วันที่ผมคิดจะเข้าป่า

ในชีวิตคนๆหนึ่ง หนีไม่พ้นการแสวงหาความสุข สบาย และสงบ ต่างคนต่างมีวิธีเป็นของตนเอง บ้างเลือกที่จะเดินช้อปปิ้ง ไปต่างประเทศ หาของกิน เที่ยวทะเล เข้าป่า หรือแม้แต่กระทั่งนอนอยู่ห้องเงียบๆคนเดียว

ชวาหระลาล เนห์รู นายกคนแรกของอินเดียเคยกล่าวไว้ว่า “เราอยู่ในโลกอันน่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความงดงาม เสน่ห์ และการผจญภัยมากมาย, ไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับการผจญภัยที่เราสัมผัสมันได้  ถ้าเพียงเราเปิดดวงตาค้นหาความงดงามเหล่านั้น”

 

ใกล้หนึ่งปีพอดี (25 พค) ที่ผมได้ค้นพบอะไรบางอย่างในชีวิต ที่ไม่มีใครคาดเดาว่าผมจะทำ แม้แต่ตัวผมเอง นั่นคือการ เข้าป่า และไต่เขา หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Hiking

สองสิ่งที่ผมเล่าให้คนรอบข้างฟังแล้วฉงน คือ เปลี่ยนจากเที่ยวปกติไปเข้าป่า และผมไปกับคนไม่รู้จัก ไว้ผมเขียนถึงสาเหตุในเรื่องหน้าก็แล้วกัน

มนุษย์เมืองแบบเรา ต่างถูกสวมหมวกให้เป็นไปตามหน้าที่ในครอบครัว หน้าที่การงาน สายตาของคนรอบข้าง เราถูกตัดสินจากความรู้และไม่รู้ของคนเหล่านั้นว่าเราเป็นเช่นไร บ้างก็เปลี่ยนตนเองไปตามหมวกที่คนอื่นหยิบยื่นใส่ บ้างก็ทนรับความผิดๆถูกๆเก็บไว้กับตนเอง  แต่ไม่ว่าจากเหตุใด ผลที่กระทบจิตใจเรายิ่งกว่า เพราะเราเองนอกจากไม่ละเลยสิ่งเหล่านั้น แต่จะแต่งเติมให้มันมากขึ้น จนปลีกความคิดตัวเองจากสังคมโดยไม่รู้ตัว

อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่อ้างว้างเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ความรู้สึกแบบนี้้ถ้าได้เกิดกับใคร มันสุดแสนจะเหงาเลยครับ ยากที่จะหาคนมาเข้าใจ เพราะมันเกิดขึ้นจากตนเอง และเป็นเองตามความรู้สึกที่ไร้เหตุผล

 

การเลือกเส้นทางที่ปราศจากผู้คนมากมาย คงมีสองทาง ถ้าไม่ไปยาก ก็ต้องไปในที่ที่ไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าเลือกไปอย่างหลัง คงเป็นที่สำหรับคนอาการหนัก ปลีกวิเวก และไม่ต้องการความสนุกหรรษาแต่อย่างใด เพื่อรอวาระสุดท้ายในชีวิต

การเข้าป่าไต่เขา ดูเป็นทางเลือกที่ดีในความคิดผม ภาพถ่ายจากผู้ชำนาญล้วนเผยให้เห็นสวรรค์บนดิน แสงอาทิตย์กับน้ำค้างบนยอดหญ้า ทะเลหมอกราวขนมปุยฝ้าย และอากาศที่ไม่ว่าฤดูกาลใด ก็ต้องห่มผ้านอน

สถานที่เหล่านี้ไม่ต้องเดินทางไกล ใครก็อยากชื่นชม จะมีเพียงแต่การเผชิญความยากลำบากต่างๆนานา ที่บั่นทอนกำลังใจของใครเหล่านั้น รวมถึงผมในการตัดสินใจเดินทางครั้งแรกด้วย

