ซ้อมในอุโบสถ

วันนี้แม่งไปสาย เหอๆ เกือบบ่ายโมงครึ่ง ไปถึง เค้าเชิญให้ไปที่อุโบสถเลย จะทำการซ้อมพิธี
แล้วระบุตำแหน่งให้… ไอ้เราก็เดินไปถึงอุโบสถ เจอสามพี่น้องนาคคี่ (เพราะบวชกัน3คน) นั่งเตรียมตัวจะซ้อม แต่พระอาจารย์เห็นซะก่อนเลยบอกให้พวกนั้นดูนาคเดี่ยว (กูนี่แหละ) ทำก่อน

พวกพิธีรีตองอะไรนั่นไม่พูดถึงต่อดีก่า เพราะยาวมาก รู้แต่ว่า คลานเข้าคลานออก เดินหน้าถอยหลัง ลุก นั่ง เล่นซะกรูปวดเข่าเลย เพระาคนมันไม่เคยนั่งคุกเข่ามานานมากกกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆ แถมต้องมาเดินเข่าด้วย ก็เลยเจ็บเป็นธรรมดา พอเสร็จซ้อมครั้งหนึ่ง เค้าก็เลยปล่อยให้กลับบ้านได้

เฮ่อ วันนี้ดีหน่อย ไม่ทำอะไรมาก แต่เอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องการบวชมาให้อ่านกันดีกว่า

บวชเพื่ออะไร

1.เป็นการค้นหาอะไร ที่มันดีกว่าอยู่บ้านเรือน
2.ให้เป็นการทดลองอยู่อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติ อยู่อย่างต่ำต้อย พระเณรรูปไหนที่จะบวชเพียงเดือนเดียว ก็ขอขอให้ถือเป็นโอกาสทดลองว่า จะมีชีวิตอยู่อย่างต่ำต้อย ไม่ต้องมีสมบัติเลย
3.ทดลองการบังคับตัว บังคับจิต บังคับความรู้สึก บังคับ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
4.ทดลองสละทรัพย์สมบัติ ของรัก ของพอใจ ทดลองไปทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรทดลอง
5.ประโยชน์ต่อตัวผู้บวช ได้เรียนรู้ธรรมะ ได้ปฏิบัติจริงได้ผลจริงๆ และได้รับสิ่งใหม่ที่ดีที่สุด คือเรื่องของพระธรรม ที่ทำให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์
6.ประโยชน์ต่อญาติผู้บวช ญาติพี่น้องทั้งบิดามารดา
จะได้ใกล้ชิดพระศาสนามีความปิติยินดีในธรรมและศาสนามากขึ้น เรียกว่า เป็นญาติทางศาสนานั้นเอง ประโยชน์ทั้งหลายต่อสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร และทั้งประโยชน์ต่อพระศาสนาเนื่องจากผู้บวช จะเป็นผู้เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่บุคคลทั่วไป และยั่งเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาไว้ ให้คงอยู่คู่ลูกหลานคนไทยสืบไป

ในเมื่อบวชได้เพียงหนึ่งเดือน มันก็จะเป็นการบวชที่มีอานิสงค์มหาศาล อย่างที่ท่านอาจารย์แต่กาลก่อนท่านพูดไว้เป็นอุปมา เพื่อการคำนวณเพราะว่าไม่อาจจะพูดเป็นอย่างอื่น คือท่านพูดว่า ให้เอาฟ้าทั้งหมดนี้เป็นเหมือนแผ่นกระดาษ แล้วภูเขาพระสุเมรุเป็นเหมือนปากกาหรือพู่กัน ให้เอาแผ่นดินเป็นเหมือนกับหมึก เอาน้ำในมหาสมุทรเป็นน้ำละลายหมึก แล้วเขียนกันให้เป็นท้องฟ้า มันก็ไม่หมดอานิสงค์ของการบวช ท่านไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ก็เลยพูดไว้เป็นอุปมาอย่างนั้น ว่าการบวช ถ้าบวชกันจริงมันมีอานิสงค์มากกว่านั้น

source: http://ifew.exteen.com/20050518/entry-1

วันซ้อม

เริ่มซ้อมบวชตั้งแต่ 16 แต่ วันที่ 16 ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร มาเน้นจริงๆวันที่ 17

ขอบอก ว่าวันที่บวช (21 พค 48) มีบวชรวดเดียว 4 คน คือ กระผม ช่วงเช้า แล้วอีก 3 คนช่วงบ่าย ซึ่งบวชพร้อมกัน โอ้วพระเจ้า มันยอดมาก

พระอาจารย์นัดตอน 13.00 อ่ะ ไอ้เราก็ไม่อยากให้พระท่านรอ ก็ไปตรงเวลา แต่ขอบอกๆ งานที่วัดยุ่งเลหือเกิ๊นนนน ไม่เข้าใจว่าอะไรนักหนา เหอๆ (ส่วนมากจะเห็นเป็นพวกอาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ มาติดต่อทำอะไรก็ไม่รู้) แถมต้องรอคุณนากทั้ง 3 ด้วย กว่าจะได้เริ่มกันจริงๆ ก็นั่นแหละครับ ประมาณบ่าย 2

