แชงกรีลา (Shangri-La) – ตอน 1 เริ่มต้นวาดฝัน

พฤษภาคม 2552

ช่วงที่ร้อนที่สุดช่วงหนึ่งของไทย ระหว่างทางกลับจากที่ทำงาน ผมแวะแผงหนังสือใกล้ๆ บ้านพัก และซื้อ National Grographic (NG) ฉบับเดือนพฤษภาคม ติดกลับมือมาด้วย ซึ่งเป็นนิตยสารประจำเดือน 1 ใน 2-3 เล่มที่ผมซื้อประจำ

ใน NG ปกติผมชอบอ่านเรื่องของประวัติศาสตร์ สังคม ดาราศาตร์ และวิทยาศาสตร์ ไล่ตามลำดับความสนใจ จึงทำให้ผมเปิดผ่านๆ เรื่องที่ขึ้นปกของฉบับนั้นไป (นั่นคือ ทารกแช่แข็ง การปลุกชีพแมมมอท) ไปเจออยู่คอลัมน์หนึ่ง คือ ตามหาแชงกรีลา

แชงกรีลา (Shangri-La) ชื่อนี้ผมเคยได้ยิน ผมพอจะรู้ว่ามันคือภาษาธิเบต ที่แปลทำนองว่า ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์

แต่ผมไม่รู้ว่านี่คือชื่อเมืองๆ หนึ่งของจีน และผมก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน รู้เพียงจากภาพที่เห็นใน NG ว่า เหมือนธิเบต และ อะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้สวยงามมากนัก (เนื่องจากภาพแชงกรีลาใน NGถูกถ่ายทอดออกมาในมุมมองของสารคดี ไม่ใช่สถานที่เที่ยว)

ใน NG เขียนถึง แชงกรีลา ว่า เป็นคำที่ฟังแล้วเหมือนภาพสะท้อนของนครศัมภาลา (Shambhala) หรือสรวงสวรรค์บนดินแดนตามคติพุทธศาสนาแบบธิเบต ซึ่งในคัมภีร์ในพุทธศาสนาบรรยายไว้ว่านครศัมภาลาตั้งอยู่ ณเชิงเขาผลึก เหนือเทือกเขาหิมาลัยขึ้นไป ผ้คนปลอดพ้นจากความฉ้อฉลและโลภโมโทสันของโลกภายนอก..

ซึ่งตามตำนานอันยิ่งใหญ่แบบนี้เอง ประกอบกับข้อมูลงานสำรวจใน NG ช่วงปี 1922-1935 ของ โจเซฟ ร็อก (Joseph Rock) นักพฤกษศาสตร์ชาวตะวันตกที่เข้าไปใช้ชีวิตในลี่เจียง (Lijiang) จึงทำให้มีเกิดพลังดึงดูดมหาศาลต่อ เจมส์ ฮิลตัน (James Hilton) นักเขียนชาวอังกฤษ และต่อมาเขาได้วาดฝันงานหนังสือนวนิยายขึ้นมาเล่มหนึ่งในปี 1933 ที่ชื่อว่า “Lost Horizon” และถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า “ลับฟ้าปลายฝัน”

NG บอกต่อว่า แชงกรีลา (Shangri-La) ต่างจากสถานที่อื่นๆ ในตำนาน เพราะมันไม่เคยมีอยู่จริงกระทั้งถึงปัจจุบัน! แต่ชื่อมันถูกนำไปเป็นชื่อเมืองแห่งหนึ่งในดินแดนของธิเบต ในนวนิยายของนาย เจมส์ ฮิลตัน ครั้งแรก แล้วบังเอิญว่านวนิยายเล่มนี้โด่งดังไปทั่วโลกครับ..

โด่งดัง ขนาดที่ว่ามีผู้คนมากมายตามหาแชงกรีลา (Shangri-La) จริงๆ ตามสถานที่ที่ถูกระบุไว้ในนิยาย จนมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหัวใสหลายเมืองในมณฑลยูนนาน (Yunnan) และเสฉวน (Sichuan) ของจีน (China) แก่งแย่งชื่อแชงกรีลานี้เพื่อขออนุญาติจากทางการจีนเพื่อเปลี่ยนชื่อเมืองและเทศมณฑลใหม่

และ เมืองที่กลายเป็นแชงกรีลา ก็คือเมือง “จงเตี้ยน” (中甸县 Zhōngdiàn) ซึ่งอยู่บนความสูง 3,160 เมตร และมีภูมิประเทศที่สุดตระการตาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะเป็นเส้นทางผ่านของ 3 สาย คือ แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำแยงซี ไหลกัดเซาะไปตามซอกเขา ก่อให้เกิดโกรกธารลุ่มลึกของแม่น้ำ ตัดผ่านภูมิประเทศอังสูงชันและตัดกับเทือกเขาตั้งสูงตระหง่าน เกิดแตกต่างของระดับแม่น้ำ พื้นดิน ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ และธรรมชาติอย่างสูง จนองค์การสหประชาชาติได้รับรองแม่น้ำเหล่านี้ให้เป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย ในชื่อว่า เขตสามแม่น้ำไหลเคียง หรือ Three Parallel Rivers World Heritage site

จำได้ว่า คืนนั้นผมอ่านด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่ต้นจนจบ และรำพึงรำพรรณตามประสาคนทั่วไปกับตัวเอง ว่า “อยากไปจัง” พร้อมกับข่มตาหลับ เพื่อให้พร้อมทำงานในวันรุ่งขึ้น..

กรกฎาคม 2552

กลับจากเที่ยวนครนายก ผมได้นัดพบกันเพื่อน เพื่อแลกภาพถ่ายที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ระหว่างที่รอการพบเจอ ผมแวะร้านขายหนังสือเพื่อเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย..

“เฮ่ย!.. แชงกรีลา!”

ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย และรีบหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา

“ลัดทุ่งหญ้า ฝ่าทุ่งน้ำแข็ง ตะลุยแชงกรี-ลา” โดย คุณ สมพร ขจรสุวรรณ์

เป็นหนังสือที่เขียนบันทึกการเดินทางหลังเรียนจบของคุณสมพร (นูมิน) กับเพื่อนของเขา เจ้าหมิว
ผมเปิดผ่านๆ ไปเจอ ตารางการเวลาที่ใช้ในการเดินทางและตารางค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง

“เฮ่ย!… ทั้งทริป 16,000 บาท”

ตกใจรอบสองครับ จึงรีบพลิกกลับไปดูตารางเวลาการเดินทาง เขาใช้เวลาทั้งหมด 17 วัน และเดินทางจากไทย ทะลุลาว ขึ้นไปจีนและกลับมาทางเวียดนาม..

สำหรับผม การที่ผมเห็นสถานที่ๆ ถูกระบุใน NG ว่ามันเป็นดินแดนในฝันที่สุดยอดมาก กอปรกับ การเดินทางไกลได้เที่ยวในหลายๆ ที่ หลายๆประเทศ ในราคา 16,000 บาท มันน่าทึ่งมากครับ!

ผมตัดสินใจซื้อเล่มนั้น พร้อมกับบอกเพื่อคนที่ผมนัดเจอว่า “ผมจะไปแชงกรีลา!”
ผมพูดโดยที่ ณ เวลานั้น ผมยังไม่พร้อมทั้งเวลา ทั้งเงินและข้อมูล แต่ผมรู้สึกมั่นใจว่า

ผมจะไปตามหาแชงกรีลา..

กรกฎาคม – ตุลาคม 2552

เป็นช่วงที่บริษัทผม (TARAD.COM) กำลังทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Rakuten Japan ซึ่งแน่นอนครับว่ามันวุ่นวายมากๆ พร้อมกับอะไรหลายอย่างที่ไม่แน่นอน แต่ผมก็ยังป่าวประกาศว่าผมจะไปแชงกรีลา พร้อมกับหาข้อมูลการเดินทาง

ระหว่างที่ผมพูดถึงแชงกรีล่าในมุมมองที่ผมรู้จักให้ใครต่อไปฟัง หลายคนพูดกับผมว่า เขาเคยได้ยิน และ/หรือ เขาเคยดูสารคดีในโทรทัศน์อีกด้วย มันสวยมาก ซึ่งทำให้ผมยิ่งอยากไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ทริปนี้ผมคิดว่าจะไปคนเดียว เพราะในขณะนั้นมีเพียงแผนการเดินทาง ไม่มีความคิดว่าผมจะชวนใครไป แต่เมื่อผมเล่าเรื่องแชงกรีลาให้เพื่อนๆ พี่ๆ ฟัง จึงทำให้มีคนสนใจร่วมเดินทางกับผมด้วย

ผมได้คุยกับหลายๆ คน ที่สนใจ พร้อมกับจองตั๋วเครื่องบินขากลับของ Air Asia จาก ฮานอย (Ha Noi) – กรุงเทพ (Bangkok)

โดย ณ เวลานั้น ผมและหลายๆ คน ยังไม่ได้ขออนุญาติทางบริษัทและครอบครัวเลยสักคน รวมไปถึงแผนการเดินทางที่ผมหาข้อมูลก็ยังไม่นิ่งพอ!