มาถึงวันนี้ ผมยังเป็นเพียงน้องใหม่ในการเข้าป่า 1 ปี 8 แห่งที่ผมไป ประสบการณ์ล้วนต่างกัน วันแรกที่คิดว่าความยากลำบากคือความลำบาก มันหายไป แต่ความลำบากวันนี้ กลายเป็นความท้าทาย และความมันส์ เป็นบททดสอบหนึ่งของสังขารที่กำลังเริ่มมากขึ้นในทุกๆวัน สัญญาณความคิดที่บอกกับตัวเองในทุกย่างก้าวว่าเรายังไหว เราไปต่อได้ ก้มหน้าเดินต่อไป เดี๋ยวก็ถึงปลายทาง มันคงดังก้องในความคิดทุกครั้งที่เดินทาง

สมาธิที่ได้อยู่กับร่างกายของตนเอง จิตใจของตนเอง สนใจกับเพื่อนร่วมทางเพียงไม่กี่คน ช่วยเหลือ และรับน้ำใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน

ณ ที่แห่งนั้น ช่างตรงข้ามกับความอ้างว้างที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ ท่ามกลางคนเป็นล้าน เสียอีก

นี่อาจเป็นบทสรุปของการแสวงหาความสุข สบาย และสงบ ในนิยามของผมก็เป็นได้

 

 

ปล1. หากคุณอ่านถึงตอนนี้ และคุณเคยพบกับคนที่ชอบเที่ยวในถิ่นทุรกันดาร คุณจะพบว่าทุกคนมีความรู้สึกคล้ายคลึงกันนี้

ปล2. หากคุณกำลังติดสินใจที่จะเดินทาง ไม่ว่าจะไปที่แห่งใด แต่ยังกล้าๆกลัวๆ ผมอยากให้คุณไป ถ้ามีครั้งแรก ครั้งต่อๆไปก็จะง่าย และคุณจะกลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าให้คนรอบข้างฟัง

ปล3. หากอ่านมาแล้วยังไม่มีแรงบันดาลใจ ลองดูเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty มาดู

ปล4. ภาพประกอบเป็นภาพเท้าผมในสถานที่ต่างๆ เล็กๆอย่างตั้งแต่ร้านส้มตำไปถึงจนนครวัด ถ้าสนใจลองดู Stand on Earth

บ้านกรุงเทพ – 20 May 2014 01:23

ภูมิปัญญาบรรพบุรุษ

10257811_10154173467235644_6573115383575877373_n

ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นเสี้ยวหนึ่งที่ถูกบอกเล่าในประวัติศาสตร์ และบางเรื่องเป็นระดับสร้างชาติ หรือวัฒนธรรมมาจนทุกวันนี้ ยิ่งชาติใดมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ก็ยิ่งมีอะไรสนุกๆให้ต้องสงสัย

อย่างเรื่องปลูกข้าว สงสัยไหมครับว่า คนสมัยก่อนรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ต้นเขียวๆคล้ายหญ้า เมล็ดมันกินได้ รู้ได้อย่างไรว่าต้องสีเปลือกออก แล้วรู้ได้อย่างไรว่าใช้หุง ไม่ใช่การเผาไฟหรือต้ม นี่ผมยังไม่พูดถึงการค้นพบไฟ การค้นพบการหุง ไหนจะข้าวหมดแล้วอยากปลูกเองทำอย่างไร

ลองคิดถ้าเป็นเรา เราจะรู้ไหมวะ แล้วต้องใช้ระยะเวลากี่ปีกว่าจะรู้ว่า ข้าวต้องปรุงแบบนี้ถึงจะกินได้..

แล้วคุณคิดดู สาคูไส้หมู! กับข้าวเกรียบปากหม้อ!

