บันทึกการออกบวช วันที่ 4

วันที่ 24 พค. 2548 (บ.27/05/2548 exteen.18/06/2548)

วันนี้ตื่นมาทำวัตรและบิณฑบาตร กลับมาตอนเช้าเจอหลวงพี่ท่านหนึ่งชื่อหลวงพี่มณฑล ท่านเพิ่งกลับจากการซื้อหนังสือ เลยได้เห็นว่าท่านซื้อ National Geographic ฉบับสะสม ก็เลยคุยกับท่าน แล้วเราก็ให้ท่านยืม NG ของเรา (ที่เอามาจากบ้าน) ซึ่งชอบตรงกันก็เลยนั่งคุยสักพัก

พอถึงเพลโยมม่าก็เอาของมาถวาย + โบมหลวงพี่ชิวก็มาถวายด้วย เลยอยู่ฉันบนกุฏิตามเคย

วันนี้ไม่มีอะไรมาก ก็เลยจำวัดเช่นเดิม ตื่นมาทำวัตรเย็นอีกทีแล้วก็นั่งคุยๆ จำวัดต่อรอบดึก

source: http://ifew.exteen.com/20050618/entry-3

บันทึกการออกบวช วันที่ 3

วันที่ 23 พค. 2548 (บ.25,27/05/2548 exteen.18/06/2548)

วันนี้ตื้นตี 4 กว่าๆ มาเปลี่ยนชุดแล้วทำวัตรเช้า (ไม่อาบน้ำเช้าเป็นเรื่องปกติ เพราะมีความคิดว่านอน ไม่สกปรก และก็ตื่นสายทำให้เวลาไม่มี) วันนี้วันแรกที่จะต้องออกบิณฑบาตร แต่ก็เจอปัญหาเรื่องการแต่งตัว เลยทำให้ออกบิณฯสาย (05.50)

การบิณฯ จะต้องสะพายย่ามและเดินเท้าเปล่าอุ้มบาตร ก้าวแรกที่ออกจากวัดเป็นอะไรที่โลกกว้างและวุ่นวายมาก เป็นครั้งแรกที่เราเดินตลาดนครสวรรค์ตอนเช้ามืดภิกษุสามเณร เดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด ผู้คนก็มาตั้งแผงและเดินจับจ่ายใช้สอยกันหนาตาเหลือเกิน

เส้นทางการบิณฯ เราก็จะเดินตามหลวงพี่สามรูป (หลวงพี่ปอนด์,นัท,โต้ง) และมีพระใหม่เดินตามเราอีก 3 รวมเป็น 7 (ยามมาก เพระปกติที่เราเก็นจะเห็นพระเดินเดี่ยวๆหรือ 2-3 เท่านั้น) ส่วนหลวงตาจะเดินใกล้ๆเพราะเป็นใส้เลื่อน,หลวงพี่ชิวจะเดินไปอีกสายหนึ่งทางบ้านท่าน

เราเดินออกจากวัดแล้วเลี้ยวเข้าตลาดเพื่อตรงไปที่ร้านอาม่าของเรา

พอถึงหน้าร้าน พวกอาม่า โกวจั่น ก็เห็นเราแต่ไกล เลยลุกมาเตรียมของใส่บาตร หน้าตาแจ่มใส มีความสุขมากอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นมาก่อน เราก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

จากนั้นเราก็เดินออกไปทางถนนใหญ่เพื่อเข้าไปอีกตลาดหนึ่ง (เรียกว่าตลาดบ่อนไก่) และวกกลับไปอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อเข้าตลาดแห่งที่สาม (ตลาดนายเจือ) และไปโผล่ตรงสี่แยกห้างวิถีเทพและก็ตรงผ่านห้างแฟร์รี่แลนด์เพื่อกลับวัด