ท้ายที่สุด ทริปนี้ มีผู้ร่วมชะตากรรม 6 คน คือ พี่ป๊อป (พี่ที่บริษัทตลาด), พี่ปู (พี่ที่บริษัทตลาด), พี่แอน (เพื่อนพี่ปู), เนส (เพื่อนพี่ป๊อป), โดม (เพื่อนรุ่นน้องของผม) และก็ผม

รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาพอสมควรเลยครับ ที่มีเพื่อนเดินทางด้วย และทุกคนเท่าที่ผมได้คุยด้วย ล้วนสนุกสนาน และมุ่งมั่นที่จะไปแชงกรีลามาก แต่ในใจลึกๆ ผมรู้สึกกลัว กลัวว่า คนมากขึ้นจะทำให้การเดินทางลำบากขึ้น เช่น ตกรถ รถไม่พอ ต่างคนต่างไป ความเห็นไม่ตรงกัน ฯลฯ

แต่เพราะความกลัวนั่นเอง จึงทำให้ผมต้องหาข้อมูลให้มากขึ้น รวมไปถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร่วมเดินทาง ได้ช่วยหาข้อมูล ตัดสินใจและปรับแผนการเดินทางให้รัดกุมมากขึ้นอีก

แผนการเดินทาง (วางแผนก่อนไป)

สามารถดูตัวเต็มได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Backpack Shagri-La Trip

ขั้นตอนการเดินทาง

มี 4 เส้นทาง ให้เลือก
เรียงตามระยะเวลาจากน้อยไปมาก
และเรียงตามปริมาณการได้เที่ยว ยิ่งใช้เวลามาก ก็ยิ่งได้เที่ยวหลายจุด

1. [รถ] กรุงเทพ-เชียงของ(เชียงราย) > [เรือ] เชียงของ-ฝั่งลาว > [รถ] ฝั่งลาว-หลวงน้ำทา > [รถ] หลวงน้ำทา-เมืองลา(จีน) > [รถ] เมืองลา สามารถเลือกไปคุณหมิงหรือไปต้าหลี่ได้ > [รถ] จากคุณหมิง,ต้าหลี่ > แชงกรีลา << เลือกเส้นทางนี้

2. [รถ] กรุงเทพ-หนองคาย > [รถ] หนองคาย-เวียงจันทร์(ลาว) > [รถ] เวียงจันทร์-คุณหมิง(จีน) > [รถ] > [รถ] คุณหมิง > แชงกรีลา

3. [รถ] กรุงเทพ-แม่สาย > [รถ] แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก(พม่า) > [รถ] ท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง(ด่านจีนต้าหลั้ว) > [รถ] เชียงตุง-เชียงรุ้ง(จิ่งหง)(จีน) > [รถ] เชียงรุ้ง-เซี่ยก้วน > [รถ] เซี่ยก้วน-ต้าหลี่ > [รถ] ต้าหลี่ > แชงกรีลา

4. [รถ] กรุงเทพ-หนองคาย > [รถ] หนองคาย-เวียงจันทร์(ลาว) > [รถ] เวียงจันทร์-ฮานอย(เวียดนาม) > [รถ] ฮานอย-ลาวไค(ด่านจีนเหอโข่ว) > [รถ] เหอโข่ว-คุณหมิง > [รถ] คุณหมิง > แชงกรีลา

แผนที่การเดินทาง

ขาไปนั่งรถประมาณ 2500กม. ขากลับนั่งรถ 1000กม. แล้วบินกลับ

@@@@@@@@@@ ขาไป @@@@@@@@@@@

@@@@@@@@@@ ขากลับ @@@@@@@@@@@

สรุปราคาเท่าที่คำนวณได้ตามแพลน 9 วัน ~12746 บาท

สามารถดูตัวเต็มได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Backpack Shagri-La Trip

ตุลาคม – พฤศจิกายน 2552

เป็นเดือนที่ผมและเพื่อนๆ หลายคน ได้บอกกับทางบริษัทที่ทำงานและทางบ้านเรียบร้อย ว่าเราจะเดินทางในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม – 13 ธันวาคม ที่จะถึง จึงทำให้พวกเราได้ทำ Visa เพื่อเข้าประเทศจีน (ลาว, เวียดนาม ไม่ต้องทำครับ) ส่วนผมและโดม ต้องไปทำ Passport ใหม่ เนื่องจากอายุหนังสือมีเหลือไม่ถึง 6 เดือน และก็ช่วงนี้อีกเช่นกันที่เราปั่นเงิน เก็บเงินกันจ้าละหวั่น อิอิ

ผมเพิ่งรู้มาว่ามีรุ่นน้องผมคนหนึ่งชื่อ โดนัท ได้เดินทางไปแชงกรีลาเมื่อตอนต้นปี ผมรีบหาทางคุยกับเขาทาง Internet เนื่องจากเรารู้จักกันมานาน แต่เราไม่เคยคุยกันเลย จึงทำให้ผมต้องนัดเจอเขา เพื่อให้เขาอธิบายประสบการณ์การเดินทางของเขาว่าพบอุปสรรคอะไรบ้าง และ สถานที่ใดห้ามพลาดบ้าง (ผมกลัวว่า ข้อมูลที่ผมค้นได้จาก Internet จะมีไม่รอบด้านและไม่ละเอียดพอ)

โดนัทบอกว่าโดนัทไปมาตอนปลายเดือนธันวา ซึ่งมันจะหนาวมากๆ และได้อธิบายสิ่งต่างๆ ให้ผมฟัง เช่น

  • ระวังของหายบนรถนอน
  • เจดีย์สามองค์,ต้าลี่ (崇圣寺三塔, San Ta Si, The Three Pagodas – Dali) สวย อลังการ แต่ค่าเข้าแพง
  • สระมังกรดำ, ลี่เจียง (黑龙潭, Hei Long Tang, Black Dragon Pool – Lijiang) สวยมาก แต่ค่าเข้าแพง แพงกว่าเจดีย์สามองค์เสียอีก
  • ลี่เจียงสวยมาก แต่ก็หนาวมากเช่นกัน
  • แชงกรีลา ให้พกกระป๋องออกซิเจนไปด้วย
  • ที่พักหาได้ไม่ยาก ทั้งลี่เจียง และแชงกรีลา
  • ที่พักราคา 60-100 หยวน ตามแต่จะเลือก
  • ผมสามารถหาที่พักในเมืองเก่าลี่เจียงได้เลย
  • สถานีรถโดยสารไม่มีภาษาอังกฤษเลยในบางแห่ง
  • โดนัทไปกับเพื่อนสองคน พูดภาษาจีนไม่ได้เลย แต่ก็รอดมาได้!
  • โดนัทแนะนำให้ซื้อหนังสือ Lonely Planet China Travel Guide พกติดไว้ จะได้อุ่นใจ

หลังจากได้ฟังจากโดนัท วันถัดมา ผมรีบไปเดินหาหนังสือ Lonely Planet China Travel Guide มาโดยทันที ซึ่งตอนไปถึงร้าน (ผมไป Asia Book) จะมีสองเล่มให้เลือกครับ คือ Lonely Planet China Travel Guide ที่เขียนถึงจีนทั้งประเทศ กับ Lonely Planet Southwest China Travel Guide ที่เขียนเฉพาะจีนตะวันตกเฉียงใต้

จะว่าไปแล้ว ถ้าซื้อแค่ Lonely Planet Southwest China Travel Guide ก็มีมณฑลยูนนาน (แชงกรีลาอยู่ในมณฑลยูนนาน) เพียงพอกับทริปนี้แล้ว เพราะทริปนี้ผมจะวนเวียนอยู่แค่ในยูนนาน และเล่มนี้หนาเพียง 528 หน้า แต่ผมเลือกที่จะซื้อ Lonely Planet China Travel Guide (ฉบับล่าสุดคือ ปกกำแพงเมืองจีน ที่แก้ไขครั้งที่ 11 นะครับ) เพราะคิดไว้ว่าอนาคตอยากไปที่อื่นๆ อีก (ทริปนี้จะรอดหรือป่าวไม่รู้ แต่คิดการณ์ไกลเหลือเกิน ;P )

หลังจากผมได้ Lonely Planet มา ผมพบว่าข้อมูลมันสั้นๆ แต่แม่นยำและเป็นทางการครับ เช่น บอกเวลาเดินรถ และบอกว่าเราสามารถต่อรถจากเมืองนี้ไปเมืองไหนได้บ้าง หรือแม้กระทั่งแนะนำว่ามีโรงแรม,ร้านอาหารที่ไหน ราคาเท่าไร มี Internet ไหม ได้ข้อมูลแบบนี้ จึงทำให้ผมต้องนัดคุยกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เพื่อลงรายละเอียดในแผนการเดินทาง

เชื่อไหมครับว่า แผนการเดินทางที่ถูกแก้ล่าสุด เราแก้กันตอนที่มันเหลือสองอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะเดินทาง!!!

สามารถดูตารางเวลาก่อนไปที่ได้แก้ไข ได้ที่ Googld Docs ฉบับนี้ครับ >> Shangri-La time table

และสองอาทิตย์สุดท้ายนั่นเอง ที่แผนการเดินทางเราเริ่มนิ่ง ผมและเพื่อนบางคนก็เพิ่งจะเดินหาซื้อของเพื่อเตรียมเดินทาง!!!!

ต้องบอกไว้เลยครับว่า พวกเราทุกคนไม่เคยต้องเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน!!! และมีเพียงผมกับพี่แอนเท่านั้นที่พอจะพูดและฟังจีนได้นิดหน่อย นอกนั้นไม่ได้เลย!!!

