาย Business + Management มากขึ้น แต่ด้วยธุรกิจเป็นซอร์ฟแวร์เฮ้า เลยยังมีความ Technology เยอะหน่อย เพราะต้องพ่วงทำ Technical Sale Support + Solution Architecture ร่วมด้วย

แต่เพิ่งมีโอกาสได้ย้ายมาทำที่โนเบิล ตอนเดือน ตุลาฯ เรียกได้ว่า จากแต่เดิมอยู่ในแวดวง Technology และเป็นสาย E-Commerce แทบตลอดชีวิต (Agile Coach ก็ยังโค้ชบริษัท E-Commerce แม้แต่ทำซอร์ฟแวร์เฮ้าก็ยังมีแต่งาน E-Commerce ฮ่าๆ) มาวันนี้บทบาทเปลี่ยนชัดเจน คือเป็น Business + Management เพียวๆ และอยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์แทน เรียกได้ว่าใหม่มากๆ ดีหน่อยว่าศัพท์และกระบวนการพอรู้จากตอนซื้อคอนโดมาบ้าง กับมีประสบการณ์และวิชา Management มาบ้าง

แต่ก็มีที่บางทีน้องเจอปัญหาทาง Technical ก็ลงไปคลุกวงในช่วยแก้ปัญหาให้ สนุกดี

มาลองใช้ชีวิตใต้น้ำ

ไม่เคยคิดอีกเช่นกันว่าจะมาดำน้ำ Scuba เพื่อนๆ ก็ชวนกันหลายปี แต่คิดแค่ว่าเรียนไปแล้ว จะได้ออกทริปกี่ครั้งกันเชียว และทริปหนึ่งก็ค่อนข้างแพง ก็เลยมองข้ามมาตลอด แต่แล้วจนวันหนึ่ง เพื่อนๆทะยอยไปเรียนกันจนหมด และเปิ้ลก็ไปเรียน ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้ว จนเขาเริ่มชวนกันออกทริป และมีแค่เราที่ไปด้วยไม่ได้ โถ่ว มันน่าเศร้านะ ก็เลยตัดสินใจลงเรียน ช่วง 18 ธค และก็เพิ่งลงทะเลสอบเมื่อ 26 ธค ที่ผ่านมา (ไว้จะเขียนบล็อกรีวิวละเอียดอีกที)

ซึ่งสกิลการดำ ไม่มีปัญหาใดๆ แต่ปัญหาใหญ่คือการเมาเรือนี่เอง อ้วกทุกครั้งก่อนลงน้ำและขึ้นจากน้ำ ตลอดการสอบในวันเสาร์ แต่ก็พยายามนอนเยอะๆ กินดี กินยาดัก วันอาทิตย์ก็เลยแค่พะอืดพะอม จนสอบจบมาจนได้ แต่อย่างไรก็จะลองสู้กับมันดู ลงทริปชุมพรไปแล้วหละ มีนาคม 2565 เป็นอย่างไร เดี๋ยวมาเล่าอีกที

ปล. ปกติไปเที่ยวทะเล นั่งเรือไม่เคยเมาเรือ หรืออ้วกเลย รอบนี้แปลกจริงๆ

พิถีพิถันกับอุปกรณ์เดินป่า มากขึ้น

แต่เดิมก็ซื้อตามชิบ ตาม Performance ที่จะใช้ เช่น ซื้อถุงนอน ก็ซื้อเท่าที่คิดว่ากันหนาวได้ประมาณที่ตนเองจะเจอบ่อยๆ มีแบรนด์ที่ดีประมาณหนึ่ง ราคารับได้ แต่พอเพื่อนๆเริ่มสนใจอุปกรณ์ของเพื่อนรอบตัว เริ่มไปหาข้อมูล เริ่มได้รับการแชร์ข้อมูลมา เริ่มมีความคิดใหม่ ว่าทำไมฉันแบกของหนักจัง จึงเริ่มที่จะสะสมอุปกรณ์ในกลุ่ม Ultra Lightweight มากขึ้น ซึ่งก็พบว่า แบรนด์ดังๆ ในไทย ที่เราเห็นตามท้องตลาด อย่าง The North Face, Columbia, Deuter, Osprey, Salomon, Gregory, MSR หรือแม้แต่ NatureHike มีอุปกรณ์ประเภท Ultra Lightweight น้อยมาก ต้องสั่งจากออนไลน์ หรือเข้าไปร่วมกลุ่มที่มีคนใช้สินค้าประเภท UL ถึงจะพบว่าแหล่งซื้อขายคือที่ไหนบ้าง (ไว้จะเขียนบล็อกรีวิวละเอียดอีกที)

รู้สึกชีวิตมีความผันแปร ไม่แน่นอน

จริงๆก็รู้แหละ รู้มาตลอด แต่หลังจาก อาม่าเสีย ตาเปิ้ลเสีย ป๊าเปิ้ลเสีย จนมาพี่โน๊ตที่จู่ๆล้มลงไป แล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปเป็นเดือน จนตอนนี้ผ่านไปเกือบปีแล้ว ยังเดินเองไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ ทำได้แค่โบกมือเบาๆ ขยับแขนขาเบาๆ พลิกตัวไปมา