เป็นการเดินไกลพอสมควรในรอบหลายอาทิตย์ของเรา (ปกติจะนั่งเล่นแต่คอมฯ) พอกลับมาก็ฉันเช้าแล้วขึ้นโบสถ์เพื่อบวชนาค (ท่านตั้ม) และลงมาฉันเพลที่กุฏิ ที่จริงต้องฉันที่ศาลาแต่ว่าโยมแม่กับโยมยายเอาข้าวมาถวายก็เลยต้องอยู่ฉัน จากนั้นก็จำวัดยาว…

source: http://ifew.exteen.com/20050618/entry-2

บันทึกการออกบวช วันที่ 2

วันที่ 22 พค. 2548 (บ.23/05/2548 exteen.18/06/2548)หลวงตามาปลุกตอนตี4 เราบอกว่าเราไม่อาบน้ำ ท่านบอกว่าอย่างนั้นท่านจะไปอาบก่อน แล้วจะกลับมาปลุกอีกที (ท่านรีบปลุกให้รับไปอาบน้ำ เพราะกลัวว่าห้องน้ำจะเต็ม)

ตื่นมาต้องทำวัตรเช้า และวันนี้เป้นวันวิสาขะบูชา ก็เลยไม่ต้องไปบิณฑบาตร เพราะจะลงฉันเช้าที่ศาลา เราก็เลยกลับไปนอนกันต่อ ตื่นมาอีกที 7 โมงเช้า รีบแต่งตัวและก็ลงไปรอข้างล่างเพื่อเข้าสู่ศาลา

โอ้ว… ญาติโยมมาเยอะมาก แน่นศาลาไปหมด เพื่อมาฟังเทศน์ เลี้ยงอาหารพระสงฆ์ แต่ที่น่าตกใจสุดๆ คือ อาหารเยอะมาก มีเป็นร้อยๆๆๆ จาน วางเหยียดยาว ซ้อนกัน สองสามชั้นของจาน เลือกฉันแบบไม่หวัดไม่ไหว แต่ขอโทษครับ เอื้อมลำบากมาก เพราะอยู่ไกลมาก และลุกก็ไม่ได้ จะเอื้อมก็น่าเกลียด เลยได้แต่นั่งมองตาปริบๆ และที่น่าสงสารตัวเองก็คือ นั่งในศาลาตอน 7.30 แต่กว่าจะได้ฉันก็เกือบ 9 โมง (ซึ่งต้องมานั่งทนหิว โดยมีอาหารอยู่ข้างหน้า + อาหารเย็น + นั่งมองแมลงวันระบำบนอาหาร) นึกในใจ เค้าน่าจะทำแบบล้อเลหื่อนเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น จะได้หยิบได้ทั่วๆ

หลังจากเสร็จก็กลับกุฏิไปนอน และฉันเพล พอถึงเวลาทำวัตรเย็น ไอ้เราก็นึกว่าจะมีบุญได้ฟังโอวาทปาฏิโมกข์ เพราะเห็นว่าจะสวดกันวันนี้ แต่ทีไ่หนได้ ญาติโยมมาเยอะแล้ววัดวุ่นวาย เลยไม่ได้สวด (ได้ไปเป็นองครักษ์ให้เจ้าอาวาสตอนไปเปิดพิธีวิ่งวันวิสาขะฯ มาด้วย เท่จริงๆ)

พอตกค่ำก็เริ่มเวียนเทีนย และนี่เป็นการเวียนเทียนครั้งแรกในชีวิต และฝนตกชวงที่ฆราวาสเดินเวียน แต่พอพระเดินฝนก็หยุดพอดี

วันนี้พธีเสร็จตอน 1 ทุ่มกว่าๆ แต่ต้องนั่งคุยกับพระครูนิภา ถึง 4 ทุ่ม เพระาคุยหลายเรื่องมาก เช่น กรรม วิญญาณ เจ้าอาวาสองค์ก่อน ท่านนี่คุยเก่งจริงๆ คุยเสร็จก็ขึ้นกุฏิเจอหลวงพี่ท่านหนึ่งชื่อหลวงพี่วรากร (รู้สึกว่าจะเป็นมหา แต่เราติดปากกันว่าหลวงพี่) ซึ่งก็คุยเรอื่งสมาธิกับท่าน ท่านบอกว่าบวชมากก็ขอให้ได้สัมผัสรสของฒานสักครั้ง ก็เลยคุยกันเรือ่งฒานจนเกือบเที่ยงคืนแล้วก็เข้านอน