เฮ้ย คิดได้ไงว่าต้องต้มน้ำ เอาผ้าปิดปากหม้อ ปั้นแป้งสาคูหรือทาน้ำแป้ง ใส่ไส้ พลิกไปพลิกมา ไหนจะโรยกระเทียมเจียว กับราดน้ำกะทิอีก บ้างต้องหยิบผักห่อใส่ปากด้วย

ต้องกราบบรรพบุรุษจริงๆครับ ที่ใช้เวลาสังเคราะห์และวิเคราะห์จนได้ออกมาเป็นอาหารเลิศรสแบบนี้

เรื่องบางเรื่องทำตามๆกันมาหรือเห็นจนชินตา แต่ถ้าลองสงสัยที่มา นี่มันเป็นนวัตกรรมชัดๆ และอาจจดสิทธิบัตรอะไรก็ว่าไป เหมือนที่ชาวอเมริกาคนหนึ่งตกใจมาก ที่คนไทยคิดค้นถุงหิ้วแก้วน้ำได้ เพราะบ้านเขาไม่มี

บ้านนครสวรรค์ – 18 May 00:54

ประชุม WEF 2012 จัดอันดับการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน ชี้เด็กไทยคิดไม่เป็น

1006065_10151811318962450_682607266_n

นายภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลการประชุมของ World Economic Forum (WEF) – The Global Cometitiveness Report 2012-2013 ซึ่งเป็นการประชุม “เวทีเศรษฐกิจโลก” จัดอันดับการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน ชี้เด็กไทยคิดไม่เป็น

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก และได้สั่งการให้ตนวิเคราะห์ที่มาที่ไปของผลการจัดอันดับดังกล่าว ซึ่งตนจะไปศึกษาว่าผลการจัดอันดับที่ออกมามีความเที่ยงตรงมากน้อยแค่ไหน โดยจะต้องดูวิธีการจัดว่าใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัดบ้าง สั่งทำการบ้านด่วน ก่อนปรับการศึกษาทั้งระบบ

ที่มา Nation Channel

จากเนื้อข่าว, ชีวิตบน KPI มันเป็นแบบนี้จริงๆ สิ่งแรกที่ทำคือ ดูเครื่องมือและที่มาของตัวชี้วัดว่าเหมาะสมและเที่ยงตรงไหม พอรู้เกณฑ์ ก็เร่งพัฒนาเพื่อตอบโจทย์เกณฑ์นั้น แต่ไม่ได้มองความเป็นจริงและอื่นๆ และที่สำคัญ ทั้งๆที่คนส่วนมากรวมถึงตัวท่านเองก็รู้ว่าการศึกษาประเทศตัวเองก็ไม่ได้ดีจริงๆ แล้วยังจะไปสงสัยเกณฑ์มันทำไม

ชีวิตแบบนี้สินะ มันเลยทำแค่ให้มี แล้วก็มีแค่ที่ทำ ไม่มากไปกว่านี้และไม่น้อยไปกว่านี้ แล้วก็รอให้อนาคตเกณฑ์เขาเปลี่ยนแปลง ก็ค่อยไล่ล่าเปลี่ยนแปลงใหม่ ตามตูดเขาต่อไป

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีวิสัยทัศน์แบบนี้ ก็ไม่ต่างไปจากเด็กที่เรียน ติว เก็งข้อสอบ เรียนสูตรลัด หาทริค “เพื่อแค่” ไปสอบให้ผ่าน หรือให้ได้คะแนนเยอะๆ

เรื่องพวกนี้จริงๆก็ไม่อยากแสดงความเห็นเท่าไร เพราะเป็นคนเรียนไม่เก่ง เอ็นไม่ติด และโง่เกินกว่าจะพูดเรื่องแบบนี้ แต่ก็คิดเสียว่า เป็นความเห็นจากคนโง่คนหนึ่งละกัน

ผมไม่ได้มาเพื่อแค่ออกสตาร์ท

akhwari-race

ผมเพิ่งรู้จักชาวแทนซาเนียคนหนึ่งผ่านหน้าหนังสือ

ชายคนนี้เข้าแข่งขันวิ่งมาราธอนระยะ 40 กิโลเมตร ในงานโอลิมปิคที่แม๊กซิโกปี 1968

เมื่อนักวิ่ง วิ่งเข้ามาถึงเกือบหมด ได้มีการมอบเหรียญรางวัลให้แก่อันดับ 1-3
และหลังมอบเสร็จ ผู้คนในสนามก็เริ่มทะยอยเดินกลับ

ใครจะไปรู้ว่า อีกเกือบสองชั่วโมงต่อมาก็มีนักวิ่งจากแทนซาเนียเข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้าย ลำดับที่ 57

