ความเคยชิน

 

ผมเพิ่งย้ายมาอยู่แถวดินแดงได้หกเดือน
ย่านนี้มีมีอะไรน่าสนใจเยอะมาก โดยเฉพาะคนแปลกๆ

ลุงขาพิการ ที่ทุกเช้าจะเดินไปไหนสักแห่ง แล้วดึกๆก็เดินกลับมา
ถ้าใครใจดีไปช่วยพยุงแก แกจะแจกเลขหวยเสมอๆ

ศิลปินนิรนาม คาดว่าศึกษาจบจิตกรรมและภูมิศาสตร์ หรืออาจจะผังเมือง
แกจะวาดแผนที่บนเสาทุกต้นใต้สะพานข้ามแยก พร้อมตีเป็นเลขเด็ดให้เสร็จสรรพ

ที่เจ๋งคือศิลปินท่านนี้ลายมือแกสวยกว่าผมด้วยว่ะ

ส่วนคนที่ผมจะเล่า ผมขอเรียกแกว่า คุณป้านักเขียน ก็แล้วกัน

แกใช้ชีวิตอยู่ที่ป้ายรถเมล์โรงเรียนแม่พระฯ ประมาณ 3 เดือน
กิจวัตรที่ทุกคนชินตาคือ แกจะยิ้ม บ้างหัวเราะ และบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
ส่วนมือแกจะขีดเขียนอะไรสักอย่างในหนังสือตลอดเวลา
(ตอนแรกผมคิดว่าแกเป็น คนๆเดียวกับที่วาดแผนที่ลายแทงตามเสาสะพาน)

ด้วยความที่แกกินนอนตรงนั้น แกเลยเหมาเก้าอี้ป้ายรถเมล์ไปเต็มๆหนึ่งป้าย
เทศกิจไม่สนใจ สังคมสงเคราะห์ไม่มายุ่ง ทุกคนมองแกดั่งญาติมิตร
อาจเป็นเพราะ “กรุงเทพมหานคร ทั้งชีวิต เราดูแล”

แต่วันนี้ชื่นมื่นมากครับ เมื่อคนใจดีเอาเตียงพับไปให้แก
มีคนส่งภาพมาให้ผมทาง Line
เห็นแกนอนสบายใจเฉิบ อยู่หลังป้ายรถเมล์
เราก็ยินดี และดีใจด้วย สบายเสียที

ตกกลางคืน ผมเดินผ่านไปป้ายรถเมล์
ก็เห็นแกกลับไปนอนที่เก้าอี้เหมือนเดิม
ขาพาดพนักพิงหนึ่งข้าง ห่มผ้าหลับสบาย
ทิ้งเก้าอี้ลายดอกว่างเปล่า ไว้ให้ดูต่างหน้า

คิดแง่ดี แกอาจแยกไว้เป็นเตียงนอนในฤดูหนาว
หรือไม่เช่นนั้น ความสุขสบายก็อาจเทียบไม่ได้กับความเคยชิน

 

ภาพตอนกลางคืนที่ผมไปเจอมา

 

 

ภาพตอนกลางวัน ถ่ายโดยคุณ “อัลเทอร์เนทีฟไทย!!”


10 Jun 2014 23:42 – บ้านดินแดง

ชีวิตคู่และโต๊ะกินข้าว

การใช้ชีวิตคู่ ฉันขอเปรียบเทียบกับการนั่งกินข้าวด้วยกัน

บางคู่ฉันเห็นนั่งตักกัน เดิมทีฉันคิดว่าเขาน่าอิจฉา แนบเนื้อและใกล้ชิด แต่แล้วฉันก็พบว่า นั่งนานไป ต่างคนต่างรู้สึกอึดอัด ผู้หญิงคงไม่ถนัด ผู้ชายก็ทำอะไรไม่สะดวกเป็นแน่แท้

บางคู่ฉันเห็นเขานั่งข้างกัน ระยะห่างของคนสองคนดูน่ารักและใส่ใจกันดี แต่ฉันก็เชื่อว่า ถึงใกล้ชิด ก็แลกกับการที่ต่างคนก็ได้เห็นแค่ด้านเดียวของกันและกัน