ปล.วันนี้กลับบ้านไปเอาหนังสือมาอ่านเล่นที่วัด เจอหมาที่บ้าน ร้อนวันพันทีไม่เคยสนใจ แต่พอกลับบ้านไปมันมาเลียเมือมาคลุกคลีด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ซึ่งแปลกมาก

source: http://ifew.exteen.com/20050618/entry-1

บันทึกการออกบวช วันที่ 1

วันที่ 21 พค. 2548 (บ.23/05/2548 exteen.18/06/2548)

วันนี้ต้องตื่นเช้ามาก แต่กว่าจะตื่นก็ 6 โมงเช้าแล้ว เพราะว่าเมื่อคืนนั่งคุยกับพวกญาติๆ ที่มาจาก กทม และต่างจังหวัดหลายคนเหมือนกัน กว่าจะได้หลับก็ประมาณ ตี 2 ได้ เลยซัดยาพาราไป 1 เม็ด เพราะรู้สึกว่าจะมีอาการปวดหัวเล็กน้อย

ตอนเช้าที่บ้านวุ่นวายมาก พอมาถึงวัดเราก็เลยช่วยจัดโต๊ะจัดที่ทาง เดินไปเดินมา สักพักก็มีคนมาบอกให้เราไปที่หลังหอระฆังเพื่อปลงผม รู้สึกว่าเร็วมากไม่ทันตั้งตัวเลย ต้องนั่งถอดเสื้อในเช้าที่อากาศเย็นๆ เพราะเมื่อคืนฝนตก โดยมีพระอาจารย์สมหมาย มาทำพิธีให้ เพราะถอดเส้อเสร็จเค้าก็เอาน้ำมาราดตัวแล้วเรียกญาติๆมาปลงผม ซึ่งเข้ามาทางด้านหลัง เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง พวกเพื่อนๆและพี่ชายก็คอยถ่ายรูป กับยืนแซว วงแคนก็เริ่มบรรเลงเพลงช้าๆ ซึ่งในตอนนั้นรู้สึกว่าเพลงมันรันทดๆ (ทั้งๆที่เค้าต้องการให้รู้สึกสำนึกบุญคุณบิดามารดา) ปิดท้ายการปลงด้วย พระอาจารย์สมหมาย ซึ่งท่านได้ใช้มีดโกนโกนซ้ำสองรอบ (คาดว่าจะไม่ให้ผมขึ้นอีกเป็นเดือนเลยมั้ง)

หลังจากปลงเสร็จก็จะให้ญาติๆมาอาบน้ำกันคนละขัน หนาวมาก (ตัวสั่นเลย) และลุงยัง (ผู้ถูกเชิญมาเป็นผู้ช่วย) ก็พาไปอาบน้ำอีกรอบ เพื่อแต่งชุดนาค และขอขมาเสร็จก็เตรียมขบวนเดินรอบโบสถ์

การเดินวน เดินวนช้ามาก เพระาติดพวก นางรำ นายรำ ทั้งหลาย ซึ่งรำกันช้ามาก โดยเขามีความเชื่อกันว่าถ้าได้รำหน้าขบวน เกิดไปชาติหน้าจะหล่อและสวยเมหือนเทพบุตร เทพธิดา

หลังจากนั้นก็ทำพิธีวันทาเสมาและโปรยทาน ระหว่างที่ทางเข้าประตูโบสถ์ พวกญาติๆ ยืนเต็มไปหมด เราก็เดินก้มหน้า ยิ่งเดินเข้าใกล้ประตูก็รู้สึกว่าเหมือนโดนรั้งไว้ (แต่ก้มหน้าอยู่เลยไม่รู้ว่าเพราะญาติโญมช่วยกันจับเดินเข้า หรือช่วยกันรั้งออก)