จึงทำให้สองอาทิตย์สุดท้าย เรียกว่าวุ่นวายพอสมควร พวกเราต้องไปหาซื้อกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเสื้อผ้า, อุปกรณ์กันหนาว

โชคดีที่พี่ปูกับพี่แอนรู้จักร้าน KitCamp ตรงสะพานควาย (ใกล้บ้านผม แต่ผมไม่รู้จัก ฮาา) จึงทำให้เราได้กระเป๋า Deuter และเสื้อกันหนาว The North Face ในราคาไม่แพงมากนัก

the north face gore-tex xl สองชั้น กันลม กันหนาว 1800

ผมโชคดีครับ ได้กระเป๋า deuter 55+10 aircontact มือสอง 3600 บาท

buff headware ผ้าสารพัดจะคลุมหัว ได้มาฟรีๆ

ไหนๆ ก็พูดอุปกรณ์แล้ว ลืมแนะนำครับ รองเท้าผมและโดมใช้ของ HI-TEC ดีมากเลยครับ
รุ่นที่ผมใช้คือ HI-TECT Gannet Peak เกาะพื้นดี โดยเฉพาะบนน้ำแข็ง และอุ่นเท้าพอสมควร
(ไม่ได้ซื้อที่ KitCamp แต่ซื้อที่ Sport Junction)

รวมไปถึงทางร้านก็ได้แนะนำการสะพายกระเป๋าและอุปกรณ์บางอย่างให้เราได้เตรียมพร้อม เจ้าของร้านคุยสนุกมากครับ จนกลายเป็นได้คุยยาว ได้กินข้าว ได้ของแถมกันไป ฮา…

คุยกับเจ้าของร้านคุณคิต KitCamp เมามันมาก คุยสนุกจนได้เครื่องดื่มย้อมใจฟรีๆ คนละหนึ่งขวด
และปิดท้าย ก่อนกลับ ได้ออกมานั่งร่วมโต๊ะกินส้มตำและคุยกันต่ออีกยก ฮาา..

พฤศจิกายน – ธันวาคม 2552

พวกเราใกล้จะออกเดินทางเต็มทน แต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องต่างๆ ให้ได้คิดตลอด เช่น อากาศ อุปกรณ์ สุขภาพ และ แผนการเดินทางที่กลัวคลาดเคลื่อน

เหลืออีกอาทิตย์เดียวจะเดินทาง ผมเองตัดสินใจพกมือถือไปด้วย (แต่ขี้เกียจไปเปิด Roaming) และลง Chinese Dictionary พกไว้ (ใครใช้ Android ผมแนะนำให้ลง app ชื่อว่า Hanping Chinese-English Dictionary ครับ มันจะแปล chinese-english, english-chinese และสามารถพิมพ์ได้ทั้ง pinyin และ Hanzi ที่เป็นอักษรจีน)

และอาทิตย์สุดท้ายนี่เองที่ทำให้ผมรับรู้ข่าวดี ข่าวหนึ่ง คือ ผมได้ไปฮ่องกงฟรีๆ 28-30 พฤศจิกายน.. เพื่อถ่ายรูปให้ KTC ฮาแตกมาก เพราะกลับมาปุ๊บ วันที่ 2 ผมต้องไปจีนทันที

แต่สุดท้ายการเดินทางที่ฮ่องกงสบายๆ ราบรื่นและสนุกดีครับ ผมจึงพร้อมจะไปตามหาแชงกรีลา อย่างที่ฝันมาหลายเดือน..

ก่อนผมไปฮ่องกง แม่ผมมาหาที่กรุงเทพ เลยเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้
เพื่อเดินทางทั้งฮ่องกงและจีนเลยหละครับ แหม่ รักเจ๊แกจริงๆ

แต่ตอนนี้ ผมขอจบภาคนี้ไว้เพียงเท่านี้ และภาคต่อๆไป ผมจะเขียนภาคละวัน ตามที่ผมได้เดินทางจริงๆ ใครสนใจและอยากไปตามหาแชงกรีลแบบผม ติดตามได้เลยครับ 😀

เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!! – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ใน Hong Kong Disneyland และเป็นวันสุดท้ายใน Hong Kong ด้วย ซึ่งทริปในวันนี้พี่ชัยจะมารับเราไปนั่งกระเช้า ไหว้พระ และเดินเล่นที่ Kowloon

แต่ก่อนจะออกจากโรงแรม เราได้มีโอกาสไปลองทานอาหารเช้าของโรงแรมครั้งแรก ซึ่งจะอยู่ชั้น 1 ใกล้ๆ กับสระว่ายน้ำ

ในห้องอาหารของโรงแรม จะเป็นบุฟเฟ่ ที่มีอาหารและขนมให้ทานได้ทั้งแบบตะวันตกและตะวันออก รวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าอาหารมีให้เลือกเยอะพอสมควร และอยู่ในเกรดที่ดีเลยทีเดียว

  

ระหว่างที่เรากำลังทานอาหาร ก็มีมิกกี้เม้าส์ มินนี่เม้าส์ กรู๊ฟฟี่ โดนัลดั๊กค์ พลูโต มาเดินถ่ายรูปร่วมด้วยตามโต๊ะอาหาร (อย่างกับงานแต่งงาน ฮ่าๆ) แต่เสียดาย อดถ่ายกับโดนัลดั๊กค์, พลูโต จึงได้แค่ภาพ มิกกี้เม้าส์ มินนี่เม้าส์ กรู๊ฟฟี่มาเป็นที่ระลึก

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ รีบเดินทางไปต่อกันที่กระเช้า Ngong Ping 360 ทันที

ซึ่งกระเช้า Ngong Ping 360 จะอยู่ในเขต Tung Chung บนเกาะ Lan Tua ซึ่งคนไทยมักจะเรียกว่า เกาะลันเตา เป็นเกาะเดียวกับที่ตั้งของ Hong Kong Disneyland และอยู่ใกล้กับสนามบิน เช็ก ลัป ก๊อก (Chek Lap Kok)

กระเช้าที่ให้ขึ้น จะมีให้เลือกสองแบบ คือ แบบปกติ ที่เห็นทั่วๆไป กับ แบบ Crystal ที่มีพื้นเป็นกระจกใส เพิ่มความหวือหวาให้กับชีวิต เพราะสามารถมองทะลุลงไปเห็นเบื้องล่างได้เหมือนกับกำลังลองอยู่บนอากาศ อย่างไงอย่างนั้น (บรรยายเว่อร์ไปไหมเนี่ย ฮ่าๆ)

เราใช้เวลานั่ง Ngong Ping 360 ประมาณ 30 นาที โดยข้ามเขาหลายลูกพอสมควร ในระดับความสูงที่ผมก็ประมาณไม่ค่อยจะถูก แต่เดาว่าเกินกว่าตึก 50 ชั้น โดยปลายทางของเราอยู่ที่พระใหญ่ป่อหลิน (Tian Tan Buddha, Po Lin Monastery)

ระหว่างที่นั่ง มี ผม พี่ชัย ต่าย คุณแม่น้องพลอยและน้องพลอย เฮาฮาปาจิงโกะมากจะมีหวือหวาและหวาดเสียวบ้างในบางขณะ โดยเฉพาะช่วงที่กระเช้าไปพาดกับรอยต่อของเสา ซึ่งมันจะเร็วและส่ายๆ เล็กน้อย

นั่งข้ามเขามาได้สักระยะ ก็จะเริ่มเห็นวิวของพระใหญ่ป่อหลิน (Tian Tan Buddha, Po Lin Monastery) ซึ่งดูสงบ และสวยมากๆ อยู่บนเนินเขา

หลังจากถึงจุดหมายปลายทางของสถานีกระเช้า (ก่อนจะลง ข้างๆ อาคาร จะมีป้ายบอกให้เรามองลิง เพราะตรงลิงจะมีกล้องถ่ายรูปเพื่อบันทึกภาพไว้ขายเป็นที่ระลึก) เราก็มุ่งหน้าเดินไปที่พระใหญ่ ซึ่งระหว่างทางจะเป็นร้านค้า ที่ถูกสร้างขึ้นแบบทรงจีน สวยดีครับ (มี Star Buck ด้วยนะ) และมีอีกหลายๆ สิ่งก่อสร้าง ที่กำลังถูกสร้างขึ้นเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบแห่งใหม่ในอนาคต

เราเดินไปจนถึงบริเวรณวัดป่อหลิน (Po Lin Monastery) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระใหญ่ จะมีบันไดให้เราเดินขึ้นไปอีก 268 ขั้น เพื่อถึงองค์พระ ซึ่งพี่ชัยได้เล่าให้ฟังว่า ปกติทัวร์ที่มาลง มักจะแวะที่พระใหญ่เป็นแห่งสุดท้าย ดังนั้น เมื่อลูกทัวร์เริ่มล้า ก็จะไม่ค่อยเดินขึ้นไป แต่อาศัยยืนไหว้จากด้านล่างแทน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

พวกเรายังไม่สูงอายุครับ เลยเดินขึ้นบันไดไปที่องค์พระ แต่เดินไปได้ครึ่งทางก็เริ่มรู้สึกหอบกันถ้วนหน้า ฮ่าๆ

ในองค์พระจะประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากศรีลังกา ซึ่งรัฐบาลฮ่องกงได้อัญเชิญมาไว้ที่นี่ และเชื่อกันว่าเป็นพระเขี้ยวแก้วของจริง ของพระพุทธเจ้า

