ทิชชู่เช็ดตูด

10151235_10154045982230644_1543636168491175833_n

จากคราวก่อนที่บ่นเรื่องไม่ชอบใช้ทิชชู่เช็ดตูด แล้วมีผู้หวังดีหลายท่านแนะนำให้ผม พกทิชชู่เปียกบ้าง เอาทิชชู่ไปจุ่มน้ำมาเช็ดบ้าง ซึ่งผมไปลองมาแล้วครับ เลยขอประสบการณ์ให้อ่านกัน

คือวิธีที่ผมเลือกใช้ ผมเลือกที่จะเอาทิชชู่แห้งในห้องน้ำไปแตะๆที่ก็อกน้ำ แล้วค่อยเดินเข้าห้องน้ำครับ ด้วยเหตุผล ไม่ต้องพก ไม่ต้องกลัวลืม สะดวกกายสะดวกใจดี

เอาหละประเด็นมันอยู่ที่ว่า หลังจากขี้เสร็จ เราก็ปาดด้วยทิชชู่แห้งก่อนจนมันสะอาด แล้วค่อยลงด้วยทิชชู่ชุบน้ำอีกรอบ

แต่.. เราคงหลงลืมไปว่า เรามีขนตูดครับ ทิชชู่บางๆจุ่มน้ำมันก็พันกันหยุกหยุยเลย ก็ได้แต่อาศัยรูดๆ เอาครับ คาดว่าจะสะอาดดี ตบด้วยทิชชุ่แห้งอีกรอบ แล้วค่อยเดินออกมาตามปกติ

แต่… (อีกแล้ว) มันไม่ง่ายอย่างนั้นครับ เพราะเราจะเริ่มรู้ทันทีว่าดึงทิชชู่ออกหมดไหม ก็ตอนมันแห้งแล้วเดินไปมาเสียดสีรูตูดนี่แหละครับ ความรู้สึกเหมือนขี้ติดตูด แล้วต้องรีบไปเอาออก วันไหนไปธุระข้างนอก มีเดินขาถ่างตลอดทางหละฮะ

ดังนั้น เอาทิชชู่จุ่มน้ำเช็ดตูด เป็นวิธีที่ผมไม่แนะนำๆ ลองพกทิชชู่เปียกจะช่วยได้มากกว่า แต่ต้องแผ่นหนาๆหน่อยนะ ระวังขี้ทะลุทิชชู่แฉะติดมื

ความช่วยเหลือจากโดเรม่อน

1482887_10154042576455644_5920368193904747373_n

ค้นเจอโดเรมอนเล่มเก่าๆ เลยหยิบขึ้นมาอ่าน สมัยเด็กๆเคยรู้สึกสนุกอย่างไร ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม…

มีสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งสังเกต โดเรมอนมีเครื่องมือสารพัดชนิด แต่ทำไมไม่ให้โนบิตะใช้ตลอดเวลา แม้แต่โนบิตะเองที่ดูจะขี้เกียจและงี่เง่า เขาก็ไม่เคยขอเครื่องมือโดเรมอนในทุกเวลาแต่อย่างใด

โนบิตะสามารถไปโรงเรียนทัน เพียงใช้ประตูวิเศษ
โนบิตะสามารถสอบผ่านภาษาอังกฤษได้ด้วยวุ้นแปลภาษา
โนบิตะสามารถทำให้ชิซูกะรักได้ด้วยลูกศรกามเทพ

ทำไมโนบิตะต้องทำทุกอย่างเอง จนกว่าจะถึงจุดที่มีปัญหาจึงขอความช่วยเหลือ..