แต่คู่ที่ฉันรู้สึกว่าดีที่สุด คือการนั่งฝั่งตรงข้ามกัน มีพยานรักคั่นกลางเป็นช่อดอกไม้ อยู่เพื่อเฝ้ามองกันและกัน ใส่ใจด้วยการสบสายตา และหยอกล้อกันด้วยการเขี่ยเท้าใต้โต๊ะ

แต่ถึงอย่างไร รักย่อมงดงามเสมอในสถานที่และเวลานั้น แม้ไม่มีใครเก็บมันไว้ แต่มันก็ไม่ได้หายไปไหน..


5 Jun 2014 – บ้านดินแดง

มาทำ Daily Task กันเถอะ

ทำงานมาหลายปี ถูกปลูกฝังให้จดบันทึกและวางแผนไว้ตลอดเวลา ซึ่ง Daily Task  ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกสั่งสอนและทำมาโดยตลอด แม้ทุกวันนี้จะไม่ต้องให้เจ้านายดูแล้วก็ตาม (ครั้งแรกที่ทำ ตอนนั้นเจ้านายขอดูเลยต้องทำ พร้อมส่งให้เพื่อนในทีมได้ดูด้วย)

เจ้า Daily Task (หรือ Job Daily หรือ To-Do ตามสะดวก) จริงๆ คือการจดบันทึกว่า วันนี้จะทำอะไรบ้าง เจ๋งหน่อยก็วางแผนล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร หรืออาทิตย์หน้าจะทำอะไร

ถามว่าเสียเวลาเป็นขั้น Advance ไหม ก็เสียเวลา, ถามว่าเบื่อไหม แรกๆก็เบื่อ แล้วถามว่าจะชวนทำไปทำไม ก็จะตอบให้ ดังนี้ Continue reading “มาทำ Daily Task กันเถอะ” »

แรงงานต่างชาติ

ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้งานแรงงานต่างชาติเท่าไร โดยเฉพาะชาวพม่า จนเมื่อเร็วๆนี้ ได้เจอและได้คุยกันบ่อย ตอนที่เขาต้องมาทำห้องที่คอนโด

สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างชื่นชมเขาคือ ถ้าหัวหน้าสั่งอะไรไปแล้วเขาทำไม่ได้ เขาก็จะบอกหัวหน้าตรงๆ ต่อหน้าผมเลยว่าทำไม่ได้ เพราะอะไร ติดปัญหาอะไร ไม่มียึกยัก หมกเม็ด หรือโยนงานให้เพื่อนคนอื่นต้องทำ. แล้วเป็นกับทุกคนด้วยนะครับ (หรือเป็นเฉพาะทีมในคอนโดนี้ก็ไม่ทราบ)

แต่ถ้าอะไรเขาทำได้ เขาก็จะก้มหน้าก้มตาขยันทำงานจนเสร็จ

ผมซ่อมพื้นห้องอยู่สามสี่ครั้ง สังเกตเห็นว่าแรงงานเหล่านี้มีพัฒนาการจากครั้งแรกพอตัวเลย ถ้าเทียบจากปัญหาเดียวกัน ความแรงเท่ากัน ทุกหัวข้อดีขึ้นหมด ทั้งเวลาในการซ่อม ความประณีต และวิธีการแก้ไข

ตัวอย่างเช่น ปัญหาพื้นลามิเนตเคลื่อนตัวห่างกัน ปัญหานี้ซ่อมไปครั้งหนึ่งซึ่งครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้ทำอะไรใหม่นอกจากการตอกกลับให้แน่นเข้าที่ แต่แล้วเวลาผ่านไป มันก็เคลื่อนตัวอีก ผมเลยคิดว่าควรอุดซีลีโคนระหว่างช่องว่างของบัวและพื้น, ปรากฏว่า ผมยังไม่ทันบอกความต้องการ เขาก็เสนอขึ้นมาเองตามวิธีที่ผมจะให้เขาทำ พร้อมบอกเหตุผลเลยว่า ยืดหยุ่นได้ ถ้าพื้นหดในหน้าหนาวหรือบวมออกในหน้าฝน, ตั้งแต่นั้นมา พื้นผมก็ไม่มีปัญหาการเคลื่อนตัวอีกเลย