ซึ่งก่อนจะเข้าไปกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ จะต้องเสียค่าเข้าประมาณ 20$hk ครับ และตอนขาออก สามารถนำตั๋วนั้นไปแลกเป็นน้ำและขนมได้ 1 ชุด (ซึ่งผมขอแลกเป็นโค้ก 1 กระป๋องและน้ำเปล่า 1 ขวด)

หลังจากที่เข้าไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุ และเดินชมรอบๆ องค์พระอยู่พักหนึ่ง (ซึ่งอากาศบนนั้นเย็นสบายกำลังดีเลยทีเดียว) พวกเราจึงเดินลงมา เพื่อเตรียมตัวไปทานข้าวเที่ยงใน Kawloon

ก่อนขึ้นกระเช้ากลับ ผมได้แวะห้องน้ำที่นั่นด้วย เป็นห้องน้ำที่สร้างแพงมากๆ หลักสิบล้าน (จำไม่ได้ว่าหน่วยบาท หรือ $hk) ถ้าใครได้ไป ก็ลองแวะสักครั้งนะครับ ฮ่าๆ

ตอนนั่งกระเช้าขากลับ และใกล้ๆกับสถานีกระเช้า พี่ชัยแนะนำให้เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ โดยบอกให้พวกเราไปยืนเรียงที่หน้ากระเช้า และแอ็คท่าให้ลิงถ่ายรูปสักครั้ง ซึ่งพวกเราก็ทำครับ! สนุกดี

เดินลงจากกระเช้าเสร็จ จะต้องผ่านห้องที่ขายของที่ระลึก โดยผมกับต่ายเลือกที่จะซื้อ package แบบส่งรูปภาพไปให้ทาง e-mail พร้อมกับทำ Magnet และพวงกุญแจอย่างละชิ้นไว้เป็นที่ระลึก ถ้าผมจำราคาไม่ผิด น่าจะประมาณ 160$hk ครับ

และรูปที่ได้ก็ออกมาเป็นเช่นนี้.. (ห้ามขำ!)

เราออกจาก Ngong Ping 360 ประมาณ 11.00 เพื่อนั่ง shuttle bus ไปกินข้าวเที่ยงที่ Tsin Sha Tsui  ซึ่งอาหารที่ได้ทานก็เป็นอาหารจีนครับ มันๆ ผักๆ เลี่ยนหน่อยๆ และเค็มหลายจาน  ซึ่งพี่ชัยบอกว่าคนฮ่องกงชอบกินเค็มครับ

ณ เวลานั้น เป็นวันจันทร์ ผู้คนก็หลั่งไหลออกมาทำงาน และทานข้าวกันเยอะพอสมควร จึงได้มีโอกาสเสพบรรยากาศฮ่องกงในเวลาทำงาน และเดินเล่นไปเรื่อยๆ หาซื้อของประมาณ 1 ชั่วโมง

ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด พี่ชัยจึงแนะนำว่าให้เรา check-in เครื่องบินที่สถานีรถไฟ Kaoloon เพราะเวลาไปถึงจะได้ไม่ต้องไปเดินหาและ check-in ที่สนามบิน มันจะวุ่นวายและเสียเวลา

โดยการ check-in ที่สถานีรถไฟ ผมชอบมากๆ โดยเราโหลดกระเป๋าและ check-in เครื่องบิน จากนั้นกระเป๋าของเราจะเดินทางไปโหลดขึ้นเครื่องในเที่ยวของเราให้เลย ส่วนเราก็เดินตัวปลิวเที่ยวไปเรื่อยๆ พอใกล้เวลาค่อยตามไปสนามบินอีกที

แต่ครั้งนี้ ทั้งตัวทั้งเป้ต้องตามไปพร้อมกันเลย เวลามันเหลือน้อยเต็มทน ก่อนขึ้นเครื่อง

เส้นทางรถไฟใต้ดินที่ไปสู่สนามบิน (Airport Express) จะเป็นรถไฟที่มีความเร็วสูงกว่ารถไฟทั่วไปในฮ่องกง โดยจะแวะเพียงแค่ 3 สถานี คือ Hong Kong (บนเกาะฮ่องกง) จากนั้นจะข้ามทะเลมาจอดรับที่ Kaoloo, Tsing Yi และไปสุดสายที่ Chek Lap Kok Airport

ซึ่งได้ข่าวว่า Airport Link ในกรุงเทพฯ ของเรา ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันรถความเร็วสูง ต้นทางสนามบินสุวรรณภูมิ ตรงดิ่งเข้า BTS พญาไท โดยแวะสถานีมักกะสัน และอื่นๆอีก 1-2 สถานี

Airport Express ถ้าผมจำไม่ผิด จะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีครับ จาก Kaoloon เข้าไปถึง Chek Lap Kok Airport โดยพวกเรามีหน้าที่แค่ผ่านตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเดินไปรอขึ้นเครื่องอย่างเดียวเท่านั้นเอง สะดวกมากๆ

อ้อ อย่าลืมแลกบัตร Octopus กลับเป็นเงินก่อนนะครับ จะทำให้เราได้ค่ามัดจำบัตรคืนมาอีก 50$hk (200บาท) แต่ถ้าใครอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ไม่ต้องแลก หรือถ้าคิดว่าจะกลับมาเที่ยวอีกก็สามารถนำกลับไปใช้ได้ครับ แต่ต้องตรวจสอบเวลานิดหนึ่งนะครับว่าหมดอายุเมื่อใด

ก่อนขึ้นเครื่อง เรามีเวลาเดินเล่นใน Duty Free ประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าต่ายไปเดินช้อป ส่วนผมนั่งเล่นเน็ตรอ (ในสนามบินมี wifi ฟรีครับ และผมลืมบอกไปว่าในฮ่องกงแทบทุกหนแห่งมักจะมี wifi ฟรีให้เล่นด้วย ซึ่งจัดให้โดยรัฐบาลฮ่องกงนั่นเอง) แล้วจึงออกเดินทางตอน 16.30 ครับ ถึงไทยอีกทีตอน 18.30 อย่างสวัสดิภาพ

เป็นไงบ้างครับ เท่าที่อ่านดูแล้ว ผมว่าฮ่องกงเป็นอะไรที่น่าไปเที่ยวมากๆ และจะสนุกยิ่งขึ้นถ้าเราไปช้อปปิ้ง เพราะคงจะได้จ่ายเงินกันเพลินเลยทีเดียว

และอย่างที่เห็นครับ ว่าการเดินทางไปไหนมาไหนในฮ่องกงไม่ได้ยากเย็นเลย ยิ่งถ้าเราเลือกที่พักในโซน Tsim Sha Tsui หรือย่านที่ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน เราสามารถไปไหนก็ได้ทุกที่ และที่สำคัญควรพกบัตร Octopus เพื่อความสะดวก

และถ้าไปฮ่องกง โดยไม่ได้ไป Hong Kong Disneyland กับไหว้พระใหญ่ป่อหลิง ว่ากันว่าคุณยังไปไม่ถึงฮ่องกงนะครับ อิอิ

สุดท้าย ความสนุกทั้งหมดนี้ ผม,ต่าย,คุณแม่น้องพลอยและน้องพลอย ต้องขอขอบคุณ KTC World สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด และขอขอบคุณ ตระกูลเฉิน ที่จัดทริปและเตรียมไกด์ (พี่ชัย) ให้ ณ ที่นี้ด้วยคร้าบบบ.. 😀


ซีรี่ – เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!!

วันที่ 1 – ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกง
วันที่ 2 – ลุย Hong Kong Disneyland
วันที่ 3 – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง


Source: http://ifew.exteen.com

เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!! – ลุย Hong Kong Disneyland

วันนี้เป็นวันที่สองที่ผมกับต่ายอยู่ฮ่องกง โดยวันแรกเรียกว่าไปเกริ่นนำเที่ยวเกาะฮ่องกงมาแล้ว วันนี้เลยขอเที่ยวเก็บบรรยากาศน่ารักๆ ในดิสนีย์แลนด์แบบเต็มวันสักครั้ง

วันนี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อลองสำรวจภายในโรงแรม Hong Kong Disneyland Hotel ซึ่งห้องที่เราพัก อยู่ชั้น 2 และติดระเบียง

ในตอนกลางคืนผมมองไม่ค่อยเห็นอะไร รู้แต่ว่ามันเป็นสวนครับ แต่ทีไหนได้ ถัดจากสวนที่ออกแบบเป็นเขาวงกต มันคือทะเลครับ! สวยมากๆ เป็นทะเลฝั่งที่ไกลสุดลูกหูลกตา เลยทำให้บรรยากาศเหมือนกับพักอยู่บนเกาะยังไงยังนั้นเลยทีเดียว

หลังจากสูดอากาศตรงระเบียงแล้ว จึงเดินออกจากห้องไปดูในส่วนของ Lobby ซึ่งเป็นจุดที่มีต้นคริสต์มาสยักษ์ กลางห้องนั่นเอง (เป็นจุดที่มี wifi ด้วย)

ในส่วนนี้ จะมี Lounge สำหรับทานอาหารว่าง และนั่งเล่น ซึ่งขณะที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่ ก็มีเจ้าหญิงในเทพนิยายสองสามนางยืนถ่ายรูปคู่กับเด็กๆ และสร้างรอยยิ้มให้อย่างไม่ขาดสาย

เราเดินวนเล่น และแวะดูร้านขายของที่ระลึกในโรงแรมสักพัก จึงนั่งรถ shuttle bus เพื่อเดินทางเข้าสู่สวนสนุก Disney Land