บางทีนั่นอาจเป็นจุดที่การ์ตูนต้องการบอกก็ได้ เหมือนที่ศาสนาคริสต์บอกไว้ว่า ท่านต้องพยายามก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่านเอง

ลองย้อนกลับไปดูมุมทางสังคมบ้าง ประเทศญี่ปุ่น(หรือแม้แต่อเมริกา)เป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีสูง หาง่าย ราคาไม่แพง แต่ทำไมคนของเขาจึงไม่ใช้อำนวยความสะดวกตลอดเวลา

คนชาติเหล่านั้นยินดีที่จะเดินทางด้วยเท้ามากกว่าใช้ยานพาหนะ
คนชาติเหล่านั้นโหยหากินอาหารปรุงน้อยที่สุดมากกว่าอาหารปรุงซับซ้อน
คนชาติเหล่านั้นอยากเจอธรรมชาติจริงๆมากกว่าการสร้างธรรมชาติขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย

บางที ผมก็สงสัยว่า เป็นเพราะเขามีเทคโนโลยี เขาจึงอาจไม่ต้องการ หรือเพราะพวกเขาถูกสั่งสอนให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วนะ?

พอหันกลับมามองตัวเรา ก็แอบคิดถึงประโยค “สามล้อถูกหวย” ขึ้นมาทันที..


บนเตียงนอน 12เมษายน 2557

โอกาสเหมาะๆที่จะโดนต่อย

ช่วงแว่บหนึ่งของชีวิตบนรถเมล์สาย 12 จินตนาการเลยเถิดไปว่า ถ้ารถคว่ำจนผมต้องมีอันเป็นไป จะเดาสาเหตุกันอย่างไรนะ?

คำว่า “กรรม” หรือที่บางคนเรียกว่า “เจ้ากรรมนายเวร” คงถูกยกมาอ้างถึงเป็นแน่ ถ้าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่มีเหตุผลเพียงพอ

บางทีผมก็แอบสงสัยว่า “กรรม”, “เจ้ากรรมนายเวร” หรืออื่นๆ มันจะมีระยะเวลาเล่นงานเราไปได้นานเพียงใด ในหนึ่งชีวิตนี้ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด

แล้วเจ้ากรรมที่ว่า เลือกช่วงเวลาเล่นงานเราอย่างไรกัน ไหนๆก็เกิดมาพร้อมกรรมแล้ว ก็เล่นให้ครบเครื่องไปเลย เหมือนกับผ่อนบ้าน มีเท่าไรถาโถมโปะให้หมด โดนมันทุกวัน ทุกเวลา สมมุติว่าพออายุสัก 50 ปี ก็จะได้หมดกรรมกันไป  หรือกรรมหนักไปเล่นจนตาย ก็เกิดปุ๊บ ตายปั๊บ ชดใช้กันไปก่อนเลย ชาติหน้าค่อยว่ากันใหม่ วนไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดชดใช้การตาย แล้วค่อยเหลือชาติที่มีชีวิตมาผ่อนกรรมกันอื่นๆกันต่อ

จริงๆ พอมาถึงตรงนี้ก็แอบได้สติเหมือนกันว่าระหว่างชดใช้กรรม เอ็งก็ต้องทำกรรมอื่นมาทับถมต่อไปอีก ใช้อย่างไรก็คงไม่หมด, ไอ้ฟิวส์เอ้ย ชีวิตมันไม่ใช่การผ่อนบ้าน และไม่ใช่เกมส์นี่นา

และการจะเกิดเหตุการใดๆขึ้นกับเรา (แม้แต่การเกิดปุ๊บตายปั๊บแบบใช้กรรม) แปลว่ามันต้องมีสาเหตุ ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย สิ่งมีชีวิตเอื้ออำนวย สิ่งไม่มีชีวิตเอื้ออำนวย พอคิดมาถึงนี่ แล้วอย่างนี้มันจะไปเกิดได้อย่างไรกัน

ตัดฉากกลับมาสภาวะปัจจุบันที่ธรรมชาติเป็น แปลว่า กรรมที่เราเผชิญ มันอาจจะมีหรือไม่มีเราไม่รู้ รู้แต่มันอยู่ในสภาวะ “กรรมรอส่งผล”

มันรอโอกาส รอจังหวะเหมาะๆ แล้วเหวี่ยงหมัดซัดเราทีเดียวให้น่วมเลย อาจจะเจ็บตัวเท่าตอนที่เคยทำ หรือเจ็บกว่าเพราะมีดอกเบี้ยตามทวงข้ามภพชาติ อันนี้ก็ไม่มีใครรู้

