ระยะ 70กม ของงาน UTKC2017
คงไม่มีอะไรรีวิวมากมาย
แต่จะเล่าถึงสิ่งที่เป็น
และเป็นประสบการณ์ที่ไม่อยากเจอมากที่สุด

เสียดาย และเจ็บใจ ที่ต้องทำให้เกิด DNF แรกในชีวิต
เพราะความห่วยแตกของร่างกาย ที่ก็ไม่รู้เป็นอะไร

ผมสร้างแผนไว้ในใจ 3 งาน ก่อนที่จะไปลง 100กม
คือไปโคลัมเบียหนองใหญ่ 50กม โป่งแยง 66กม
และสุดท้ายก็ เกาะช้าง 70กม

สองงานแรก ก็จบได้ตามที่เคยโพสๆเล่าไป

พอมาเกาะช้าง ผมค่อนข้างคาดหวังไว้ว่าจะจบเช่นกัน
ก็มุ่งเล่นกล้ามส่วนสะโพกและทำสคอช เพื่อป้องกัน ITB และเพิ่มความแข็งแรงขา

ก่อนหน้าวันแข่งหนึ่งอาทิตย์ ผมได้ไปเชียงดาว
ผมเริ่มรู้สึกร่างกายตัวเองผิดปกติ
ผมหนาวตลอดเวลา ไอบ่อย และแม้ว่าเดินในจังหวะปกติของตัวเอง ผมก็ยังมีหอบ ต้องพักบ้าง
แต่นั่นก็คิดว่าเพราะมันหนาว และเพราะฝุ่นมันเยอะ
กลับบ้านมาล้างจมูกก็โล่งขึน เหมือนเป็นปกติ

พอถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา ต้องเดินทางตอนตี 4
ตั้งแต่ กทม ไปจนถึงตราด อากาศเย็นมาก และผมรู้สึกหนาว
ต้องคอยลดแอร์ หรือปิดแอร์ในรถ ตลอดทาง
(ซึ่งเพื่อนที่ไปด้วยกันเริ่มสังเกตผมผิดปกติและบอกว่า อากาศมันไม่ได้หนาวขนาดนั้น)
แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร

ไปถึงเกาะตอนเที่ยง รับเสื้อที่งาน
ได้นอนไป 3ชม ตื่นมากินข้าว แล้วนอนไปอีก 1ชม
ตื่นมาเตรียมตัวและไปที่สนามตอน 4 ทุ่มกว่า

เริ่มปล่อยตัวออกวิ่งตอน 23:15น (เลทไปนิดหน่อย เพราะต้องยืนรอรับผู้ชนะ 100กม คนแรก)
ช่วงแรกเป็นทางราบ ก็ค่อยๆเหยาะไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนั้นก็รั้งท้ายแล้ว อยู่กับ sweeper ชื่อพี่ดำ
พอเริ่มขึ้นเขา ผมก็เริ่มเดิน
ไปได้สัก 10 นาที ก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งให้ผมแซงมา
พี่ดำเลยต้องไปตามผู้หญิงคนนั้นแทนเพราะเป็นคนสุดท้าย

ตอนนั้นเดินอยู่ในความมืดคนเดียว เพราะหลุดกลุ่มใหญ่ไปแล้ว
ทางรกมาก ต้องระวังทั้งตอไม้ เถาวัล หิน
ก้มหน้าเดินมองทางซะส่วนใหญ่
แอบมีกลัวเล็กๆ เพราะเพิ่งเจอของดีที่เชียงดาวมา
เลยไปแบบกึ่งๆทำสมาธิ พยายามมีสติจับลมหายใจตัวเองอย่างเดียว

ตอนนั้นคิดว่าจะไม่แซงใครแล้ว จะหาบัดดี้เดินด้วย
แต่ก็กลัวไม่ทัน cutoff เลยเร่งฝีเท้าไปเรื่อยๆ
ผ่านไปชั่วโมงกว่า แซงไป 4-5 คน
จู่ๆเริ่มมีอาการปวดท้อง ท้องว่าง
(แต่ไม่ได้หิวนะ เพราะไม่ได้อยากจะกินอะไร)
สลับกับเริ่มมีอาการหิวน้ำบ่อยผิดปกติ
และพะอืดพะอมอยากจะอาเจียน