ทางเข้าสวนสนุกจะมีประตูทางผ่าน เพื่อเสียบบัตรเข้าไปครับซึ่งบัตรที่เรามีเป็นบัตรแบบเล่นได้ทั้งวัน ดังนั้น จะเข้าจะออกกี่รอบก็ได้ แต่ๆๆๆ… พี่ชัยได้เตือนไว้ว่า ก่อนจะออกในครั้งแรก เราต้องแจ้งพนักงานก่อน เพื่อให้เขาปั๊มสัญลักษณ์ไว้ครับ ว่าเราเคยเข้ามาแล้ว ถ้าไม่ปั๊ม ต่อให้ถือบัตร เขาก็ไม่ให้เข้าครับ

และที่น่าสนใจคือ ตราปั๊มจะเป็นแถบเรืองแสงครับ จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้ไฟส่อง(คล้ายๆตรวจแบงค์ปลอม) จึงทำให้ไม่มีรอยให้น่ารำคาญ รวมไปถึงมันไม่จางเมื่อโดนน้ำด้วย! เท่จริงๆ

    

เราตัดสินใจกันว่าจะนั่งรถไฟวนรอบสวนสนุกดีไหม คือถ้านั่ง มันจะไปลงที่สถานีด้านหลังของสวนสนุกครับ และเป็นเส้นทางให้เราย้อนเล่นจากด้านหลังมาด้านหน้า แต่ระหว่างที่คิด ผมเดินไปหยิบแผนที่ที่แจกฟรีตรงทางเข้ามาดู แล้วเราจึงตัดสินใจว่า จะไป Adventure Land ก่อน ซึ่งอยู่ใกล้ๆนี่เอง น่าจะสนุกกว่า

เส้นทางไป Adventure Land จะต้องเดินลอดอุโมงค์รถไฟ มีป้ายเขียนไว้ทางเข้าว่า “HERE YOU LEAVE TODAY AND ENTER THE WORLD OF YESTERDAY, TOMORROW AND FANTASY” ชอบๆๆ

สองข้างทางเป็นร้านค้าที่สร้างขึ้นมาสไตล์ยุโรป อารมณ์ยุคเรอนาซองค์ (Renaissance) แบบในเทพนิยายที่มีเจ้าหญิงเจ้าชายและใครอีกคน (อันหลังผมต่อเองครับ ฮ่าๆ) สวยมากกก

 

ซึ่งถนนที่เราเดิน เป็นถนนสายหลัก มีชื่อตรงตัวว่า Main Road ซึ่งจุดต้นของถนนจะเป็นตันคริสต์มาสยักษ์ (ใหญ่กว่าในโรงแรมมากๆ ประมาณตึก 3-4 ชั้น) และปลายถนนจะไปสุดที่จตุรัสลานน้ำพลุ ที่ตั้งของปราสาท สัญลักษณ์ของดิสนีย์แลนด์เขาหละ

ณ เวลานั้น คนเยอะมากมายเลยครับ เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงจตุรัส แล้วแวะถ่ายปราสาทเล็กน้อย ตอนแรกเราจะหาร้านอาหารเพื่อนั่งกินข้าวเช้า แต่รู้สึกร้านในย่าน Mai Road อาหารจะหรูหรา ไม่ค่อยถูกปาก ถูกกระเป๋าเงินเราเท่าไร จึงตัดสินใจไปซื้อ Hot Dog มากิน เรื่องราคาก็ขำๆ ครับ 20 เท่าไทยเป๊ะ! แต่ 20$hk นะ คูณด้วย 4 ก็ประมาณ 80 บาท! (กินแล้วอยากกลับไปซื้อของร้านไก่ยี่สีห้อแดงที่เมืองไทยเสียเดี๋ยวนั้น!)

หลังจากอิ่ม(แบบไม่เต็มใจเท่าไร) เราก็เดินไปถึง Adventure Land ครับ (ถ้าสังเกตในแผนที่ในรูป จะแบ่งเป็นโซนๆ ให้เราได้เลือกกัน)

ระหว่างที่เดินไป ใกล้กับเวลาที่ Festival of the Lion King เปิดรอบการแสดงพอดี เราจึงไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปดู เพราะพี่ชัยได้แนะนำไว้ก่อนแล้วว่า เป็นการแสดงที่ต้องดูให้ได้!

ในการแสดงนี้เป็นละครเพลงของการ์ตูนเรื่อง The Lion King โดยทั้งหมดใช้มนุษย์แสดง ควบคู่ไปกับตุ๊กตาหุ่นที่ถูกสร้างให้ขยับได้ อลังการงานสร้างมากๆ

ใช้เวลาอยู่ประมาณ 30 นาที การแสดงก็จบครับ แต่เป็น 30 นาทีที่คุ้มค่ามากมาย

เราเดินไปฝั่งตรงข้ามของโรงการแสดง The Lion King เพื่อนั่งแพข้ามฟากไปบ้านทาร์ซานเจ้าป่า

เป็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาบนต้นไม้ขนาดใหญ่ มีน้ำตก ร่มรื่น และเดินชิลๆ มาก วิวที่เห็นจากด้านบนก็สวยดีครับ เหมือนอยู่กลางป่าเลย

ระหว่างเดินเล่นอยู่บนบ้านทาร์ซาน สายตาผมก็ดันซุกซนไปเห็นสาวน้อยคนหนึ่ง จริงๆ เธอเดินตามหลัง ผมมาสักระยะ แต่ผมปล่อยให้เธอเดินนำหน้าไป เพราะเห็นแว๊บๆ ว่าเธอน่ารัก ฮ่าๆ

สุดท้ายก็เดินเข้าไปทักทายครับ เธอชื่อเฉินซิ่ง (Chen Xing เธอแปลให้ฟังว่า “Star in The Morning” หรือ “ดวงดาวในยามเช้า”) เป็นคนจีน อยู่เหอหนานครับ บินมาเที่ยวขำๆ คนเดียว และเธอเพิ่งมาที่ Hong Kong Disneyland ครั้งแรกเหมือนเรา เราจึงจีบ เอ้ยชวนเธอไปเที่ยวด้วยกัน 😀

ที่ใกล้ๆ กับบ้านทาร์ซาน มีเรือผจญภัยพาชมรอบเกาะของบ้านทาร์ซาน มีไกด์ชาวจีน แต่พูดอังกฤษบ้าง จีนบ้าง อธิบายให้เราฟังไปตลอดทาง ชี alert มากๆ เหมือนสนุกอยู่กับตัวเอง กรี๊ดกร๊าดกะตู้วู้ตลอดการเดินทาง ซึ่งระหว่างล่องเรือไป ชอบมีสัตว์แปลกๆ สถานการณ์แปลกๆ มาทำให้เราตกใจบ้าง ขำบ้าง ให้สนุกสนานกันไป

หลังจากเล่นจนพอใจใน Adverture Land เราไปต่อกันที่ Fantasy Land ซึ่งโซนนี้เป็นอะไรที่หวานๆ หน่อย เหมาะกับสาวๆ และเด็กๆ เพราะมีพวกม้าหมุน ปราสาท อะไรทำนองนั้น พวกเรารวมถึงเฉินซิ่ง ก็เดินไปจนถึงปราสาทของ “it’s small worl christmas” ซึ่งนับเป็น hightlight ของเทศกาล Sparkling Christmas ที่ Hong Kong Disneyland เหมือนกันครับ

ในปราสาทจะมีเรือล่องไปตามน้ำ ให้เรานั่งไปเรื่อยๆ ผ่านโซนของแต่ละวัฒนธรรมทั่วโลก ซึ่งแต่ละโซนจะมีตุ๊กตามาร้องเพลงเมอรี่คริตร์มาส ในทำนองของแต่ละประเทศ เช่น แถบอินเดีย ดนตรีก็แนวๆ อินเดีย ดึ่มดึ๋ยๆ หรือโซนจีน, ญี่ปุ่น ดนตรีก็จะออกแนวๆ จีน ขอบอกว่า ตุ๊กตาน่ารักมากๆๆๆๆ เป็นตุ๊กตาหุ่นตัวเล็กๆ ดิ้นไปดิ้นมา เราใช้เวลาอยู่ในนั้นประมาณ 20 นาที เพลินไปเลยทีเดียว

  

เราเดินไปต่อกันที่ Tomorrow Land ซึ่งตรงนั้นต่ายขอแยกไปเล่น “Space Mountain” ส่วนผมกับเฉินซิ่งไปนั่งกินข้าวเที่ยงครับ คือหิวมากๆ (ณ เวลานั้น บ่าย 2)

ข้าวมื้อแรกแบบ Full Option ที่กินใน Disneyland เป็นข้าวไก่หนาวโจว 45$hk กับโค้กอีก 20$hk ซึ่งเฉินซิ่งบอกว่า ข้าวไก่ที่ผมสั่งไม่ใช่แบบนี้ แป่วเลย.. แต่ช่างมันครับ หิว กินๆๆ

กินเสร็จก็เดินไปหาต่ายเพื่อรอดูพาเหรดของ Disneyland ตอนนั้นคนเริ่มทะยอยปักหลักตามข้างทางเยอะมากๆ สุดท้าย หากันไม่เจอ เขาปิดถนนเสียก่อน จึงแยกกันดู

ขบวนพาเหรดของ Disneyland เป็นอะไรที่ทุกคนที่มาเที่ยวต้องรอชมครับ และเป็นเหมือนวัฒนธรรมของ Disneyland ทุกแห่งที่จะต้องมี ดังนั้น ทุกคนจะหยุดเล่นทุกอย่าง เพื่อมารอดู