สมาธงสมาธิ หายเกลี้ยง หิวข้าวก็หิว รอตั้งนาน รอจนกูจะบรรทมรอบบ่ายซะแล้ว ได้เริ่มซ้อมสวดไปชั่วโมงนึง หลวงพี่ (พระอาจารย์ท่านมอบหมายให้หลวงพี่ดูแทนก่อน) ท่านต้องไปรับกิจสงฆ์ คุยกันประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ นากมา 4 หลับไป 1 ตาปรือๆ อีก 3 สักพักพระอาจารย์ก็มาสอนแทน เพราะเสร็จกิจพอดี

อีที่ซวยจริงๆ ก็อีตรงท่องนี่แหละวะ พวกบ่ายเค้าบวชกันเป็นนาคคู่ ไอ้เราบวชเป็นนาคเดี่ยว มันจะมีคำสวดบางคำต้องเปลี่ยน เล่นซะกูงง เลย พระอาจารย์เลยให้ท่องทีละคน โดยเริ่มที่เราก่อน อ่ะ เราก็ท่องๆๆๆๆ มั่วบ้าง ข้ามบ้าง เพระามันง่วงชิบ พอเสร็จ ให้พวกนาคคู่ท่องต่อ (มากัน 3 คน น่าจะเรียกนาคคี่ เนอะ) พอพวกนั้นท่องเสร็จ วนมาที่เรา ไอ้สาดดดด กูลืมเลยว่าคำของกูเป็นคำอะไร เสือกไปจำคำที่พวกนาคคู่ท่อง เหอๆ เล่นเสียเวลาไปเยอะ กว่าจะเสร็จก็ 5 โมงเย็น ขากลับฝนตกอีก โอ้ว แย่ๆ

ขอจบการบ่นด้วยประการฉะนี้

ปล.หมาวัดเดี่ยวนี้พัฒนาวุ้ย ตัวเล็กลง หุ่นสมส่วน ขนเรียบร้อย อยู่ห้องแอร์ เหอๆ ภาพลักษณ์หมาวัดเปลี่ยนไป

source: http://ifew.exteen.com/20050518/entry

สูงสุดสู่สามัญ

ช่วงนี้ติดหนังจีนมากมาย (องค์หญิงกำมะลอ) ไม่น่าหลวมตัวดูเล้ยยย ติดจนได้

มีตั้ง 40 กว่าแผ่นแน่ะ เว็บก็ไม่ได้ทำ …ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เฮ่อ แต่นี่ยังดี ตี 3-4 ก็หลับ ตื่นมาดูอีกที เที่ยงๆ บ่ายๆ แต่ตอนดู ย้อนเวลาหาจิ๋นซี นอนตี 4-5 ตื่นมาดู 9-10 โมง แย่จริงๆ แต่ผลที่ได้ก็เหมือนกัน คือ ไม่ได้ทำอะไรเลยสักวัน ดูแต่หนัง เหอๆ

จะว่าไปแล้ว ใครชอบดูหนังจีนบ่อยๆ หรือ ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์จีนบ่อยๆ จะพบว่าตั้งแต่ยุคสมัย ฉิน (Qin) ฮั่น (Han) ถัง (Tang) ซ่ง (Song) หยวน (Yuan) หมิง (Ming) หรือแม้แต่ราชวงค์สุดท้ายคือชิง (Qing) ประเทศจีนล้วนยิ่งใหญ่ไพศาล อำนาจล้นฟ้า ทรัพย์สินมากมาย ประเทศเพื่อนบ้านยังต้องสยบ ยิ่งสมัยราวงค์หยวนที่มีกุบไลข่าน (หลานชายเจงกิสข่าน) เป็นผู้ปกครองแผ่นดินยิ่งใหญ่ตั้งแต่กรุงปักกิ่งไปจรดกรุงแบกแดด ยูเครน โรมาเนีย เบลารุส โปแลนด์ ซึ่งถ้าไม่รวมยุคสมัยตอนล่าอาณานิคม ก็จะถือว่าตั้งแต่มีเผ่าพันธ์มนุษย์เกิดขึ้นจีน(หรือมองโกล) มีอาณาเขตกว้างใหญ่แผ่อิทธิพลมากที่สุดในโลก

ยิ่งถ้าเรามองดูตามภาพยนตร์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับภายในวังของจีน (เช่น องค์หญิงกำมะลอ ที่ผมกำลังติดอยู่ หรือจักพรรดิ์คังซี และฯลฯ) ก็จะทำให้หลายๆคนนึกถึงความยิ่งใหญ่และความศิวิไลได้ไม่ยากเย็นนัก

แต่เมื่อท่านใครได้ดูภาพยนตร์ The Last Emperor โดย Bernardo Bertolucci แล้วผสมกับพอรู้เรื่องประวัติศาสตร์จีนที่ได้เล่ามาคร่าวๆ เมื่อสักครู่ ก็จะรู้สึกทันทีถึงความสูงที่สุดกลับมาสู่สามัญ