พิธีก็ผ่านไปได้ด้วยดี โดยมีตะกุกตะกักนิดหน่อยตอนท้ายๆ และไม่ตรงตามที่ซ้อมมาตอนต้นๆ พอเสร็จ หลวงพี่มนัสก็บอกว่าให้เราอยู่ คณะ 6 ชั้น 2 ห้อง 2 อยู่กับหลวงตา ซึ่งท่านบวชแก้บน 3 เดือน ตอนนี้เหลืออีก 1 วันก็จะครบ 2 เดือน เราก็รู้สึกดี เพราะเพื่อน (เต้) ได้พามานั่งคุยฝากฝังไว้แล้วรอบหนึ่ง

จากนั้นเราก็เอาของมาไว้ที่กุฏิ ซึ่งตอนนั้นหลวงตาไม่อยู่ (จำไม่ได้ว่าอยู่ไหน รู้แต่ว่าห้องเปิดไว้และว่างๆ)

จากนั้นก็เดินลงไปที่ศาลาเพื่อฉันเพล ซึ่งเราก็ได้นั่งโต๊ะกับหลวงตาอีกรูปหนึ่ง ท่านฉันเก่งมาก ท่านบอกว่าไม่ได้ฉันเช้ามาเลยขอสักหน่อย

หลังฉันเพลเสร็จก็เดินมาที่กุฏิกับท่านยง (เพื่อนเก่าสมัยเรียนประถม),หลวงพี่บาส,หลวงพี่ปั๊ม เพื่อมาที่ห้อง ก็ได้เจอหลวงพี่คณะ 6 เกือบทั้งหมด ซึ่งมีหลวงพี่นัท,หลวงพี่ชิว,หลวงพี่ปอนด์,หลวงพี่โต้ง,หลวงพี่มนัส,หลวงตา,หลวงพี่ทรัพย์,
(ขณะที่เขียนอยู่ตอนนี้สึกแล้วเมื่อตอนตี 4 ซึ่งร้อนรนมากกลัวจะฤกษ์ไม่ดีหรือไม่ได้สึก นี่แหละคำว่าผ้าเหลืองร้อนก่อนสึก)

วันแรกที่บวชก็ได้ทำกิจสงฆ์ทันทีโดนนั่งเป็นพระลำดับให้นาค 3 ท่าน (ซึ่งก็มาเป็นสมาชิกคณะ 6 เช่นกัน)

เรารู้สึกว่าพระในคณะ 6 (อาจจะที่อื่นด้วยก็ได้) ดูแลกันดีมาก ช่วยเหลือกันอย่างเต็มใจ และมีความสุข โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตัว ซึ่งจะต้องช่วยเหลือกันและกัน ไม่มีใครเลี่ยงที่จะไม่ช่วย ซึ่งการอยู่ด้วยกันแบบนี้ในสถานที่อื่นๆ กับคนที่เพิ่งจะรู้จัก ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ถึงกับคิดว่า ในสังคมตอนนี้ยังมีอย่างนี้ด้วยหรือ

โดยเฉพาะหลวงตา ท่านดูแลพระในคณะ 6 ดีมาก ยิ่งผมอยู่ห้องเดียวกับท่าน จะยิ่งรับรู้ได้เป็นอย่างดี ท่านจะคอยปปลุกพวกเราตอนตี 4 คอยดูแล คอยเตือน และช่วยเหลือ เหมือนญาติคนหนึ่งเลยทีเดียว (ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน)