ชายคนนั้นวิ่งออกจากความมืดเข้าสู่แสงไฟในสนามกีฬา เขาวิ่งสลับเดินอย่างทุลักทุเล และเต็มไปด้วยความอ่อนล้า

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะขาขวาของเขาเต็มไปด้วยเลือดและผ้าพันแผล

ผู้คนที่ยังคงอยู่ในสนามต่างลุกขึ้นปรบมือและส่งเสียงเชียร์กันอื้ออึง จนกระทั่งเขาวิ่งเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ และล้มลงในอ้อมกอดของหมอที่รอรับอยู่

หลังจากนั้นมีผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามเขา
“ทำไมคุณถึงไม่เลิกวิ่ง ทั้งๆที่คุณบาดเจ็บ”

คำตอบของเขาได้เป็นอมตะวาจา ไปตลอดกาล
“ประเทศของผมไม่ได้ส่งผมมาห้าพันไมล์เพื่อแค่ออกสตาร์ต แต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้สำเร็จ”

การแข่งขันครั้งนั้นมีนักวิ่งทั้งหมด 74 คน และลำดับสุดท้ายคือเขา เป็นคนที่ 57 ส่วนนักกีฬาอีก 17 คน ได้ขอถอนตัวจากการแข่งขัน โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

เขาไม่ได้รับเหรียญใดๆ แต่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องยิ่งกว่าผู้ได้เหรียญทุกๆ คนในปีนั้นเขาได้เป็นนักกีฬาผู้ทรงเกียรติในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่ซิดนีย์ และเขาก็ได้ปรากฏอีกครั้งในภาพยนต์ของเพลงที่ใช้ประกอบในพิธีเปิดโอลิมปิคที่กรุงปักกิ่งปี 2008

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของชายชาวแทนซาเนียที่ชื่อ จอห์น สตีเฟ่น อาห์ควารี (John Stephen Akhwari)

วันที่ 6 ของฟิวส์

pa-mae

วันนี้แม่ผมปลุกแต่เช้าพร้อมกับฝนที่ตกเบาๆ พอให้ชุ่มฉ่ำ
ให้ตายสิไม่อยากตื่นเลย อากาศมันกำลังดีๆ
แต่วันนี้ผมต้องไปงานบวชพี่ชายคนหนึ่งที่รู้จักกัน
เป็นลูกของเพื่อนป๊าและแม่ของผม
ไปถึงที่วัด ผมเพิ่งจะรู้ว่ามีบวชซ้อนกันถึง 3 งาน
เพิ่งจะเคยเห็นก็วันนี้แหละ เหอๆ

ระหว่างที่เดินรอบโบสถ์ ฝนตกตลอดเวลา ผู้คนกางร่มเต็มไปหมด
อยากจะให้เดินเร็วๆจัง หิวข้าว ปวดอึ 
แต่ขบวน ป้าๆน้าๆ ที่ไปเป็นนางฟ้าเทวดาหน้าขบวน ก็ขอมันส์ไว้ก่อนโดยไม่สนใจฟ้าฝน

หลังจากส่งนาคเข้าโบสถ์เสร็จ ผมกับแม่ก็เจอเพื่อนกินเหล้าของป๊ากลุ่มหนึ่ง
เป็นกลุ่มที่ผมก็รู้จักและเคยเห็นบ่อยๆเมื่อสมัยก่อน 
แม่แนะนำแต่ละคนให้ผมรู้จัก มีแต่คนบอกว่าเห็นผมแล้วคิดถึงป๊าผม
ไม่ว่าจะ หน้า หน้าผาก การยิ้ม ทรงผม เหมือนไปซะหมด
มีเพื่อนป๊าอยู่คนหนึ่งพูดอยู่ประโยคเดียว ว่า “เหมือนมาก เห็นแล้วคิดถึงมัน”
ผมก็เพิ่งจะรู้แหละว่าหน้าผมเหมือนป๊ามากขนาดไหน 😀