มันชวนให้ผมคิดถึงร้านลือชาฟู้ดคอร์ท ในซอยลือชา (ซ.พหลฯ 1) หรือแม้แต่ร้านเสต็ก Eat Am Are Steak at Fashion Mall ที่มีแรงงานชาวต่างชาติ ถ้าไปก็ลองสังเกตดีๆ ครับ ว่าพนักงานที่นั่นขยันมาก เรื่องแย่งกันรับลูกค้า อาจพอเข้าใจได้ว่าเขาคงได้คอมมิชชั่น แต่การแย่งเทคแคร์ลูกค้า อันนี้ผมก็ไม่ทราบแรงจูงใจ หรือแรงบรรดาลใจอะไร ทำให้เขาเป็นแบบนั้น

ชื่นชมครับๆ แต่ก็แอบน่ากลัวครับ เพราะแรงงานต่างชาติวันนี้โดยเฉพาะพม่า เขาเหมือนคนจีนยุคก่อนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบ แล้วทำงานทุกอย่างที่คนไทยไม่ทำ

เขาได้เงินรายวันรายเดือนกันเท่าไรผมก็ไม่ทราบ รู้แค่คนในรูปส่งเงินกลับบ้านจนสร้างบ้านให้ครอบครัวอยู่ได้หละครับ

ปล1. เสริมย่อหน้าสุดท้าย พม่านิยมจ่ายอะไรด้วยเงินสดนะครับ ระบบบัตรเครดิตหรือกู้หนี้ยืมสินผา่นธุรกรรมทางธนาคารไม่ได้เจริญและแพร่หลายแบบเรา

 