ในรอบนี้เป็นเทศกาล “Sparkling Christmas” จึงทำให้ขบวนพาเหรดพร้อมใจกันสวมชุดเปนซานต้ากันหมด น่ารักมากๆๆ

ในระหว่างที่ดูพาเหรด พวกเราเจอเหล่าเด็กๆและอาม่าคอยแทรกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตอนแรก อาม่าแกจะส่งลูกๆหลานตัวเล็กมาแทรกไปข้างหน้าเราก่อน (ตอนแรกผมยืนติดถนนเลยนะ) หลังจากนั้น อาม่าจะสไลด์ตัวเข้ามา ทำทีท่าว่ามาดูแลหลานตัวเล็กๆ แล้วก็ปักหลักคาอยู่แบบนั้น จนทำให้เราต้องเลื่อนมาอยู่แถวสองและสามในกาลต่อมา

     

หลังจากพาเกรดจบ ประมาณ 5 โมงเย็น ผมก็เจอกับต่าย และเฉิ่งซิ่งก็ลาพวกเรากลับไปที่โรงแรมใน Tsim Sha Tsui

ผมกับต่ายไปเดินเลือกซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ กลับไทย และจึงเดินทางกลับโรงแรมไปเก็บของ เพื่อเตรียมตัวดูพลุอีกครั้งตอน 2 ทุ่ม (แต่เราไม่ลืมที่จะให้พนักงานปั๊มตราว่าเคยเข้าชมมาแล้วด้วยนะ 😀 )

เรากลับไปเคลียร์ทะยอยรูปลง notebook และจัดแจงเก็บขาตั้งกล้องอย่างดิบดี ออกเดินทางกลับไปที่สวนสนุกอีกครั้งตอน 18.30

ก่อนจะไปดูพลุ เรามุ่งไปใช้บัตรอาหารฟรีกันก่อนที่ร้าน Tahitian Terrace ซึ่งอยู่ใน Adventure Land และเราคิดว่าอาหารเข้าท่าที่สุด

ระหว่างที่กำลังเดินไปตัวปราสาท เรานึกแปลกใจว่าทำไมมีคนยืนๆ นั่งๆ ตรง Main Road กันเยอะมาก จึงกางตารางเวลาออกมาดู และนึกขึ้นได้ว่ามันจะมีการแสดง “Lights of Winter”

เป็นการแสดงบนถนน Main Road ที่มีคนถือเสารูปหิมะ ยืนเรียงรายกันตลอดถนน ประกอบกับมีดนตรีบรรเลง จากนั้น ไฟที่เสาหิมะจะค่อยๆ ติดทีละดวงจากต้นคริตส์มาสยักษ์ไปจนถึงลานน้ำพลุตรงปราสาท สวยมากครับๆ

และนั่นเอง ทำให้ผมรู้ว่า ขาตั้งกล้องที่ผมพกมา ใช้ไม่ได้ครับ T-T เพราะผมลืมฐานที่เสียบกล้องไว้ที่โรงแรม..

ประกอบกับคนเยอะมากๆ จึงทำให้การวางกล้องไว้บนขาแบบไม่มีที่ล็อก ทำได้ยากมาก ผมจึงเก็บภาพแทบไม่ได้เลย ในระหว่างการแสดงแสงสี

ผมสั่งคล้ายๆ มื้อกลางวัน ที่ผมคิดว่าพอกินได้ นั่นคือ ข้าวหน้าไก่ไห่หนาน กับ โค้ก (อีกแล้ว) สุดท้าย มื้อเย็นวันนั้น ข้าวหน้าไก่ไห่หนาน มันคือข้าวมันไก่ต้ม ที่รสชาติแห้งๆ เย็นๆ แถมกระดูกไก่คอยติดฟันตลอด ฮ่าๆ

แต่เอาเถอะ ประสบการณ์ชีวิต อย่างน้อยผมก็กลับมาเล่าได้นะ ว่าผมเคยกินข้าวมันไก่จานละ 300 บาท มาแล้ว ฮ่าๆ (ส่วนต่ายกินบะหมี่น่องไก่ชามละ 300 บาท เช่นกัน)

(จริงๆ ข้าวใน Disneyland เฉินซิ่งก็บอกว่าแพงครับ และในวันแรกที่ผมไปเที่ยวในเกาะฮ่องกง ราคาอาหารก็ไม่ได้แพงขนาดนี้)


Hainan Chicken and Rice หรือบ้านเราเรียกว่า ข้าวมันไก่ นั่นเอง

หลังจากพวกเรากินมื้อเย็นเสร็จ จึงรีบไปที่จตุรัสเพื่อปักหลักหามุมถ่ายภาพครับ ซึ่งทุกคนให้ความร่วมมือกันดีครับ โดยทุกคนจะนั่งลงกับพื้น เพื่อไม่ให้บังคนด้านหลัง แต่ทีน่ารำคาญคือพวกมีรถเข็นเด็กครับ พี่ท่านปล่อยให้รถเข็นโผล่ขึ้นมาเป็นหย่อมๆ เสมือนมีควายตัวเล็กๆ มายืนบัง (ด้ามจับมันจะโค้งสองข้าง เหมือนขาควาย) แล้วมันอยู่แบบนี้หน้าผมไป 2 เมตร แต่ยังโชคดีที่รัศมีเขาควาย มันยังไม่สูงบังปราสาทมากนัก

และแล้วการแสดงพลุ “Disney in the Stars” ก็มาถึง..

ใช้เวลาประมาณ 40 นาที การแสดงก็จบลง ส่วนตัวผมคิดว่ากำลังดีครับ ทั้งพลุทั้งแสงสี คือ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการแบบที่บ้านเราจุดเฉลิมฉลอง แต่ก็คงความสวยงามคู่กับตัวปราสาทได้อย่างดี ตามภาพที่เห็น

อากาศตอนนั้นเย็นๆ กำลังดี และแค่ 2 ทุ่มกว่าๆ ผมกับต่ายจึงเข้าไปที่โรงแรมเพื่อเก็บของ และออกไปท่องราตรีอีกรอบในฮ่องกง

เราเลือกที่จะไปเดินเล่น Mong Kok ครับ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรให้เลือกดูเยอะกว่า Tsim Sha Tsui หรือ ตามถนน Nathan

นั่งรถไฟใต้ดินจาก Disneyland ไปถึง Mong Kok ประมาณ 40 นาที เรามาโผล่ตรง Ladies Market ซึ่งเป็นหนึ่งในย่านของ Mong Kok และเป็นย่านที่ผู้หญิงเดินเยอะมากๆ

 

เรากะว่าจะไปหาร้านบะหมี่แบบวันแรกกินอีกสักรอบ แต่แล้วก็ขี้เกียจครับ เลยเดินซื้อเป็นพวกของกินเล่นแทน เช่น ปลาหมึก หมู ไก่ ปิ้ง ย่าง ทำนองนั้น อย่างละ 10$hk ส่วนผมก็ซื้อเครฟกินด้วย อร่อยดี ในราคา 17$hk

  

ใน Mong Kok จะมีถนนสามเส้นหลักๆ ที่ของขายเยอะมาก และผู้คนก็เดินเยอะมากๆ เช่กนัน (แม้ในขณะที่ผมเดินคือ 22.00 – 23.00 คนก็ยังเยอะเหมือนกลางวัน) นั่นคือ Sai Yeung Choi St. South (ขายพวก มือถือ คอมพิวเตอร์ กล้อง สินค้า Electronic ทั่วไป), Tung Choi St. (ขายพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ทั้งหญิง ชาย ของฝาก), Fa Yuen St. (ขายพวกรองเท้า เสื้อผ้ากีฬา) ซึ่งใครสนใจไป เดินเล่นซื้อกันให้เพลินเลยครับ

ส่วน ผมกับต่ายได้ไปซื้อเสื้อผ้าและของฝากที่ถนน Tung Choi St. โดยผมได้เสื้อที่มีสัญลักษณ์ HK มา 5 ตัวในราคา 100$hk (แต่ถ้าเดินไปอีกหน่อยกลางๆซอย จะมี 6 ตัว 100$hk)

  

ได้กิน ได้เที่ยว ได้ของฝาก จึงได้รีบขึ้นรถไฟใต้ดินกลับ ซึ่งรถไฟใต้ดินของฮ่องกง จะมีรอบสุดท้ายประมาณเที่ยงคืน และในฮ่องกงรถไฟฟ้าใต้ดินสะดวกที่สุดครับ ไปได้แทบทุกที่ที่เราต้องการ วิธีขึ้นและป้ายก็ไม่ยากนัก ขอเพียงเรามีแผนที่ที่จะไป แล้วสังเกตุสัญลักษณ์รถไฟฟ้าของเขาไว้ให้ดี เป้นสีแดงๆ มีเส้นบน ล่าง สามเส้น (ตามภาพที่ผมลงไว้ครับ)

รู้สัญลักษณ์ มีแผนที่ แค่นี้ก็เที่ยวฮ่องกงได้สบายแล้วครับ นี่แหละ ที่ทำให้ผมกับต่ายปีกกล้าขาแข็งมาก ที่จะไปเดินลุยในฮ่องกงโดยไม่กลัวอะไร

วันนั้นเรากลับไปถึง Hong Kong Disneyland Hotel ตอน ตี 1 ซึ่งโชคดีที่มีรถ shuttle bus เที่ยวสุดท้ายพอดีเลย..

