งานโป่งแยง สนามที่เหมือนสวนหลังบ้าน จำได้ทุกจุด ทุกรอยหยักบนแผนที่ เพราะผ่านมาแล้วทั้ง PYT66 กม และ PYT100 กม ปีนี้เลยอาจหาญขอลอง 100ไมล์ (166กม)
ในกลุ่มที่ไปกันมีพี่เก่ง ป้ายุ้ย และปลา, โดยยึดตามแผนที่พี่เก่งนั่งเคาะเองทุกกิโลอย่างละเอียด
ทำ MOU กันไว้ว่าเราจะไปกันสี่คน ปรากฎว่า เจอกันครั้งสุดท้ายที่ a1 ระยะ13กม สัญญาถูกฉีกที่นั่น.. เฮียเก่งกับป้า ลากกันไส้แตกมาก
ที่ a1(ม่อนล่อง) ผมเข้าก่อนแพลน ครึ่งชั่วโมง หรือก่อนคัทออฟ 1ชมครึ่ง ถ้าเป็นระยะอื่นๆ สำหรับ margin ขนาดนี้ ผมอาจจะอยู่กลุ่มกลางเลยนะ แต่สำหรับระยะ 100ไมล์ ที่มีแต่อีลิทมาลง ผมคือ 10คนสุดท้ายแล้ว..
ขึ้นไป a1 ทางขึ้นต่อเนื่อง 10กม หัวใจเต้นแรงระดับ150-170 เหนื่อยประมาณนึง แต่ลากขึ้นไปได้เรื่อยๆ ไม่หยุด คิดว่าเป็นผลจากที่ไปขึ้นเขาสูงที่เนปาลมา เลยสามรถแช่ heart rate สูงๆได้นาน แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยจนต้องหยุดพัก
พยายามไล่บี้เฮียเก่งให้ทัน แต่ก็ไล่ทันแค่ปลากับลุงเบ๊นซ์ และลุงมาเลย์อีกคน ก็เลยไปด้วยกันสี่คน จนถึง a2(ม่อนวิวงาม) ฝนก็เริ่มตกลงมาประมาณหนึ่ง ผสมกับตรงนั้นที่โล่งมีลงแรง ให้ได้หนาวสมใจกับที่ขอพระเจ้าไว้ อส อมย
ทางไป a3(โป่งไคร้) จำได้ว่ารกหญ้าและป่าชันมาก แต่ปีนี้ถางหญ้า เกลี่ยดินใหม่อย่างดี กว้างและเรียบระดับรถวิ่งได้ ภาวนาอย่าให้เทเป็นปูนในอนาคตอันใกล้ ไม่เช่นนั้นจะหมดสนุกไปอีกหลายกิโล
จาก a3 ไป a4(จุดชมวิวเสมิง) กำลังเดินได้เพลิน ขึ้นๆลงๆ สนุกสนาน สับเดินไม่ทันปลาและลุงเบ๊นซ์ ก้มดูนาฬิกา นี่กรูสับเพซ9.45แล้วนะ แต่ก็เร่งมากกว่านี้ไม่ไหวละ รู้เลยว่าตัวเองเดินได้ช้าลงกว่าแต่ก่อน ณ จุดนี้เริ่มมีอาการตึงฝ่าเท้า
จาก a4 ไป a5(กองแหะ) ฝนเทลงมาแบบเละเทะ ทั้งหนักและเม็ดใหญ่ ตอนนั้นประมาณ 19:00น ต้องใช้ไฟคาดหัวส่องทางแล้ว เจออากาศปกคลุมด้วยฝนและหมอก วิสัยทัศน์ไม่เกิน10เมตร และทุกๆการหายใจที่มีไอออกมาปากตัวเอง ทำให้บดบังสายตาหนักกว่าเดิม นักวิ่งเกาะกลุ่มกันเพราะกลัวหลง มองหาริบบิ้นและป้ายสะท้อนแสงค่อนข้างยาก
ผมไม่ได้คิดเผื่อการเจอฝนตกหนักและมาไวขนาดนี้ เลยดร้อปเสื้อกันฝนไว้ที่จุด 66km แต่ดีที่ลมไม่ได้แรงมาก อากาศเลยไม่หนาวเท่ากับปี 2017 มีเพียงเม็ดฝนที่เย็นๆ
มาถึง a5 ก่อนแพลน 15นาที กินมาม่าและเปลี่ยนเสื้อใหม่ และน้องแซ็กให้เสื้อกันฝน 7-11 มาตัวนึง เพราะปลาแนะนำให้ใส่ เห็นเราเริ่มไอเหมือนจะป่วย จุดนี้เห็นแต่ละคนเริ่มเนือยๆ พยายามตะโกนเร่งให้ลุงและปลาและทุกคนออกจากจุดนี้ให้ไว เพราะกลัวข้างหน้าลื่นขัน, สรุป ออกเกินเวลาจากแพลนไป 8นาที (ต้องออกตอน 20:00)