บ้านดินแดง – 25 May 2014 23:51

อย่าเกลียดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ

ในความเป็นไปของโลกใบนี้มันช่างวกวน
ผมนั่งฟังใครๆหลายคนพูดเรื่องต่างๆนานา
หลายคนพูดถึงตัวเอง และหลายคนก็พูดถึงคนอื่น
ถ้อยคำที่ถูกเปร่งออกมาท่ามกลางเสียงสาดของสายฝน
ผมแทบฟังไม่ได้ยิน ว่าสิ่งที่ผ่านอากาศมานั้นเขาจะสื่ออะไร
แต่การที่ฟังไม่ได้ยิน ยังไม่น่าอารมณ์เสียเท่าคำที่ถูกแต่งเติมโดยผู้พูด
บ่อยครั้ง ผมจะทำตัวนิ่งๆ เหมือนไม่สนใจและพยายามฟังให้แน่ใจว่าได้ยินเช่นนั้นจริงๆ
แต่ทำไมบุคคลที่ฟังพร้อมกันกับผม ถึงเล่าให้คนอื่นฟังไม่เหมือนที่ผมเข้าใจ
ผมอาจจะผิด ถ้าผมเข้าใจผิดไปเอง
แต่ผมไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งจะผิดไหม
ว่าสิ่งที่เขาเข้าใจและสื่อสารต่อ จะทำให้คนอื่นลำบากและเกิดความแตกแยก
ผมสังเกตุว่าคนหนึ่งรู้สึกดีกับคนหนึ่ง
จะตีความคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่ดีและเป็นเรื่องปกติที่คุยกันได้
แต่ถ้าคนหนึ่งอคติกับใครคนหนึ่ง
ผมพบว่าเขาจะตีความคำพูดคนนั้นผิดเสมอ และคิดแง่ร้ายกับตัวเขาเสมอ
ที่สุดแล้วไม่ว่า คนพูดจะพูดเรื่องดีหรือเลวแค่ไหน
มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนฟังแค่นั้นเองหรือ?
มันเป็นความน่าเวทนาของคนฟังที่เขามองโลกในแง่ร้ายแบบนั้น
(ทุกคนอาจจะรู้ว่าคนมองโลกในแง่ร้าย เขามีความน่าสงสารขนาดไหน และน่ารำคาญขนาดไหน ใช่ไหมครับ?)
สิ่งที่เขาฟังจากคนที่เขาอคติ มีแต่ถ้อยคำที่รู้สึกว่าเป็นเขา และมีเขาอยู่ในนั้นเสมอ
นัยหนึ่งผมชื่นชมที่เขาเป็นคนคิดเยอะ คิดหลากหลาย
แต่นัยหนึ่งผมก็สงสารคนที่เป็นเช่นนั้น
พวกเขาเหล่านั้น เมื่อฟังคำพูดจากคนที่เขาอคติ
เขาคงต้องคิดๆๆๆ คิดเยอะๆ และแปลความให้เข้ากับตัวเขาในแง่ร้ายให้ได้
และการตอบกลับ พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องคิดๆๆๆๆ คิดเยอะๆ
เพื่อรจนาคำพูดจากปกติให้เป็นคำเสียดสีทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามให้สาสม
หากเปรียบเปรยพวกเขาเป็นหนุ่มสาวยามมีความรัก
ต่างฝ่ายต่างพยายามโกหกตัวเองและฝ่ายตรงข้าม
เพื่อให้รู้สึกว่ามีความคิดและคำพูดเข้ากับอีกคนหนึ่งให้ได้
ทั้งๆที่ตัวตนเขาอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย…
แต่วังวนของเรื่องอคตินี้ ต่างกับความรักตรงที่ ต่างคนต่างพากันลงเหว
คิดอคติไปต่างๆนานา ยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้น
แต่ความรัก คือที่ต่างฝ่ายต่างคิดดีต่อกัน เกื้อกูนกัน ยิ่งนานวันยิ่งผูกพัน สามามัคคีกันมากขึ้น
ผมอยากบอกเขาเหล่านั้นว่าการพูดและการฟัง
โดยไม่ต้องเอาความอคติกับบุคคลอีกฝ่ายมาเติมสีสัน
ดูมันจะเป็นความสบายใจและง่ายกว่ากันเยอะ
การรับฟังและไม่เข้าใจก็ว่าแย่ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของการรับรู้ที่ยากง่ายของคน
ส่วนการฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วเอาไปตีความต่อแบบผิดๆ คิดไปเอง
และเป็นความมั่นอกมั่นใจในตัวเองแบบผิดๆ เพราะมีอคติ อันนี้ยิ่งแย่กว่า
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะคิดไปเองหรือไม่ได้คิดไปเอง
แต่ถ้าไปสื่อสารต่อให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก หรือตั้งใจเล่าให้คนอื่นเข้าใจตามที่ตนเองอยากให้เข้าใจ
อันนี้ “เลว”
สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
การฟังโดยยังไม่ทันจะเข้าใจ แต่มีความอคติต่อผู้พูด แล้วตีความอคติไปเองเสียหมด
“เหมือนการเกลียดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ”
จึงอยากให้ลองถามตัวเองต่อว่า “แล้วเราเกลียดอะไร? ในเมื่อเรายังไม่เข้าใจมันเลย”
———
เพิ่มเติม
1. การชักจูงให้คนอื่นเชื่อตามเรา เอาไปใช้ประโยชน์ทางอื่นเถิด อย่าเอามาทำเพื่อสร้างความแตกแยกเเป็นการส่วนตัวเลย
2. การรู้และการนำกิเลสของคนอื่นไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความแตกแยก อย่าไปทำเลย มันบาป และจากประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าคุณไม่แข็งจริง คุณเองก็จะตกไปในวังวนกิเลสเดียวกันพร้อมกับเขา
3. เสียอะไรเสียไป รักษาใจตนเองให้ดี
4. อย่าเกลียดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ – don’t hate what you don’t understand เป็นประโยคที่ John Lennon ได้กล่าวไว้

 

Exit mobile version