เพื่อนป๊าคนหนึ่งบอกว่าเมื่อวานตอนกินเลี้ยง ยังคุยถึงป๊าผมอยู่เลย
เขาบอกว่า ตอนเผารถไปให้ ลืมเผาน้ำมันไปให้ด้วย 
คืนนั้นเขาเลยฝันว่า ช่วยกันลากรถกับป๊าผมอยู่บนสวรรค์ 😛
ไม่รู้ว่าฝันจริง หรือ ตลกในวงเหล้า 
แต่ก็ดีครับ คนรักป๊าผมเยอะดี


ผมกับแม่เลยไปซื้อของกินที่ แมคโคร กัน
บังเอิญจริงๆ ที่ตรงนั้นมีร้านขายหนังสือ
ผมไปเจอ a day เล่ม 80 (หน้าปก ปังคุมกับเจมส์) พอดีเลย
หาแถวกรุงเทพ ไม่ได้สักร้าน ต้องมาดูที่บ้านถึงจะเจอ

จากนั้นแม่ผมพาผมไปซื้อ สเปรย์จินดา มันเป็นน้ำยาปลูกผม
แม่กลัวว่าลูกชายจะไม่หล่อ เดี๋ยวหัวล้าน ฮ่าๆ
เราเลยได้แวะไปหาซ้อติ๋ม ใกล้ๆกับร้านขายจินดานั่น
แม่ผมพาไปดูน้องคนหนึ่งอายุ 3เดือน แม่กับซ้อติ๋มบอกว่า หน้าเหมือนผมเลย
ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ 
เออ ว่ะ คล้ายๆ ว่าตอนเด็กเราจะหน้าตาแบบนี้

ตอนเดินออกจากบ้านซ้อติ๋ม ผมก็คิดถึงยายคนหนึ่งที่เลี้ยงผมตอนเด็กๆ
แม่ กับ ผม จำชื่อคุณยายไม่ได้ ซึ่งผมไปหาท่านครั้งสุดท้ายน่าจะประมาณ ม.4

ผมกับแม่ขับรถไปแถวบ้านเขา ซึ่งแถวนั้น เปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีกลิ่นอายพอให้ผมกับแม่จำความได้
บ้านคุณยาย ตอนนี้กลายเป็น โรงเรียนสอนนวดแผนไทย ซึ่งคุณยายเขาทำเอง
(ตัวร้านที่รับนวดจริงๆ จะอยู่ที่ big-c นครสวรรค์ ชั้น 1 ใครแวะผ่าน ลองไปใช้บริการได้)

แม่ผมเดินเข้าไปก่อน คุณยายมองหน้าแม่ผมอยู่นาน แต่ก็จำไม่ได้
แม่ผมเลยให้ผมเดินตามเข้าไป และนั่งใกล้ๆท่าน 
คุณยายมองหน้าผมอยู่นานแสนนาน แล้วก็พูดพร้อมกับยิ้มๆ ว่า
“ชื่ออะไรน๊าา ใช่คนที่ไม่ชอบอาบน้ำหรือเปล่า”
ผมกับแม่ก็เลย งงๆ ว่าใครไม่ชอบอาบน้ำหว่า ผมจึงบอกไปว่า “ฟิวส์ครับ”
คุณยายเลยถึงบางอ้อ “เอ้อ ใช่ๆ นั่นแหละ ฟิวส์ ตอนเด็กๆ ที่ไม่ชอบอาบน้ำ”
แม่ผมเลยเกทัพไปอีกว่า ตอนโตก็ไม่ค่อยชอบอาบเหมือนเดิม
ทุกคนเลยขำกันใหญ่ ผมก็เพิ่งรู้ตัวนี่แหละว่า ตอนเด็กๆไม่ชอบอาบน้ำ
คุณยายเลยบอกว่า แก้ง่ายๆ ยายเลยเอาพวกเป็ดเหลืองๆ กัล ตุ๊กตาลอยน้ำหย่อนลงไป
ยังไม่ทันไร ผมก็จะวิ่งลงไปในอ่างเอง โดยไม่ต้องสั่ง

