วันที่ 6 ของฟิวส์

วันนี้แม่ผมปลุกแต่เช้าพร้อมกับฝนที่ตกเบาๆ พอให้ชุ่มฉ่ำ
ให้ตายสิไม่อยากตื่นเลย อากาศมันกำลังดีๆ
แต่วันนี้ผมต้องไปงานบวชพี่ชายคนหนึ่งที่รู้จักกัน
เป็นลูกของเพื่อนป๊าและแม่ของผม
ไปถึงที่วัด ผมเพิ่งจะรู้ว่ามีบวชซ้อนกันถึง 3 งาน
เพิ่งจะเคยเห็นก็วันนี้แหละ เหอๆ

ระหว่างที่เดินรอบโบสถ์ ฝนตกตลอดเวลา ผู้คนกางร่มเต็มไปหมด
อยากจะให้เดินเร็วๆจัง หิวข้าว ปวดอึ 
แต่ขบวน ป้าๆน้าๆ ที่ไปเป็นนางฟ้าเทวดาหน้าขบวน ก็ขอมันส์ไว้ก่อนโดยไม่สนใจฟ้าฝน

หลังจากส่งนาคเข้าโบสถ์เสร็จ ผมกับแม่ก็เจอเพื่อนกินเหล้าของป๊ากลุ่มหนึ่ง
เป็นกลุ่มที่ผมก็รู้จักและเคยเห็นบ่อยๆเมื่อสมัยก่อน 
แม่แนะนำแต่ละคนให้ผมรู้จัก มีแต่คนบอกว่าเห็นผมแล้วคิดถึงป๊าผม
ไม่ว่าจะ หน้า หน้าผาก การยิ้ม ทรงผม เหมือนไปซะหมด
มีเพื่อนป๊าอยู่คนหนึ่งพูดอยู่ประโยคเดียว ว่า “เหมือนมาก เห็นแล้วคิดถึงมัน”
ผมก็เพิ่งจะรู้แหละว่าหน้าผมเหมือนป๊ามากขนาดไหน 😀

เพื่อนป๊าคนหนึ่งบอกว่าเมื่อวานตอนกินเลี้ยง ยังคุยถึงป๊าผมอยู่เลย
เขาบอกว่า ตอนเผารถไปให้ ลืมเผาน้ำมันไปให้ด้วย 
คืนนั้นเขาเลยฝันว่า ช่วยกันลากรถกับป๊าผมอยู่บนสวรรค์ 😛
ไม่รู้ว่าฝันจริง หรือ ตลกในวงเหล้า 
แต่ก็ดีครับ คนรักป๊าผมเยอะดี


ผมกับแม่เลยไปซื้อของกินที่ แมคโคร กัน
บังเอิญจริงๆ ที่ตรงนั้นมีร้านขายหนังสือ
ผมไปเจอ a day เล่ม 80 (หน้าปก ปังคุมกับเจมส์) พอดีเลย
หาแถวกรุงเทพ ไม่ได้สักร้าน ต้องมาดูที่บ้านถึงจะเจอ

จากนั้นแม่ผมพาผมไปซื้อ สเปรย์จินดา มันเป็นน้ำยาปลูกผม
แม่กลัวว่าลูกชายจะไม่หล่อ เดี๋ยวหัวล้าน ฮ่าๆ
เราเลยได้แวะไปหาซ้อติ๋ม ใกล้ๆกับร้านขายจินดานั่น
แม่ผมพาไปดูน้องคนหนึ่งอายุ 3เดือน แม่กับซ้อติ๋มบอกว่า หน้าเหมือนผมเลย
ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ 
เออ ว่ะ คล้ายๆ ว่าตอนเด็กเราจะหน้าตาแบบนี้

ตอนเดินออกจากบ้านซ้อติ๋ม ผมก็คิดถึงยายคนหนึ่งที่เลี้ยงผมตอนเด็กๆ
แม่ กับ ผม จำชื่อคุณยายไม่ได้ ซึ่งผมไปหาท่านครั้งสุดท้ายน่าจะประมาณ ม.4

ผมกับแม่ขับรถไปแถวบ้านเขา ซึ่งแถวนั้น เปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีกลิ่นอายพอให้ผมกับแม่จำความได้
บ้านคุณยาย ตอนนี้กลายเป็น โรงเรียนสอนนวดแผนไทย ซึ่งคุณยายเขาทำเอง
(ตัวร้านที่รับนวดจริงๆ จะอยู่ที่ big-c นครสวรรค์ ชั้น 1 ใครแวะผ่าน ลองไปใช้บริการได้)