คำว่าโอกาสและจังหวะเหมาะๆ ที่มันรอส่งผลดีหรือไม่ดีกับเรา คงเป็นเพราะตัวเรานั่นเองที่สร้างจังหวะเหล่านั้นให้กับมัน เช่น กำลังทำชั่ว กำลังประมาท ขาดสติ ยุ่งกับเรื่องไม่ดี คนไม่ดี ก็เป็นจังหวะเหมาะที่เจ้ากรรมมันอาจขุดคุ้ยข้อมูลที่ใกล้เคียงมาจากฐานข้อมูล ว่ามีอะไรที่ฉันมีโอกาสจะเล่นงานแกได้บ้าง จากเหตุการณ์ที่แกกำลังทำอยู่

หรือแม้แต่กรรมดีๆ เช่น ทำดี บริจาคทาน เข้าวัด ช่วยคนพิการ ไอ้เจ้ากรรมก็คงไปค้นจากฐานข้อมูล แล้วเทียบเคียงเหตุการณ์ เพื่อส่งเสริมความดีหรือชดใช้คนที่เคยทำดีกับแก ในเหตุการณ์ที่แกกำลังทำอยู่ก็เป็นได้

คงอาจเป็นด้วยเหตุผลดังนี้หรือเปล่านะ ครูบาอาจารย์จึงบอกไว้ให้ทำดีเสมอ อยู่ในที่ดีเสมอ เจอแต่คนดีเสมอ ทำใจดีๆไว้ และอย่าไปทำความชั่ว เพื่อลดโอกาสที่กรรมชั่วมันจะเล่นงานเรานั่นเอง (แม้จะห้ามไม่ได้) หรือเรียกว่ายืดเวลาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่เจ้ากรรมต่อยเรา จนกว่าชาติใดชาติหนึ่ง เราจะหลุดพ้นมัน อย่างที่ศาสนาพุทธเรียกว่า บรรลุนิพพาน

ว่าแล้ว รถเมล์ถึงบ้านเสียก่อน และผมก็ไม่ได้มีอันเป็นไปตามที่มโนไปเอง เรื่องนี้มันเป็นความคิดยามว่างของคนโง่เขลาอย่างผม ใครมีความคิดอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ

เรือใบ

เมื่อวาน (28 มี.ค. 2557) อาแปะชวนไปเล่นเรือใบ บอกหน่วยก้านเราดี ฝึกได้ เขาเลยเปิดโลกทัศน์ เล่าถึงกีฬานี้ให้ฟัง

อย่างแมชท์ที่เขาแข่งขันผ่านๆมา ก็จะมีคนสองกลุ่ม คือกลุ่มต้องชนะให้ได้กับกลุ่มเอามันส์

พวกกลุ่มต้องเอาชนะให้ได้ จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เปรียบในด้านอุปกรณ์และทีมงาน ตั้งแต่ลงทุนซื้อเรือดีๆ ผ้าใบดีๆ หาคนเก่งๆมาร่วมทีม

คือต้องบอกว่าเรือใบเป็นกีฬาที่ทุกคนบนเรือต้องประสานงานกันให้ดี และต้องเป๊ะมาก ดังนั้นทุกคนบนเรือต้องเก่งทุกคน หรือไม่ด้อยไปกว่ากันมาก ใครคนใดคนหนึ่งไม่เก่งไม่ได้ อาจพาคนทั้งรำเรือแพ้หมด

 

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมทีมที่ต้องการชนะ ถึงต้องเก่งทุกคน เพราะไม่มีโอกาสสอนกันบนเรือ ไม่มีโอกาสผิดพลาด และทุกคนต้องรู้จักหน้าที่ตัวเองและทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เพื่อพานาวาตัวเองชนะคู่แข่ง

ส่วนทีมที่เอามันส์ พวกเขาอาจตั้งใจไว้ก่อนแล้วว่าไปเพื่อไม่ใช่เอาชนะ หรือเอาที่หนึ่ง แต่อาจมีคุณค่าใดๆบางอย่าง (อาจเช่น ไวน์ดีๆสักขวด) ที่ต้องทำทุกอย่างเต็มที่สุดๆเหมือนกัน

คิดไปคิดมาก็เหมือนการทำงาน ว่าคุณจะเอามันส์ หรือเอาชนะ?