ทำให้ปลงมากขึ้นนะ และเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จากเดิมที่เก็บเกี่ยวความสุข วางแผนไว้ อยากทำให้คนข้างหลังได้สบาย ตอนนี้คิดใหม่แล้ว ขอแค่อย่างไรให้ไม่มีภาระตกทอดไปหาคนที่ยังอยู่มากกว่า ไม่อยากเป็นภาระแก่ใครเลย แม้แต่การตายก็ไม่ต้องจัดงานก็ได้ ตายแล้วทำพิธีสวดเช้า บ่ายเผาเลย (ถ้าหาเตาว่างๆได้) คอนโดใหม่ก็ไม่ได้ทำประกันไว้นะ ตั้งใจปล่อยให้ธนาคารยึดไปเลย แบ่งกันรับความเสี่ยงบ้างเถอะ อย่าเอาแต่ได้ แล้วคนในครอบครัวก็มีบ้านกันแล้วทุกคน และถ้าป่วยก่อนจะตาย อันนี้ทำประกันไว้นานแล้ว และก็ทำเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ด้วยเงื่อนไข เข้าโรงพยาบาล ต้องไม่เสียสักบาท

อ่อ อีกอย่าง ครอบครัวเราหมดทายาทแล้ว เหลือเราเพียงคนเดียว ถ้าไม่มีแฟน ไม่มีลูก ก็ให้มันปิดตระกูลไปพร้อมกับเรานี่แหละ ไม่รู้จะสะสมไว้เพื่อใคร เหลือแต่ ญาติๆ ก็เอาไปแบ่งกันเองละกัน (แต่นั่นไม่ใช่ของเราไง เป็นของม่า ของแม่)

พอกับเรื่องความรัก

นี่คงเป็นครั้งแรกที่กล่าวถึงในที่สาธารณะ ถ้าใครสนิทจริงๆ หรือกล้าที่จะถาม คงจะรู้แล้วว่าผมกับเปิ้ลได้เปลี่ยบนสถานะเป็นแค่พี่น้องแล้ว ผม(และเปิ้ล)ไม่ได้อยากป่าวประกาศใดๆ ให้ทุกคนต้องรู้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำ ไม่ขอให้ใครจะต้องมาสงสาร หรือให้คำปรึกษา หรือหาแฟนให้ใหม่ ถ้าคิดจะทำแบบนั้น ผมขอบคุณมากๆนะ แต่ไม่รับไว้นะครับ

ผมกับเปิ้ลคบกันมาสามปี เราไม่เคยทะเลาะกัน สำหรับผมแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคือคนที่เข้ากันได้กับผม ทั้งครอบครัว ความคิด ไลฟ์สไตล์ รับได้ในทุกอย่างที่ผมเป็น ผมเองก็รับได้ในทุกอย่างที่เขาเป็น จนหล่อหลอมให้ผมเปลี่ยนไปจนทุกวันนี้ (แทบทุกเรื่องด้านบนจะมีเปิ้ลเสมอ หรือเปิ้ลมีอิทธิพลกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไปเสมอ อย่างผมลดความอ้วนก็เพราะไม่อยากนอนกรนให้เขารำคาญ หรือเปลี่ยนงานก็เพราะอยากเริ่มสร้างครอบครัว) ดังนั้นเอง ผมคิดมาตลอดว่า ผมจบที่คนๆ นี้แล้ว คนที่ผมรัก และเขาก็รักผม

แต่พอไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้ แต่ทุกอย่างต้องเดินต่อไป ผมขอเดินไปคนเดียวในแบบที่เขายังอยู่ในใจผม เพราะสิ่งนั้นมั่นคงที่สุด เท่าที่ใจผมยังมั่นคง

หากจะให้ผมรักอีกครั้ง เสี่ยงที่จะเจ็บอีกครั้ง ผมยังคงรอเริ่มต้นใหม่กับคนเดิมนะ

กล้าตัดสินใจ และเต็มที่กับชีวิตมากขึ้น

ใดๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด น่าจะเป็นผลจากการที่กล้าจะตัดสินใจ ทำ/ไม่ทำ ไป/ไม่ไป ผลลัพธ์จะเกิดอย่างไร ก็ยอมรับที่จะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ คนอื่นอาจจะมีผลกับการตัดสินใจบ้าง แต่ก็น้อยลง

อาจผสมกับความปลงในชีวิต และการไม่มีภาระผูกพันธ์ใดๆ (แม้ปีนี้แม่เพิ่งเกษียณ แต่เรื่องรายได้ สุขภาพ ทรัพย์สิน สินทรัพย์ ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับจะยกให้ใคร ถ้าไม่มีผม) การอยู่เพื่อตนเองก็เต็มที่มากขึ้น มีอิสระมากขึ้น และส่งผลให้การอยู่เพื่อคนอื่นก็เต็มที่มากขึ้นแบบไร้พันธะ เช่น ทำประกันให้แม่ จ่ายรายเดือนสมทบให้เขา ไถ่ชีวิตสัตว์ ทำบุญทุกที่เท่าที่ใจอยากจะทำ เลี้ยงเพื่อน เลี้ยงน้อง

คิดเพียงว่า ถ้าทำสิ่งนั้นไปแล้ว ส่งผลให้ดีขึ้น หรือก็แค่เท่าเดิมก็จะทำ, แต่สิ่งใด ทำแล้ว ส่งผลให้แย่ลง แม้กับตนเองและผู้อื่น ก็จะไม่ทำ มีเพียงเท่านี้

มาคุยกัน

Comment