แม่ผมเดินเข้าไปก่อน คุณยายมองหน้าแม่ผมอยู่นาน แต่ก็จำไม่ได้
แม่ผมเลยให้ผมเดินตามเข้าไป และนั่งใกล้ๆท่าน 
คุณยายมองหน้าผมอยู่นานแสนนาน แล้วก็พูดพร้อมกับยิ้มๆ ว่า
“ชื่ออะไรน๊าา ใช่คนที่ไม่ชอบอาบน้ำหรือเปล่า”
ผมกับแม่ก็เลย งงๆ ว่าใครไม่ชอบอาบน้ำหว่า ผมจึงบอกไปว่า “ฟิวส์ครับ”
คุณยายเลยถึงบางอ้อ “เอ้อ ใช่ๆ นั่นแหละ ฟิวส์ ตอนเด็กๆ ที่ไม่ชอบอาบน้ำ”
แม่ผมเลยเกทัพไปอีกว่า ตอนโตก็ไม่ค่อยชอบอาบเหมือนเดิม
ทุกคนเลยขำกันใหญ่ ผมก็เพิ่งรู้ตัวนี่แหละว่า ตอนเด็กๆไม่ชอบอาบน้ำ
คุณยายเลยบอกว่า แก้ง่ายๆ ยายเลยเอาพวกเป็ดเหลืองๆ กัล ตุ๊กตาลอยน้ำหย่อนลงไป
ยังไม่ทันไร ผมก็จะวิ่งลงไปในอ่างเอง โดยไม่ต้องสั่ง

จากเท่าที่ฟัง ผมรู้สึกว่าตัวเองตอนเด็กๆ ทำไมเกเรจัง
คุณยายบอกว่า ผมเสียงดังมาก เวลาคุณยายอยู่หลังบ้าน ผมจะชอบตะโกนเรียก คุณยายๆ
ครั้งหนึ่ง แม่ผมพาผมนั่งรถไฟไปอุตรดิตถ์ พอผมกลับมา
ผมไปวาดรางรถไฟข้างกำแพงในบ้านของท่าน
คุณยายเลยถามว่า ใครวาด แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ
คุณยายเลยถามไปอีกว่า ใครวาด สวยจัง ยายจะให้รางวัล
ผมยกมือรับทันทีเลย ด้วยความงกอยากได้รางวัล 😛

แต่คุณยายก็เล่าให้ฟังอีกเรื่อง ที่แสดงความเกเรของผมได้ดี
ปกติผมจะชอบให้คุณยายอุ้มตลอดเวลา แล้วคุณยายก็จะอุ้มผมตลอดเวลา
มีครั้งหนึ่ง มีเด็กเข้ามาอยู่ใหม่ ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร
คุณยายก็จะอุ้มเขา คุณยายบอกว่าผมจะยืนมองตลอดเลย
คุณยายรู้แล้วหละว่าผมคิดอะไรอยู่ในใจ
พอคุณยายวางลงและไปหลังบ้านปุ๊บ ผมผลักเด็กคนนั้นหน้าหงายเลย
โอ้ว พระเจ้า ผมทำอะไรลงไปเนี่ย

แม่ผมถามว่า กวางเป็นอย่างไรบ้าง คุณยายเลยบอกว่าเคยเจอ สูง ตัวใหญ่
คุณยายบอกว่า กวางเป็นคู่ปรับตลอดกาลของผมตอนเด็กๆ
ผมจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย แต่ก็ชักอยากเจอเธอซะแล้วสิ

คุยต่อไม่นาน ผมกับแม่ก็ลากลับ
อยู่บ้านนั่งพิมพ์ข้อความของวันนี้อยู่ แม่ก็เรียกให้ออกไปข้างนอกด้วย
แม่พาไปบ้านลุงคนหนึ่ง เป็นเพื่อนป๊าตั้งแต่เด็กๆ
เขาเป็นคนออกแบบโครงการรถไฟใต้ดินส่วนเหนือเชียวหละ
ผมก็เพิ่งรู้ว่า ป๊าผมมีแก๊ง สองแก๊ง
แก๊งกินเหล้าที่ผมเจอเมื่อเช้าจะอยู่อีกฝากถนน 
ส่วนแก๊งที่ผมเจออยู่นี้อยู่ฝั่งเดียวกับบ้านผมในปัจจุบัน
แก๊งนี้จะชอบชวนป๊าผมไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ แล้วก็กินเหล้าอีกตามเคย
แต่ทุกคนก็มักจะบอกว่าป๊าผมเฮี้ยวๆ ซ่าๆ ซึ่งผมไม่เหมือนเขาซักเท่าไร
แม่ผมบอกว่าป๊าผมกินเหล้าตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วหละ
ตอนมานั่งรอจีบแม่ผม ป๊าผมเขายังนั่งหลับรอเลย 😀