สนุกมากครับวันนี้ เที่ยวซะคุ้มเลย ยังมีอีกเป็นวันสุดท้าย ซึ่งคราวหน้าผมจะมาเขียนต่อครับ คืนนี้ขอจบเท่านี้ บายๆ 😀


ซีรี่ – เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!!

วันที่ 1 – ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกง
วันที่ 2 – ลุย Hong Kong Disneyland
วันที่ 3 – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง


Source: http://ifew.exteen.com

เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!! – ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกง

ในคืนหนึ่งกลางเดือนพฤศจิกายน ผมกำลังวุ่นๆ กับการเตรียมตัวไปแชงกรีลา จู่ๆ ไอ้ต่าย (ipats) ส่งลิงค์หนึ่งมาให้ผมดู >>http://www.ktc.co.th/ktcworld/detail.php?module=game&id=124

ผมนั่งนั่งอ่านอยู่พักใหญ่ มันเป็นหน้ากิจกรรม KTC Real Team จัดโดย KTC World ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อให้สมาชิกในเว็บ ktcworld.com ได้ไปเที่ยว หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ แล้วนำมาเล่าต่อให้เพื่อนๆ ฟัง

โดยทั้งหมดในทริปนี้ ไปฟรี!!!!

ผมยังไม่ทันตัดสินใจอะไร ต่ายพิมพ์มากดดันต่อ “เราจะส่งชื่อเรากับแกไปเล่นเกมส์ ถ้าได้ไปแกต้องไปถ่ายรูปให้ด้วย!” ผมสองจิตสองใจเพราะมันกระชั้นชิดกับทริปแชงกรีลาที่ผมใช้เวลาวางแผนหลายเดือนมาก แต่ผมก็ตอบตกลง แบบไม่ได้คาดหวังอะไร

ต่ายจัดแจงเอาข้อมูลต่างๆในการถ่ายรูปและเขียนบล็อกของผมและของมัน แนบไปกับคำบรรยายถึงเหตุผลที่อยากไป ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์

วันหนึ่งต่ายมันส่ง msn มาบอกผมว่า “เฮ่ย ได้ไปฮ่องกงว่ะ”

พอรู้แล้วผมก็ทำตัวไม่ถูก เพราะต้องเดินทางใน 4 วัน แถมกลับมาต้องไปแชงกรีลาต่อ กลัวจะเหนื่นเกินไป แต่เอาเถอะ รับปากแล้ว ไปฟรีด้วย ไปก็ไปวะ

คืนนั้นโทรบอกอาม่ากับแม่ว่าอาทิตย์นี้คงไม่ได้กลับบ้าน และต้องไปจีนต่อเลย
แม่ งอล ไม่พูดด้วยไป 1 วัน แต่วันรุ่งขึ้นเจ๊แกก็โทรมาบอกว่า วันเสาร์จะไปส่งที่สนามบินก็แล้วกัน 😀

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2552, วั้นนั้นต่ายนั่ง taxi มาหาที่คอนโดผม และมีแม่กับพี่สาวนั่งมาด้วยที่สุวรรณภูมิ

พอไปถึง เราไปเจอกับคุณแม่น้องพลอยและน้องพลอย ซึ่งเป็นอีกทีมที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเรา จากนั้นเราก็เจอกับคนของทางบริษัททัวร์ชื่อ “ตระกูลเฉิน” ที่มารอเราอยู่แล้ว เขาได้อธิบายการเดินทางคร่าวๆ พร้อมแจกบัตรต่างๆ รวมไปถึงช่วย check-in  ให้เรียบร้อย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เราบินด้วยเครื่องบินของ Cathay Pacific

ระหว่างที่รอเครื่องขึ้นแวะไปนั่ง King Power Lounge ก่อน เพื่อกินของว่าง และต่อ wifi เล่นเน็ตด้วย ตอนเดินไปว่าไกลแล้ว ตอนเดินกลับ ไกลกว่าสองเท่า เพราะเราต้องไปอีกฝั่งหนึ่งของสุวรรณภูมิ (มารู้อีกทีว่าฝั่งนั้นก็มี King Power Lounge เหมือนกัน) เล่นเอาหายใจไม่ทันตอนวิ่งขึ้นเครื่องเลยทีเดียว T-T

แอร์โฮสเตสขาไปมีคนจีนกับคนไทยผสมกัน ไม่ว่าจะไทยหรือจีน รู้แต่ว่าขาวหมวย น่ารักสมคำร่ำลือจริงๆ (เคลิ้มมม…)

ใช้เวลาอยู่บนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งผมเป็นคนที่ถ้าไม่ง่วง จะหลับยากมาก จึงหยิบกล้องออกมาถ่ายริมหน้าต่างบ้าง(ผมนั่งติดหน้าต่าง) แอบถ่ายแอร์บ้าง(อันนี้นิสัยไม่ดี)  พอขี้เกียจถ่ายก็นั่งดูหน้าจอทีวี ซึ่งมันจะมีแผนที่เส้นทางการบิน, ระยะเวลาเดินทางที่เหลือ, อุณหภูมิ และเวลา บอกอยู่เรื่อยๆ เหมือนโรคจิตนิดๆ ที่แอบดีใจ เมื่อระยะทางมันใกล้ลงเรื่อยๆ ฮ่าๆ (จริงๆ อาจจะโรคจิตตั้งแต่แอบถ่ายแอร์แล้วหละนะ 555)

เรามาถึงสนามบิน เช็ก ลัป ก๊อก (Chek Lap Kok, Hong Kong) ของฮ่องกงประมาณ 11.00 น. ในเวลาฮ่องกง (ประมาณ 10.00 น. ของไทย)

พี่ชัย เป็นไกด์ของบริษัทตระกูลเฉินอีกเช่นกัน ยืนถือป้ายรอรับเราอยู่ เพื่อพาเรานั่งรถบัสไป Hong Kong Disneyland Hotel ระหว่างทางพี่ชัยอธิบายเรื่องฮ่องกงคร่าวๆ ให้เราฟัง รวมไปถึงแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวัน

ต่ายเป็นตัวแทนไปประชุมกับทาง KTC ตอนอยู่กรุงเทพฯ ได้อธิบายให้ผมฟังคร่าวๆ แล้ว พอมาฟังแผนการเที่ยวของพี่ชัยอีกครั้ง ผมกับต่ายจึงตกลงกันว่า เมื่อเช็คอินเสร็จแล้ว แทนที่เราจะต้องไปเล่นเครื่องเล่นใน Disneyland เราจะเปลี่ยนแผนไปเที่ยวในเกาลูนและเกาะฮ่องกงแทน โดยเป้าหมายของผมคือ The Peak นั่นเอง (จุดถ่ายรูปที่อยู่บนยอดเขาเหนือเกาะฮ่องกง)

ซึ่งการไป Hong Kong Disneyland คือใช้รถไฟฟ้าครับ สะดวก รวดเร็ว และน่ารักสุดๆ

ตอนไปถึง Disneyland เราเข้ามาเช็คอินโรงแรมเร็วเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปในห้องพักเพื่อเก็บกระเป๋าได้ จึงได้ฝากกระเป๋าและออกมาจากโรงแรมทันที (โดยใน Disneyland จะมีรถบัสคันเล็กวิ่งรอบๆ รับ-ส่ง คนจาก Hong Kong Disneyland Hotel, Hong Kong Disney’s Hollywood Hotel และสวนสนุก Disneyland ตลอด ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ โดยจะมาทุกๆ 15 นาที)


ระหว่างรอ ก็นั่งมองสาวฮ่องกงนอนหลับพริ้มเลยนะฮะ แฮ่ๆ

เราตัดสินใจซื้อบัตร Octopus ซึ่งเป็นบัตรที่อำนวยความสะดวกของเราตลอดระยะเวลาการเดินทาง มันสามารถแตะบัตรจ่ายเงิน ค่ารถเมล์ ค่ารถไฟ ค่านั่งเรือ รวมไปถึงซื้อของตามร้าน 7-11 และร้านสะดวกซื้อหลายๆ ร้านได้

โดยเราได้ซื้อกัน 100$hk (1$hk = ~4 บาท) โดยการซื้อจะต้องเสียค่ามัดจำบัตรอีก 50$hk

ผม ต่าย พี่ชัย เรานั่งรถไฟจาก Disneyland ไป Mong Kok เพื่อเดินเที่ยวย่านนั้น ซึ่ง Mong Kok เองเป็นย่านที่ผู้คนจอแจมากที่สุดในเกาลูน มีขายของต่างๆ มากมาย ทั้งแบรนด์และไม่แบรนด์ ซึ่งเราแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่นั่นเป็นมื้อกลางวัน

พี่ชัยอธิบายพร้อมกับชี้ให้เราดูว่า ตึกในฮ่องกงส่วนมากไม่ใช้นั่งร้านเหล็ก แต่ใช้ไม้ไผ่ โดยเอาไปแช่น้ำทะเลและมีขั้นตอนการทำให้เหนียวและทนทาน จึงทำให้มีราคาถูก ยืดหยุ่น และดีกว่าเหล็กเสียอีก

จากนั้นเดินไปตามถนน Nathan ซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเลือกชมเพชร พลอย ทอง เสื้อผ้าแบรนด์เนม รองเท้า และบรรยากาศก็เย็นๆ ร่มรื่นเพราะมีแต่ตึกสูงๆ คอยบังแดดให้ ส่วนบนถนนเต็มไปด้วยรถโดยสารสองชั้นและ taxi (รถที่นี่ไม่ติด)