จากเท่าที่ฟัง ผมรู้สึกว่าตัวเองตอนเด็กๆ ทำไมเกเรจัง
คุณยายบอกว่า ผมเสียงดังมาก เวลาคุณยายอยู่หลังบ้าน ผมจะชอบตะโกนเรียก คุณยายๆ
ครั้งหนึ่ง แม่ผมพาผมนั่งรถไฟไปอุตรดิตถ์ พอผมกลับมา
ผมไปวาดรางรถไฟข้างกำแพงในบ้านของท่าน
คุณยายเลยถามว่า ใครวาด แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ
คุณยายเลยถามไปอีกว่า ใครวาด สวยจัง ยายจะให้รางวัล
ผมยกมือรับทันทีเลย ด้วยความงกอยากได้รางวัล 😛

แต่คุณยายก็เล่าให้ฟังอีกเรื่อง ที่แสดงความเกเรของผมได้ดี
ปกติผมจะชอบให้คุณยายอุ้มตลอดเวลา แล้วคุณยายก็จะอุ้มผมตลอดเวลา
มีครั้งหนึ่ง มีเด็กเข้ามาอยู่ใหม่ ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร
คุณยายก็จะอุ้มเขา คุณยายบอกว่าผมจะยืนมองตลอดเลย
คุณยายรู้แล้วหละว่าผมคิดอะไรอยู่ในใจ
พอคุณยายวางลงและไปหลังบ้านปุ๊บ ผมผลักเด็กคนนั้นหน้าหงายเลย
โอ้ว พระเจ้า ผมทำอะไรลงไปเนี่ย

แม่ผมถามว่า กวางเป็นอย่างไรบ้าง คุณยายเลยบอกว่าเคยเจอ สูง ตัวใหญ่
คุณยายบอกว่า กวางเป็นคู่ปรับตลอดกาลของผมตอนเด็กๆ
ผมจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย แต่ก็ชักอยากเจอเธอซะแล้วสิ

คุยต่อไม่นาน ผมกับแม่ก็ลากลับ
อยู่บ้านนั่งพิมพ์ข้อความของวันนี้อยู่ แม่ก็เรียกให้ออกไปข้างนอกด้วย
แม่พาไปบ้านลุงคนหนึ่ง เป็นเพื่อนป๊าตั้งแต่เด็กๆ
เขาเป็นคนออกแบบโครงการรถไฟใต้ดินส่วนเหนือเชียวหละ
ผมก็เพิ่งรู้ว่า ป๊าผมมีแก๊ง สองแก๊ง
แก๊งกินเหล้าที่ผมเจอเมื่อเช้าจะอยู่อีกฝากถนน 
ส่วนแก๊งที่ผมเจออยู่นี้อยู่ฝั่งเดียวกับบ้านผมในปัจจุบัน
แก๊งนี้จะชอบชวนป๊าผมไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ แล้วก็กินเหล้าอีกตามเคย
แต่ทุกคนก็มักจะบอกว่าป๊าผมเฮี้ยวๆ ซ่าๆ ซึ่งผมไม่เหมือนเขาซักเท่าไร
แม่ผมบอกว่าป๊าผมกินเหล้าตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วหละ
ตอนมานั่งรอจีบแม่ผม ป๊าผมเขายังนั่งหลับรอเลย 😀

คืนนี้ที่บ้านผมเรากินวันเกิดผมและครบรอบแต่งงานป๊ากะแม่
แต่แม่ซื้อเค้กมา เลยไม่ได้กินพิซซ่าเหมือนปีก่อน
ปีนี้พิเศษนิดนึง ตรงที่มีเจ้าโมนาลิซ่า มาร่วมด้วย
ไว้ entry วันเกิดผมแล้วจะเอารูปมาลงให้ดูกันเนอะ

มีฟามสุขจัง


ปล1. entry นี้ ยกให้วันครบรอบป๊ากับแม่ผมแต่งงานกัน
ขอโพสเพลง ท่าฉลอม เป็นเพลงที่แม่บอกว่าป๊าชอบมากๆ ไว้ทิ้งท้ายละกัน
ปล2. กะจะลงรูป แต่ลืมเอา card reader มา

ต้นฉบับ: วันที่ 6 ของฟิวส์ – 06 May 2007 23:11