เพราะเรื่อง The Last Emperor ได้นำเสนอเรื่องราวยุคสุดท้ายของจีน (ราชวงค์ชิง) โดยดำเนินเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ ซูสีไทเฮา (ref.1) กำลังจะสิ้นพระชน จึงได้แต่งตั้งให้เด็กน้อย ปูยี (Puyi) เป็นฮ่องเต้ (~2ขวบ 10เดือน เพราะประสูต 1906 และครองราช 1908) มีพระนามว่า ซวนถงฮ่องเต้ (Xuantong Emperor) ต่อมา 1912 ถูกญี่ปุ่นขับไล่ออกนอกราชวัง จากนั้นก็ไปอยู่กับพวกญี่ปุ่น และโดนพวกญี่ปุ่นหลอกใช้โดยให้ตั้งประเทศ แมนจูกัว ขึ้นแต่ถูกควบคุมจากญี่ปุ่นอีกที

ต่อมาก็สมัยสงครามโลก 2 ก็เจอพวกรัซเเซียจับตัวไปเนื่องจากอยู่ข้างญี่ปุ่น หลังจากนั้น 5 ปี ก็ได้กลับมาที่จีนอีกครั้ง จีนก็กลายเป็นสาธารณะรัฐไปเรียบร้อยแล้ว และถูกจับไปอยู่ที่สถานดัดสันดาน (เค้าใช้ว่า reeducation camp เลยแปลไม่ถูก) เพื่อเเปลี่ยนนิสัยและให้สารภาพถึงเหตุการณ์ที่สมคบคิดกับญี่ปุ่นทั้งทั้งหมด ใช้ชีวิตเหมือนในคุก แม้แต่ชื่อตัวเองยังต้องเขียนลงบนพื้น หลังจากนั้น (ไม่แน่ใจว่ากี่ปี) ก็เริ่มชินและยอมรับได้ว่าไม่ใช้ฮ่องเต้อีกต่อไป จึงได้รับการปล่อยตัว และเป็นสามัญชนรับใช้ Chinese People’s Political Consultative Conference เพื่อให้เป็นประโยชน์ทางประวัติศาสตร์

ซึ่งในภาพยนตร์สื่อออกมาเหมือนจะเป็นคนสวนรับจ้างดูแลต้นไม้ดอกไม้ด้วย จากนั้น 1967 ก็ตาย แต่ก็ได้ทิ้งหนังสือชื่อ “The former half of my life” หรือ “From Emperor to Citizen” ไว้ให้ชาวโลกได้รับรู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดอีกด้วย

นี่แหละสูงสุดสู่สามัญที่แท้จริง

เขียนไว้ที่ Exteen เมื่อ 30 Apr 2005
source: http://ifew.exteen.com/20050430/entry

ผมขอลาออก

รองเท้าสีขาวของผมที่เลาะไปด้วยฝุ่น
มันคงเดินทางไปเรื่อยๆ
บางทีมีจุดหมาย แต่บ่อยครั้งก็ไร้จุดหมาย..
จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไรนัก
แต่บ่นว่าจะเดิน ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน
เดินจนเท้าพองกลับบ้านทุกครั้ง
เท้าที่ผมก้าวเหยียบไปตามแรงดึงดูดโลก
หัวใจของผมกลับเบาลอยสวนทางกับทฤษฎี
มีเพียงความคิดของผมที่พยายามสู่โลกความเป็นจริง
นั่นคือผมไม่รู้ว่าคุณก้าวพร้อมไปกับผมหรือเปล่า
ใครคนหนึ่งเคยเล่าให้ผมฟัง
ในหมู่บ้านเล็กๆที่มีเพียงลมหนาว
ความฝันของเธอบอกกับผมว่า
มีเพียงหมอกและคนรักของเธอเท่านั้นที่กำลังกอดเธอ
ความโรแมนติกของผมเข้าใกล้ศูนย์ที่จะเข้าใจความฝันเช่นนี้
“ผมอิจฉาคุณที่คุณมีฝัน” นั่นคือคำตอบของผม
เขาบอกผมว่า
“คุณดูเครียดไป”
“คุณควรยื่นใบลาออกจากความจริงบ้างนะ”
..
“โอเคครับ ผมขอลาออก….ชั่วคราว”
..
“ถ้าเช่นนั้น ความฝันยินดีต้อนรับคุณ.. ชั่วคราว”
..
“แล้วผมจะต้องทำอย่างไรบ้าง”
“แค่ใช้ชีวิตประจำวันปกติ”
..
“แล้วอย่างไรต่อครับ”
..
“คิดว่าคุณมีตาดวงเดียว และหูข้างเดียว ก็พอ”
“แล้วก็เดินตามทางของคุณต่อไป”
source: http://ifew.exteen.com/20101109/entry
posted on 09 Nov 2010 00:36 by ifew
Exit mobile version