เป็นอาการที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมดูเพซตัวเอง ตอนนั้นแม้แต่เดินทางราบ
และรู้สึกว่าตัวเองเดินเร็ว ก็พบว่าอยู่ในเพซ14-16
ซึ่งไม่น่าจะใช่ แต่ดูกี่ทีก็ประมาณนั้น

พอหลุดออกมาจากป่า เข้าสวนยาง
อาจจะเป็นเพราะทางโล่งๆ เคว้งๆ และต้องวนหาริบบิ้นอยู่เป็นระยะๆ
เริ่มมีอาการเวียนหัวและเย็นๆตามผิว
ตอนนั้นเริ่มท้อและถามตัวเอง ว่าจะไปต่อดีไหมวะ

เดินมาจนเจอ ws1 ที่ กม12.5 รู้สึกโชคดีมาก
ฝืนกินกล้วย+น้ำเปล่า+ล้างหน้า และยืนอยู่สักพักดูร่างกายตัวเอง
แต่ไม่รู้สึกว่าดีขึ้นสักเท่าไร

มีพี่นักวิ่งที่นั่งตรงนั้น ถามผมว่าเป็นอะไรไหม ก็เลยเล่าอาการให้ฟัง
เขายื่น pepsi ให้ บอกว่าอาการเหมือนขาดน้ำตาล
แต่ผมไม่ได้รับไว้ ไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไร กลัวอาเจียน
มีพี่นักวิ่งผู้หญิงอีกคนถามผมว่า จะลองฝืนไปไหม ให้ไปพร้อมกับเขา
เพราะเหลือระยะ 9กม กับเวลา 1:45นาที เพื่อให้จบ cutoff1

แต่ผมรู้เส้นทางแล้วว่าข้างหน้าจะเจออะไร
เพราะเป็นเส้นทางที่เคยเจอมาแล้วตอน 35กม ปีที่แล้ว
ผมเลยบอกไปว่า ผมอาจทำเวลาไม่ได้และไม่รอดตรงหินที่เป็นร่องน้ำ เพราะมืดและต้องใช้สมาธิวางเท้า

หลังจากจบบทสนทนา
ผมก็ตัดสินใจหยุดนาฬิกาจับเวลาของตัวเอง
และบอกเจ้าหน้าที่ว่าผมขอ DNF…

เสียใจที่สุด รู้สึกว่าแพ้ทั้งกาย และทั้งใจตัวเอง
ที่จะต้องยอมรับกับสภาพแบบนี้

จนถึงตอนนี ก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
มีหลายคนที่คุยด้วย ก็มีอาการเดียวกันกับผม
แต่ก็มีคนที่เป็นและฝืนไปต่อจนจบได้ด้วยเช่นกัน
แถมแกบอกว่า กะว่าจะได้เจอผมกลางทางสักแห่ง
ยิ่งฟังแล้วก็ยิ่งเสียใจ ที่ต้องพ่ายแพ้ในคืนนั้น

ผมคงต้องเริ่มสังเกตและดูระบบภายในของตัวเองอย่างจริงจัง
เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำรอยแบบนี้อีก

ตอนนี้่อย่าเพิ่งถามและชวนไปแก้มือ
เพราะคงตอบว่า ไม่!
แต่อีก 2 อาทิตย์ คำตอบอาจเปลี่ยนไป ไว้ค่อยว่ากัน

Published by iFew

ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ชื่นชอบหลายเรื่องที่ไม่น่าจะไปกันได้ ทำงานไอที แต่ชอบท่องโลกกว้าง รักประวัติศาสตร์ แต่ก็สนใจเทคโนโลยี ชอบสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และไปป้ายยาคนอื่นต่อ

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Exit mobile version