ทางไป a6(ผานกกก) เป็นไปตามคาด แค่ฝนไม่ตกก็ลื่นแล้ว นี่เจอฝนตกซ้ำ ทางชันมากเลยกลายเป็นดินหนังหมูและโคลน ขาขึ้นก็ลื่น ขาลงก็ลื่น ไม่สามารถทำเวลาได้เลย ต้องค่อยๆไป เพราะการลื่นแต่ละครั้งเราจะต้องพยายามสับเท้าดันตัวขึ้นไปไม่ให้ไหลลง การทำแบบนี้ เพิ่มความเหนื่อยมากขึ้น
ณ จุดนี้ มองกลับไปเห็นลุงเบ๊นซ์ไกลๆลิบๆ, ปลาเริ่มต้องเดินๆหยุดๆพักเหนื่อย ส่วนเรา ยังสามารถเดินอัดต่อเนื่องได้อยู่ แต่มีอาการเท้าพองเพราะเปียกฝน ปลาพยายามไล่กวดเดินขึ้นจนสุด แต่พอขาลง ปลาไม่ชำนาญทางเทคนิคคอลเลยเริ่มห่างไปเรื่อยๆ จนไม่เห็นแสงไฟ
พอมาถึง a6(ผานกกก) ผมเข้าก่อนคุมออฟ 15นาที ซึ่งหลุดแผนไป 30นาที จัดแจงเติมน้ำกินขนม และนั่งรอ ซึ่งปลาตามเข้ามาก่อนคัท 10นาที และคนสุดท้าย ลุงเบ๊นซ์ตามมาก่อนคัท 5นาที และลุงก็บอกเราว่า ไม่ขอไปต่อแล้ว รู้สึกขึ้นเขาแล้วหนืดๆ น่าจะล้าสะสม (ลุงบ่นตั้งแต่ช่วงมา a5 แล้ว) ลุงเลยขอโทษพวกเราที่ต้องให้รอและไม่ไปต่อ ผมพยายามบิ๊วให้ลากๆไปจนจบ 66กม ก่อน ค่อยว่ากัน แต่ลุงขอบอย, ตอนนั้นมีทีมงานถ่ายวีดิโอไว้ด้วย ไม่รู้จะเผยแพร่ไหม
ปลาบอกว่า เมื่อกี๊กลัวมาก มืดและลื่น ให้เราเดินรอด้วย ต้องขอโทษเมิงด้วยจริงๆ กรูกลัวไม่ทันคัท
ณ จุดนี้ เริ่มคิดถึงการ dnf เพราะภาพที่ผมวิ่งระยะ 66กม ปี 2016 มันกลับมาในหัว คือเข้าก่อนคัทออฟเพียง 10 นาที แล้วทำให้ต้องไล่บี้คัทไปทุกจุดจนเข้าเส้นชัย แต่ครั้งนั้นผมบี้อีก2จุด หรือแค่ 20กม แต่ครั้งนี้ ผมต้องบี้อีกตั้ง 12จุด กินระยะ120กม แค่คิดก็เริ่มรู้สึกไม่สนุกแล้ว
จาก a6 ไป a7(แม่สาใหม่) เส้นทางขึ้นเขาต่อเนื่องเพื่อไปสวนกุหลาบและไร่กะหล่ำปลี เป็นทางปูนคละกับดิน ลื่นหลายจุด แต่ไม่ชันมาก ผมกับปลาเดินอยู่ในความเงียบ ปลาเริ่มเดินและพักถี่ขึ้น ปลาถามว่าจะทันไหม ผมบอก “ไม่รู้” ตอนนั้นที่พูดไปรู้สึกได้ว่าตัวเองเครียด และน้ำเสียงไม่ดี ตอบห้วนๆ
ตอนนั้นในใจมีหลายความคิด ทั้งความคิดจะเลิก, ความคิดจะไปต่อ, ความเห็นของทุกคนที่ให้กำลังใจ คำพูดพี่เก่งว่ากรูไม่ได้มาเพื่อdnf, แล้วก็ถามตัวเองซ้ำๆว่า กรูเจ็บไหม ก็ไม่,กรูเหนื่อยไหม ก็ไม่, กรูยังมีแรงไหม ก็มี, แล้วกรูจะเลิกทำไม ไม่รู้ ไม่สนุก ไม่อยากไปต่อ อยากเลิก ซึ่งมันฟังดูไร้เหตุผลเกินไป มันเป็นอารมณ์ล้วนๆ และอารมณ์ก็เหนือเหตุผลและความเป็นจริงในขณะนั้น ขณะที่จิตใจเราอ่อนไหว.. ผมต่อว่าตัวเอง นี่กรูจะแพ้ใจตัวเองจริงๆใช่ไหม .. ผมยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมหน้าด้านมาก ที่ตัวเองว่าตัวเองแล้วยังไม่แคร์ความรู้สึกตัวเอง