คืนนี้ที่บ้านผมเรากินวันเกิดผมและครบรอบแต่งงานป๊ากะแม่
แต่แม่ซื้อเค้กมา เลยไม่ได้กินพิซซ่าเหมือนปีก่อน
ปีนี้พิเศษนิดนึง ตรงที่มีเจ้าโมนาลิซ่า มาร่วมด้วย
ไว้ entry วันเกิดผมแล้วจะเอารูปมาลงให้ดูกันเนอะ

มีฟามสุขจัง


ปล1. entry นี้ ยกให้วันครบรอบป๊ากับแม่ผมแต่งงานกัน
ขอโพสเพลง ท่าฉลอม เป็นเพลงที่แม่บอกว่าป๊าชอบมากๆ ไว้ทิ้งท้ายละกัน
ปล2. กะจะลงรูป แต่ลืมเอา card reader มา

ต้นฉบับ: วันที่ 6 ของฟิวส์ – 06 May 2007 23:11

ตั้งใจลองสมถะสมาธิ

เมื่อคืนมีโอกาสได้นั่งสมาธิแบบจริงจัง หลังจากไม่ได้นั่งมาหลายเดือน เป้าหมายเพราะอยากจัดระบบหายใจตัวเอง และฟื้นฟูความจำ เนื่องจากสองอย่างนี้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีปัญหาพอสมควร เช่น หายใจไม่ทันบ้าง เหนื่อยง่ายบ้าง (เพิ่งเป็นมาได้เดือนกว่า โดยไม่รู้สาเหตุ) เริ่มนึกอะไรไม่ค่อยออกในสิ่งที่เป็นชื่อเฉพาะ และที่แย่สุดคือเดินป่าครั้งล่าสุด(ถ้ำลำคลองงู) รู้สึกถึงความหงุดหงิดใจร้อนที่เดินไม่ถึงสักที เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว!

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตั้งใจจะนั่งแค่ 15 นาที แต่ก็นั่งได้ยาวเกือบ 30 นาที โดยคิดว่าไม่ได้นานอะไร และไม่ปวดเมื่อยแต่อย่างใด จะมีเพียงใจที่ไหวติง และสั่นไหว เพราะคอยคิดว่า มันนานเกินไปแล้ว มันนานเกินไปแล้ว กอปรกับได้ยินเสียงรบกวนต่างๆนานา จากประตูบ้าง กำแพงบ้าง แอร์บ้าง นาฬิกาบ้าง เสียงรถสัญจรไปมาด้านนอกบ้าง จึงได้ออกจากสมาธิ

หลังจากได้คุยกับพระครูที่นับถือท่านหนึ่ง ก็เข้าใจชัดเจนถึงการนั่งแบบสมถะและวิปัสสนา ครั้งนี้เลยตั้งใจนั่งแบบสมถะสมาธิเพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ตอนต้น คือจับลมหายใจ

อาจด้วยเพราะเป็นความตั้งใจที่ชัดเจน ไม่ใช่การนั่งแบบเดิมๆ ที่ทำ เลยมุ่งที่จะดูลมหายใจหายเดียว ไม่ว่าสิ่งใดเข้ามากระทบ ก็จะดึงกลับมาดูลมหายใจเพียวๆ บ้างก็พูดกับตนเองว่า “อยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดอดีต ไม่คิดอนาคต” เพื่อให้เตือนสติตนเองว่าไม่วอกแวกไปไหนนอกจากลมหายใจ

ความรู้สึกในใจในครั้งนี้ ทำให้อยู่กับตนเองได้เต็มที่มากๆ รู้สึกถึงการปล่อยให้สิ่งรอบข้างปล่อยเลยผ่านไป การเป็นไปของสิ่งต่างๆรอบตัว จะเป็นอย่างไรก็เป็นของมันอย่างนั้น