เราแวะดูเสื้อที่ Bossini กับ Jiordano ซึ่งเป็นราคาปกติที่ยังไม่ทำโปรโมชั่น คิดเป็นเงินไทยแล้วถูกกว่าในไทย 30-50% เลยทีเดียว (เข้าใจแล้วว่าทำไมคนไทยชอบมาซื้อของที่ฮ่องกง) จริงๆ มีกระเป๋า Samsonite อีกตัวที่พี่ชัยบอกว่าถูก เพราะแบรนด์เหล่านี้ผลิตในฮ่องกง

เราเดินชมเมืองอยู่ตามถนน Nathan ไปจนถึงย่าน Tsim Sha Tsui เป็นย่านที่คนไทยนิยมชอบมาซื้อสินค้าแบรนด์อีกเช่นกัน โดยย่านนี้ถ้าเรายืนตรงริมทะเล จะมองไปเห็นวิวเกาะฮ่องกงได้สวยมากๆ เป็นจุดที่ช่างภาพนิยมไปถ่าย รวมถึงเป็นจุดที่หลายคนรอชมการแสดง Symphony of Lights ด้วย (การเล่นแสงเลเซอ ไฟสีต่างๆ บนตึกของฮ่องกงยามค่ำคืน)

แวะถ่ายรูปเสร็จ เรายืนตกลงกันว่าจะไป The Peak ก่อน หรือยืนรอชม Symphony of Lights ก่อน เพราะตอนนั้นเป็นเวลา 17.00 ซึ่งการแสดง Symphony of Lights จะมีตอน 20.00 คือ เหลืออีก 3 ชั่วโมง จึงตกลงกันว่าจะไปขึ้น The Peak ก่อน เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็มุ่งหน้าไปขึ้นเรือเฟอรี่ทันที เพื่อข้ามฝั่งไปเกาะฮ่องกง และตอนนั้นเองพี่ชัยก็ขอตัวลาเรากลับบ้านที่เซินเจิ้น ปล่อยสองหนุ่มไทย ลุยกันตามยถากรรม ฮือๆ

เรานั่งเรือจาก Tsim Sha Tsui, Kowloon เพื่อไปลง Central, Hong Kong เนื่องจากถามทางจากพี่ชัยมาว่า ระยะทางจาก Central ไปท่ารถขึ้น The Peak มันไม่ไกลนัก เราจึงตัดสินใจเดินเท้าแทน

เดินไปเรื่อยๆ ถนนหนทางในนั้น เป็นเนินเขา ให้เราต้องออกแรงกันตลอด บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่ามันชันพอสมควร และสุดท้ายพวกเราก็หลงทางครับ! เดินวกไปวนมา อยู่แถวๆ Zoological and Botanical Garden เสียเวลาร่วมชั่วโมง เพราะเราดูในแผนที่แล้ว ไอ้ท่ารถเนี่ย มันอยู่ตรงนี้แน่ๆ แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ ถามหลายๆ คนแถวนั้นก็ไม่รู้เรื่อง จนสุดท้าย ไปเจอคนยืนต่อแถวยาวมากตรงโบสถ์ St.Joseph และตรงนั้นเอง คือท่ารถขึ้น The Peak

เหนื่อยกันไปตามระเบียบ..

เราไม่รู้ว่าแถวนั้นต่อเข้า The Peak Tram ซึ่งเป็นรถรางไฟฟ้าที่จะลากเราขึ้นไปบนยอดเขา แต่ก็เอาเถอะครับ เต็มใจขึ้น ลองของใหม่ ซื้อตัวไป-กลับ พร้อมบัตรเข้าชม The Peak แต่กว่าเราจะได้ขึ้น (รวมเสียเวลาเดินหลง) ก็ล่วงมา 19.00 แล้ว

ต่อแถวรอนานร่วมยี่สิบนาทีก็ได้ขึ้นรถราง ซึ่งทางที่รถรางวิ่งจะเสียวเล็กๆ เพราะชัน แทบจะเอียงเกิน 45องศา เลยทีเดียว

และในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึง The Peak ครับ ซึ่งขอบอกคำเดียว สวยมากๆๆๆ คุ้มค่ากับการรอคอย เราอยู่บนนั้นกันสักพัก ผมเองก็ถ่ายรูป ส่วนต่ายเดินไปเดินมาดูวิว ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ลง เพราะอากาศตอนนั้นลมแรงและเย็นมาก

ขาลง คนรอขึ้นรถรางเยอะเช่นเดิม คิดว่าเยอะกว่าขาขึ้นเสียอีก เราเลยตัดสินใจ ยอมขาดทุนไม่นั่งรถราง แต่ไปเสียเงินนั่งรถเมล์แทน ซึ่งก็คิดถูกครับ ค่ารถ 8$hk พาเราลงจาก The Peak ไปจนถึง Central ท่าเรือที่เราจะข้ามฝั่งเพื่อกลับ Kowloon ทำให้เรารู้สึกไม่ฉลาดทันทีเลยทีเดียว ว่าทำไมไม่ขึ้นรถเมล์ไปตั้งแต่แรก เพราะค่าตั๋วนั่งรถรางราคาค่อนข้างแพง

เรานั่งเรือเฟอรี่กลับมาฝั่ง Kowloon เพื่อถ่ายภาพเกาะฮ่องกงยามมืด ถึงแม้จะไม่ทัน Symphony of Lights แต่ฮ่องกงก็ยังคงสวยงามด้วยแสงไฟ และรูปทรงของตึกสูงต่างๆ

  

ถ่ายรูปจนพอใจ เกือบๆ 11.00 น. ตอนแรกว่าจะกลับไปหาอะไรกินแถว Mong Kok แต่ว่ากลัวรถไฟใต้ดินปิดเสียก่อน จึงเลือกกิน McDonald แถวนั้น ซึ่ง McDonald ที่นี่มีเมนูไม่หลากหลายเท่าไร ไม่มีซอสให้กด แต่ให้มาเป็นซอง ส่วนเรื่องราคา ผมว่าพอๆกับบ้านเรา

กินเสร็จ นั่งรถไฟใต้ดินกลับเหมือนเดิม และต่อรถบัสของสวนสนุกเข้าไปโรงแรม ซึ่งครั้งแรกที่เข้าไปเห็นห้องนอน มันเป็นห้องที่หรูมาก และดีมาก ของอำนวยความสะดวกมีให้ทุกอย่าง รวมไปถึงสาย Lan ใช้ต่อเน็ต (ใน Lobby มี Wifi แต่ในห้องนอนใช้สาย Lan, งงกับเขาเลย)

พรุ่งนี้เราคงอยู่เที่ยวสวนสนุกกันทั้งวัน ไม่รู้จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวไว้กลับมาเขียนต่อนะครับ 😀


ซีรี่ – เที่ยว Hong Kong Disneyland 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 0 บาท!!

วันที่ 1 – ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกง
วันที่ 2 – ลุย Hong Kong Disneyland
วันที่ 3 – ชมพระใหญ่ วัดป่อหลิง


Source: http://ifew.exteen.com

ถึง เพื่อนคนหนึ่งที่แสนดี

ไม่บ่อยนักที่ประเทศไทยจะเย็นสบายขนาดนี้
เย็นสบายจนค่อนข้างที่จะหนาว ในบางขณะ
และจะมีสักกี่ครั้งที่ชีวิตคนหนึ่งได้เหงาในหน้าหนาว
ว่าแล้ว หนาวนี้เรามาเหงาด้วยกันนะครับ.. ฮ่าๆ

จริงๆ ผมก็ทะเลาะกับไอ้เจ้าความเหงามันบ่อยๆ
แต่บางทีผมก็ซี้กับมันปานพี่น้องคลานตามกันมา

วันไหนทะเลาะกับมัน รู้สึกว่าอยากมีแฟนใจจะขาด
ใครก็ได้ที่อยู่ด้วยรู้สึกดีและคุยกับเราเข้าใจ

แต่วันใดตบหัวเล่นกัน ผมโครตจะอิสระเลยหละครับ
บ่อยครั้งก็ใช้ความรู้สึกนั้นเขียนลงบล็อกระบายความในใจ แบบที่กำลังทำอยู่

ช่วงนี้หนาวหน่อย เจ้านี่มันเหมือนจะเริงร่าและขัดใจผมตลอด
จนเราต้องทะเลาะกันบ่อยครั้งตามปริมาณอุณภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ
ผมล่ะเบื่อมันจริงๆ..

4-5 ปี ที่แล้ว ผมตกลงกับเจ้านี่ไว้ก่อนที่เราจะเป็นเพื่อนกัน
วันใดเราดีกัน นายต้องทำให้ผมมีความสุขและสนุกในชีวิต
แต่หากวันใดที่เราทะเลาะกัน ขอให้การทะเลาะนี้เป็นการเตือนสติว่า ครั้งหนึ่งผมทำตัวไม่ดีเอง

อยู่ด้วยกันมา 5 ปีแล้ว
แม้มันจะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง
แต่อะไรที่ผ่านมาแล้ว ดีเสมอ 😀

ปล. เราจะคบนายต่อไปนะเจ้าเหงา จนกว่าจะมีใครสักคนพรากเราไปจากนาย


http://ifew.exteen.com/20091122/entry

Exit mobile version