กอปรกับปลาหันมาบอกกับผมว่า ถ้าเข้า a7 แล้วเวลาเหลือน้อย จะไม่ไปต่อแล้ว, ผมก็ได้แต่ตอบว่า “อืม”
พอเข้ามาถึง a7 เหลือเวลาเพียง 4 นาที เจอพี่อ๊อด หนุ่มมาเลย์(คนละคนกับลุงมาเลย์ คนนั้นหายไปตั้งแต่ a4) และคนอื่นๆอีกสองสามคน พวกพี่แกขอ dnf แล้ว, พี่แจ็คบอกจะมีรถ dnf ไปส่ง และตอนนี้ถึงเวลาตัมออฟแล้ว ถ้าไปต่อต้องออกจากจุดนี้ทันที ปลาหันมามองหน้าผม ผมบอกว่ามาถึงนี่แล้ว อย่างน้อยก็ไปทำให้จบรูท 66กม ซะ ก็เลยออกมากันต่อ และมีเพื่อนอีกสองคน น่าจะชื่อคุณเอ็กซ์กับมิ้นท์ ทีม run bkk ออกมาด้วย
ระหว่างเดินออกมา ผมครุ่นคิดระหว่างคนธรรมดาและคนที่จบ 100ไมล์ นี่แหละคือความต่าง ว่าผมจะข้ามมันไปได้ไหม ถ้าถึงจุด 66 แล้วผมกลับเลย ผมก็แค่กลับไปเป็นคนทั่วไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจจะโดนเสียดสีกระแนะกระแหนบ้างว่า dnf อีกแล้ว ก็ก้มหน้าทนๆ ไปจนตาย กับถ้าผมจบ มันก็เป็นอีกขั้นของชีวิตที่น้อยคนจะไปถึง ผมก็คงภูมิใจไปจนตาย อีกเช่นกัน.. แต่แล้วพอมองที่ความเป็นจริง ณ ตอนนั้น จิตใจผมเองที่ไม่สนุก เท้าพองๆทั้งสองข้าง ปลาที่อาจจะไม่ไปต่อด้วยกัน แค่คิดผมก็ยิ่งท้อ ใจไม่ถึงที่จะไปต่ออีก 30ชม กับระยะ 100กม ที่เหลือ
มาจนถึงถนนสวนพฤกษศาสตร์สิริกิติ์ ผมกับปลาคุยกันว่าถ้าทันคัทออฟ 3:00 จะได้ margin เพิ่มอีก 3 ชั่วโมง จะไปต่อไหม.. คำตอบที่ได้สั้นๆ คือ ไม่ไปต่อ ผมกับปลาเลยเลี้ยวเข้าถนนทางลัดเพื่อไปที่งาน ส่วนอีกสองคน อยากลองไปต่อ เลยลงไปตามทางสุดถนนแล้ววกกลับขึ้นมาตามเส้นทางแข่ง (แต่เข้าไม่ทันคัทไป 5นาที)
ผมกลับเข้าเส้นชัยแบบที่ ร่างกายยังดี แต่ใจถดถอย ผมเชื่อแล้วว่า ที่คนพูดกันว่า จบ 100ไมล์ได้ ใช้แรงกายไม่พอ ต้องใช้แรงใจอย่างมากๆ ซึ่งตอนผมวิ่ง 42กม 50กม แม้แต่ 100กม ผมก็ไม่เคยเจอตัวเอง ณ อารมณ์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากจบ แต่ผมใจไม่ถึงพอ ผมมีความกลัวทุกอย่าง กลัวว่าไปต่อแล้วจะเจ็บจะป่วย กลัวว่าไปต่อแล้วจะเจออากาศไม่ดี กลัวว่าไปต่อแล้วจะไม่ทันคัทออฟ สุดท้าย ความกลัวนั้นบอกให้ผม ”หยุด” และไม่ต้องทำอะไรเลยดีกว่า
โพสต์นี้เป็นการรีวิวที่บอกเรื่องสนามน้อยมาก แต่อยากสะท้อนอารมณ์ตัวเองออกมา เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจบันทึกไว้เพื่อคอยเตือนตัวเองทุกๆปี..
#pytมีหนาวส์
#pytมีฝน