ตื่นเช้ามา มีบ้างที่แว่บไปหงุดหงิดคนรอบข้างบางคน แต่ก็ได้ทรงสภาวะของเมื่อคืนมาด้วย คือพิจารณาได้ว่า เขาเป็นของเขาแบบนั้น เราก็แค่เห็น และรู้ไว้ว่านิสัยเขาเป็นแบบนั้น แล้วก็อุทานกับตนเองว่า “เออ เขาเป็นแบบนั้นแบบนี้..” แค่นั้นพอ, ไม่ได้เอาความเป็นแบบนั้นแบบนี้ของเขามาหงุดหงิดและรู้สึกว่าทำไมเขาไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ เหมือนที่เราต้องการ

เอาเป็นว่า ไม่ว่าผมจะได้อะไรหรือได้บุญกุศลอะไรที่นอกจากเกิดกับตัวผมแล้ว ก็ขอส่งบุญนี้ให้ทุกท่านเป็นสุขด้วยกันทุกคนด้วยนะครับ 😀

 

ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว

หนังสือแนวสร้างแรงจูงใจให้รู้จักพิถีพิถันดูแลเงิน เพราะเงินมีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ มันอยากอยู่กับคนที่ดูแลมันดี และต้ิงการจากไปเมื่อคนนั้นหยาบคายและไม่ดีมัน

ผู้เขียนเป็นนักบัญชีตรวจภาษีอากร เขาสังเกตุเห็นนักธุรกิจรวยๆที่เป็นลูกค้าเขาว่าทุกคนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ ใช้ “กระเป๋าสตางค์ทรงยาว” และราคาแพง เขาเลยลองสำรวจหลายๆคนแล้วสรุปได้สูตรที่ว่า

รายได้ต่อปี = ราคากระเป๋าสตางค์ x 200

นอกจากคนรวยเหล่านั้นจะใช้กระเป๋าสตาวค์แพงแล้ว ยังพิถีพิถันการใช้เงิน เช่น เก็บเหรียญโบราณ เรียงแบงค์ให้เป็นทางเดียวกัน แยกแบงค์แยกเหรียญ ฯลฯ ผู้เขียนจึงได้ลองทำตามและทำให้เขามีรายได้มากขึ้น!

เล่มนี้ค่อนข้างอิงวัฒนธรรมญี่ปุ่นเยอะ แต่ก็ได้อธิบายเหตุผลให้เห็นเช่นกันว่าทำไม ทำแบบนี้ถึงได้แบบนั้น แม้ว่าจะเป็นแค่การคิดและสังเกตจากผู้เขียนเองก็ตาม อ่านง่ายๆ น่าสนใจดีครับ

The Railway Man

The Railway Man (แค้นสะพานข้ามแม่น้ำแคว)

บางที การลบความรู้สึกเจ็บปวดในอดีต ไม่ใช่การพยายามหลบหนี
แต่เป็นการกลับไปเผชิญกับอดีตอีกครั้งต่างหาก

เรื่องนี้เล่าถึงช่วงสมัยการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่จังหวัดกาญจนบุรี
โดยผ่านชีวิตทหารชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่เป็นเชลยและถูกทหารญี่ปุ่นทารุณกรรมต่างๆนานา

เขาพยายามใช้ชีวิตอยู่บนความทรงจำในอดีตที่ทุกข์ทรมานตั้งแต่ช่วงที่เป็นทหาร
ในใจมีแต่ความแค้นที่จะต้องกลับไปสะสางกับทหารญี่ปุ่น

ใครชอบแนวประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์จริง ไม่น่าพลาดครับ
แล้วอาจได้ฉุกคิดว่า
ผู้ที่เคยทำผิดและใช้ชีวิตดั่งปรกติ เขาอาจไม่ได้อยู่อย่างมีความสุขก็เป็นได้
เช่นนั้น เราจะทำผิด แล้วเป็นอย่างเขา ในอนาคตของเราทำไมกัน?

