ช่วงแว่บหนึ่งของชีวิตบนรถเมล์สาย 12 จินตนาการเลยเถิดไปว่า ถ้ารถคว่ำจนผมต้องมีอันเป็นไป จะเดาสาเหตุกันอย่างไรนะ?
คำว่า “กรรม” หรือที่บางคนเรียกว่า “เจ้ากรรมนายเวร” คงถูกยกมาอ้างถึงเป็นแน่ ถ้าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่มีเหตุผลเพียงพอ
บางทีผมก็แอบสงสัยว่า “กรรม”, “เจ้ากรรมนายเวร” หรืออื่นๆ มันจะมีระยะเวลาเล่นงานเราไปได้นานเพียงใด ในหนึ่งชีวิตนี้ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
แล้วเจ้ากรรมที่ว่า เลือกช่วงเวลาเล่นงานเราอย่างไรกัน ไหนๆก็เกิดมาพร้อมกรรมแล้ว ก็เล่นให้ครบเครื่องไปเลย เหมือนกับผ่อนบ้าน มีเท่าไรถาโถมโปะให้หมด โดนมันทุกวัน ทุกเวลา สมมุติว่าพออายุสัก 50 ปี ก็จะได้หมดกรรมกันไป หรือกรรมหนักไปเล่นจนตาย ก็เกิดปุ๊บ ตายปั๊บ ชดใช้กันไปก่อนเลย ชาติหน้าค่อยว่ากันใหม่ วนไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดชดใช้การตาย แล้วค่อยเหลือชาติที่มีชีวิตมาผ่อนกรรมกันอื่นๆกันต่อ
จริงๆ พอมาถึงตรงนี้ก็แอบได้สติเหมือนกันว่าระหว่างชดใช้กรรม เอ็งก็ต้องทำกรรมอื่นมาทับถมต่อไปอีก ใช้อย่างไรก็คงไม่หมด, ไอ้ฟิวส์เอ้ย ชีวิตมันไม่ใช่การผ่อนบ้าน และไม่ใช่เกมส์นี่นา
และการจะเกิดเหตุการใดๆขึ้นกับเรา (แม้แต่การเกิดปุ๊บตายปั๊บแบบใช้กรรม) แปลว่ามันต้องมีสาเหตุ ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย สิ่งมีชีวิตเอื้ออำนวย สิ่งไม่มีชีวิตเอื้ออำนวย พอคิดมาถึงนี่ แล้วอย่างนี้มันจะไปเกิดได้อย่างไรกัน
ตัดฉากกลับมาสภาวะปัจจุบันที่ธรรมชาติเป็น แปลว่า กรรมที่เราเผชิญ มันอาจจะมีหรือไม่มีเราไม่รู้ รู้แต่มันอยู่ในสภาวะ “กรรมรอส่งผล”
มันรอโอกาส รอจังหวะเหมาะๆ แล้วเหวี่ยงหมัดซัดเราทีเดียวให้น่วมเลย อาจจะเจ็บตัวเท่าตอนที่เคยทำ หรือเจ็บกว่าเพราะมีดอกเบี้ยตามทวงข้ามภพชาติ อันนี้ก็ไม่มีใครรู้
คำว่าโอกาสและจังหวะเหมาะๆ ที่มันรอส่งผลดีหรือไม่ดีกับเรา คงเป็นเพราะตัวเรานั่นเองที่สร้างจังหวะเหล่านั้นให้กับมัน เช่น กำลังทำชั่ว กำลังประมาท ขาดสติ ยุ่งกับเรื่องไม่ดี คนไม่ดี ก็เป็นจังหวะเหมาะที่เจ้ากรรมมันอาจขุดคุ้ยข้อมูลที่ใกล้เคียงมาจากฐานข้อมูล ว่ามีอะไรที่ฉันมีโอกาสจะเล่นงานแกได้บ้าง จากเหตุการณ์ที่แกกำลังทำอยู่
หรือแม้แต่กรรมดีๆ เช่น ทำดี บริจาคทาน เข้าวัด ช่วยคนพิการ ไอ้เจ้ากรรมก็คงไปค้นจากฐานข้อมูล แล้วเทียบเคียงเหตุการณ์ เพื่อส่งเสริมความดีหรือชดใช้คนที่เคยทำดีกับแก ในเหตุการณ์ที่แกกำลังทำอยู่ก็เป็นได้
คงอาจเป็นด้วยเหตุผลดังนี้หรือเปล่านะ ครูบาอาจารย์จึงบอกไว้ให้ทำดีเสมอ อยู่ในที่ดีเสมอ เจอแต่คนดีเสมอ ทำใจดีๆไว้ และอย่าไปทำความชั่ว เพื่อลดโอกาสที่กรรมชั่วมันจะเล่นงานเรานั่นเอง (แม้จะห้ามไม่ได้) หรือเรียกว่ายืดเวลาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่เจ้ากรรมต่อยเรา จนกว่าชาติใดชาติหนึ่ง เราจะหลุดพ้นมัน อย่างที่ศาสนาพุทธเรียกว่า บรรลุนิพพาน
ว่าแล้ว รถเมล์ถึงบ้านเสียก่อน และผมก็ไม่ได้มีอันเป็นไปตามที่มโนไปเอง เรื่องนี้มันเป็นความคิดยามว่างของคนโง่เขลาอย่างผม ใครมีความคิดอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