คืนแรกนอนตอน 3 ทุ่มเพราะง่วงมากและกลัวตื่นเช้ามาทำวัตรไม่ทัน

ซ้อมในอุโบสถ

วันนี้แม่งไปสาย เหอๆ เกือบบ่ายโมงครึ่ง ไปถึง เค้าเชิญให้ไปที่อุโบสถเลย จะทำการซ้อมพิธี
แล้วระบุตำแหน่งให้… ไอ้เราก็เดินไปถึงอุโบสถ เจอสามพี่น้องนาคคี่ (เพราะบวชกัน3คน) นั่งเตรียมตัวจะซ้อม แต่พระอาจารย์เห็นซะก่อนเลยบอกให้พวกนั้นดูนาคเดี่ยว (กูนี่แหละ) ทำก่อน

พวกพิธีรีตองอะไรนั่นไม่พูดถึงต่อดีก่า เพราะยาวมาก รู้แต่ว่า คลานเข้าคลานออก เดินหน้าถอยหลัง ลุก นั่ง เล่นซะกรูปวดเข่าเลย เพระาคนมันไม่เคยนั่งคุกเข่ามานานมากกกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆ แถมต้องมาเดินเข่าด้วย ก็เลยเจ็บเป็นธรรมดา พอเสร็จซ้อมครั้งหนึ่ง เค้าก็เลยปล่อยให้กลับบ้านได้

เฮ่อ วันนี้ดีหน่อย ไม่ทำอะไรมาก แต่เอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องการบวชมาให้อ่านกันดีกว่า

บวชเพื่ออะไร

1.เป็นการค้นหาอะไร ที่มันดีกว่าอยู่บ้านเรือน
2.ให้เป็นการทดลองอยู่อย่างไม่มีทรัพย์สมบัติ อยู่อย่างต่ำต้อย พระเณรรูปไหนที่จะบวชเพียงเดือนเดียว ก็ขอขอให้ถือเป็นโอกาสทดลองว่า จะมีชีวิตอยู่อย่างต่ำต้อย ไม่ต้องมีสมบัติเลย
3.ทดลองการบังคับตัว บังคับจิต บังคับความรู้สึก บังคับ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
4.ทดลองสละทรัพย์สมบัติ ของรัก ของพอใจ ทดลองไปทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรทดลอง
5.ประโยชน์ต่อตัวผู้บวช ได้เรียนรู้ธรรมะ ได้ปฏิบัติจริงได้ผลจริงๆ และได้รับสิ่งใหม่ที่ดีที่สุด คือเรื่องของพระธรรม ที่ทำให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์
6.ประโยชน์ต่อญาติผู้บวช ญาติพี่น้องทั้งบิดามารดา
จะได้ใกล้ชิดพระศาสนามีความปิติยินดีในธรรมและศาสนามากขึ้น เรียกว่า เป็นญาติทางศาสนานั้นเอง ประโยชน์ทั้งหลายต่อสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร และทั้งประโยชน์ต่อพระศาสนาเนื่องจากผู้บวช จะเป็นผู้เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่บุคคลทั่วไป และยั่งเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาไว้ ให้คงอยู่คู่ลูกหลานคนไทยสืบไป

ในเมื่อบวชได้เพียงหนึ่งเดือน มันก็จะเป็นการบวชที่มีอานิสงค์มหาศาล อย่างที่ท่านอาจารย์แต่กาลก่อนท่านพูดไว้เป็นอุปมา เพื่อการคำนวณเพราะว่าไม่อาจจะพูดเป็นอย่างอื่น คือท่านพูดว่า ให้เอาฟ้าทั้งหมดนี้เป็นเหมือนแผ่นกระดาษ แล้วภูเขาพระสุเมรุเป็นเหมือนปากกาหรือพู่กัน ให้เอาแผ่นดินเป็นเหมือนกับหมึก เอาน้ำในมหาสมุทรเป็นน้ำละลายหมึก แล้วเขียนกันให้เป็นท้องฟ้า มันก็ไม่หมดอานิสงค์ของการบวช ท่านไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ก็เลยพูดไว้เป็นอุปมาอย่างนั้น ว่าการบวช ถ้าบวชกันจริงมันมีอานิสงค์มากกว่านั้น

source: http://ifew.exteen.com/20050518/entry-1

Exit mobile version