คิดถึงวิทยา และจดหมายวัยประถม

“เป็นไปได้ไหมที่คนเราจะรักใครสักคนโดยที่ไม่ได้เจอกัน การที่เราจะคิดถึงใครสักคนที่แม้แต่เราเองก็ยังไม่เคยได้พบมาก่อน”..  ประโยคคำถามของนิธิวัฒน์ ธราธร ที่ทำให้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่อง “คิดถึงวิทยา”

ผมถูกชวนให้ดูเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ (ยกเว้น บี้ กับ พลอย การศึกษาและเรือนแพ) ต้องบอกตรงๆ เป็นเรื่องที่สองของปี(อาจจะในชีวิต แต่จำไม่ได้)  ที่ถูกชวนดูหนังโดยที่ไม่รู้จักหนัง แต่ก็ทำให้รักเข้าเต็มเปา (ซึ่งเรื่องแรกคือ The Secret Life of Walter Mitty)

คงเพราะผมเองชอบแสดงความรู้สึกผ่านงานเขียนและภาพถ่ายก็ได้มั้ง หนังเรื่องนี้ถึงได้ตรงจริต และในมุมกลับกัน ผมก็ชอบที่อ่านความรู้สึกคนอื่นๆ ผ่านงานเขียน และภาพถ่ายเช่นกัน จึงรู้สึกเข้าถึงหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ว่าการรู้สึกดีกับใครบางคน โดยที่ไม่เคยพบกันและไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เป็นเช่นไร

ผมเชื่อว่าทุกคนในสมัยประถม (อย่างน้อยก็ยุคผม) คงได้สัมผัสความรู้สึกแนวนี้กันมาบ้างในวิชาภาษาไทย เพราะคุณครูจะสั่งให้เราเขียนจดหมายไปหาเพื่อนต่างโรงเรียน โดยมีเลขห้องและเลขลำดับเดียวกันกับเรา เล่าเรื่องราวต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรา และก็คาดหวังว่าเขาจะตอบกลับมา, นั่นหละ! ความรู้สึกเดียวกันเลย (เพียงแต่ตอนนั้นเราไม่อิน เพราะเรารู้สึกว่า ฉันเบื่อวิชานี้ ฉันเบื่อครู และครูให้ฉันทำอะไรลมๆแล้งๆ น่าเบื่อๆ นี้ทำไมวะ)

แต่นั่นคือเมื่อก่อน, สมัยนี้คงเป็นการอธิบายได้ยากว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเช่นไร ในยุคสมัยที่ค้นชื่อก็เห็นหน้า ตามโซเชี่ยลก็เห็นความรู้สึก(จริงหรือหลอกลวงก็ตอบยาก) และคุยสามวันก็นัดเจอกันง่ายๆ, ซึ่งในหนังเองต้องจำลองสภาพแวดล้อมดังกล่าว ให้ใครบางคนได้ดำเนินชิวิตเพียงลำพัง ไม่สามารถติดต่อใครได้ และไม่รู้ข้อมูลใดๆเลยของกันและกัน นอกจากหนังสือบันทึกเพียงเล่มเดียว

“คิดถึงวิทยา” หากหนังเรื่องนี้ไม่โดนใจ อย่างน้อยมันก็ทำให้คิดถึงความรู้สึกตอนส่งจดหมายหาเพื่อนต่างโรงเรียน และคิดถึงครูสอนภาษาไทยสมัยประถมได้

และไม่ว่าการได้เจอใครสักคน ผ่านถ้อยคำในงานเขียน ผ่านภาพถ่ายของความรู้สึก คงไม่มีประโยชน์ถ้าเราไม่รู้จักอ่านความหมายของการพบกัน

ปล. พลอยในเรื่องนี้ น่ารักกว่าพลอยในสามีตีตราเยอะ ฮ่าๆๆ