ปล. หนังสร้างจากเรื่องจริงที่ถูกบันทึกโดยนาย อีริค โลแมกซ์

สภาวะของจิต

เมื่อวานเป็นวันพระ เลยมีโอกาสไปทำบุญและแวะกราบครูบาอาจารย์ ท่านได้ไขข้อข้องใจให้แก่ผมเรื่องสติ และสมาธิในหลายๆจุด คิดว่าหลายท่านอาจมีคำถามเดียวกับผมก็เป็นได้

ผมเริ่มถามท่านว่า “เมื่อครู่ในศาลาการเปรียญ ผมนั่งสมาธิ แต่มีสารพัดสิ่งมากระทบ ทั้ง หู จมูก กาย จิต โดยเฉพาะหู ผมได้ยินเสียงเด็กร้องบ้าง เสียงรถหวอบ้าง เสียงคนคุยกันบ้าง พอนั่งไปสักพักก็เมื่อยบ้าง ปวดหลังบ้าง แล้วสภาวะพวกนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ผมควรเลือกจับสภาวะใดก่อน”

อาจารย์บอกว่า “สภาวะใดเด่นกว่าให้รู้สภาวะนั้น เสียงเด็กมา ก็เสียงหนอ แล้วจู่ๆเมื่อย ก็เมื่อยหนอ จู่ๆเด็กร้องอีก ก็เสียงหนอ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

ผมเลยสงสัยถามต่อไปว่า “เช่นนั้น จิตจะไม่นิ่งเลยสิครับ เพราะไปรับรู้สภาวะเหล่านั้นตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วย”

อาจารย์บอกว่า “นั่นถูกต้องแล้ว เพราะสิ่งทุกอย่างไม่คงที่ เด็กร้องเดี๋ยวก็หยุด เสียงหวอมา เดี๋ยวก็หายไป เมื่อยสักพักก็ชา ชาสักพักก็หาย เดี๋ยวก็เป็นใหม่ เดี๋ยวเราก็สุข เดี๋ยวเราก็ทุกข์ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เราจึงต้องรู้มัน ว่ามันมาแล้วก็ไป อย่าไปยึดติด”

ท่านบอกต่อว่า “แม้แต่ความคิดเราก็เช่นกัน ถ้าเบื่อ ถ้าคิดวอกแวก ก็ต้องให้มันรู้ว่ามันกำลังคิด ไม่ต้องไปคิดต่อว่า มันจะเป็นอย่างไร ให้ดึงกลับมา ยิ่งถ้าเกิดอาการหรืออารมณ์สงบ อารมณ์เป็นสุข ส่วนมากเราไปคิดปรุงแต่งเลยเถิดต่อไปเอง ว่านี่คือสิ่งที่ได้จาการนั่งสมาธิ ต้องดึงกลับมา อย่าไปยึดติดมัน”

“เอ๊ะ แล้วอย่างนั้น เราจะสงบได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้จดจ่อสิ่งใด” ผมถามด้วยความยิ่งสงสัย

ท่านบอกว่า “การจับสภาวะคือการมีสติรับรู้ เป็นวิปัสสนาสมาธิ ส่วนถ้าอยากฝึกสมถสมาธิ ต้องจดจ่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ลมหายใจ มันแยกกันนะสองอย่างนี้”

“อ่อออ” ผมถึงบางอ้อเลย

“จริงๆมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ผมคิดเยอะ เผลอเอาไปผสมกันเอง แล้วก็คิดมากไปเองว่ามันง่ายไป อาจไม่ถูก” ผมบอกอาจารย์ อาจารย์เลยยิ้มๆ แล้วบอกว่า “ใช่แล้ว”

แล้วก็คุยเรื่องสภาวะจิตอีกสักพักใหญ่ๆ พอสรุปคำอาจารย์ได้ใจความว่า

“ถ้าจับความรู้สึกได้เรื่อยๆ จะเริ่มแยกได้ว่า นี่คือความคิด นี่คือจิต นี่คือร่างกาย เราจะไม่ไปผูกมัน เราจะรับรู้ แต่ไม่รู้สึก เพราะเราหยุดมันไว้แค่นั้น”

ฟังแล้วรู้สึกดี

“เอวัง โหตุ” ท่านอาจารย์ให้พร
ปล1. เอวัง โหตุ แปลว่า ขอความปรารถนาที่ท่านปรารถนาแล้วอย่างนั้น จงสำเร็จด้วยเทอญ
ปล2. ย้อนกลับไปเชื่อมโยง Iceberg Model ได้นะครับ ว่าแยกแยะจิต ความคิดได้ ก็จะรู้ว่าเราอยู่ในสภาวะใด เพื่อไม่ให้หลงคิดต่อ ยึดติด

โต๊ะทำงาน ในห้องนอนย่านกลางกรุง 15 โมษายน 2557

 

Exit mobile version