The Go-Giver – ยิ่งให้ยิ่งได้

The-Go-Giver

The Go-Giver: A Little Story about a Powerful Business Idea 

เป็นหนังสือที่เขียนโดย Bob Burg และ John D. Mann เล่าถึงเรื่องพลังแห่งการให้

ผมคงไม่ขอลงรายละเอียด เนื่องจากไม่ได้อ่านเต็มๆครับ แต่ได้ตามอ่านจากบทความสรุปมา

น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ กฏที่ชื่อว่า

Five Laws of Stratospheric Success

  1. The Law of ValueYour true worth is determined by how much more you give in value than you take in payment.
  2. The Law of CompensationYour income is determined by how many people you serve and how well you serve them.
  3. The Law of InfluenceYour influence is determined by how abundantly you place other people’s interests first.
  4. The Law of AuthenticityThe most valuable gift you have to offer is yourself.
  5. The Law of ReceptivityThe key to effective giving is to stay open to receiving.

ซึ่งได้มีผู้แปลเป็นภาษาไทยดังนี้ครับ

กฎห้าข้อแห่งความสำเร็จล้นฟ้า

  1. กฎแห่งคุณค่า: ค่าที่แท้จริงของตัวคุณวัดได้โดยการดูว่า มูลค่าของสิ่งที่คุณมอบให้ไปนั้นสูงกว่าเงินที่คุณได้รับมามากแค่ไหน
  2. กฎแห่งค่าตอบแทน: รายได้ของคุณตัดสินโดยดู คุณให้บริการผู้คนจำนวนมากแค่ไหน และคุณบริการพวกเขาได้ดีเพียงใด
  3. กฎแห่งอิทธิพล: คุณจะมีอิทธิพลมากเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์ของผู้อื่นก่อนตัวเองมากแค่ไหน
  4. กฎแห่งความจริงใจ: สิ่งทรงคุณค่าที่สุด คุณจะต้องมอบให้คนอื่นๆ ก็คือตัวคุณเอง
  5. กฎแห่งการรับ: กุญแจสู่การให้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การเปิดใจกว้างที่จะรับ

 

ที่มาคำแปลภาษาไทย http://honglub.com/

สมดุลแห่งชีวิต

“เต๋าที่อธิบายได้นั้น มิใช่เต๋าที่แท้จริง”
ขยายความได้ว่า เต๋าอธิบายไม่ได้ เต๋าไม่มีตัวตน เต๋ามีก่อนสิ่งอื่นๆ
มีก่อนจักรวาลจะเกิด เต๋าว่างเปล่า!

ถ้าเต๋าอธิบายได้ว่าเต๋าคืออะไร แปลว่าเต๋าจะถูกจำกัดความว่ามีแค่นั้น
เต๋า คือ ทุกสิ่ง แปลว่ามันคือทุกสิ่ง
เต๋า คือ จักรวาล แปลว่าเต๋าคือจักรวาล
เต๋า คือ ธรรมชาติ แปลว่าเต๋าคือธรรมชาติ

หากลองแทนคำว่าเต๋าเป็นคำว่าธรรมหรือนิพพาน ก็จะได้ประโยคเหมือนกัน

หากจะอธิบายให้เข้าใจแบบคนปัจจุบันที่ยังลุ่มหลงแบบเราๆ ท่านๆ
รักที่อธิบายได้นั้น มิใช่ รักที่แท้จริง
ขยายความได้ว่า รักอธิบายไม่ได้ รักมันไม่มีตัวตน

ถ้ารักอธิบายได้ว่ารักคืออะไร แปลว่ารักจะถูกจำกัดว่ามีแค่นั้น
รัก คือ ความคิดถึง แปลว่ามันคือความคิดถึง
รัก คือ ความ คิดถึงและห่วงใย แปลว่ามันคือคิดถึงและห่วงใย
รัก คือ รู้สึกดีต่อกัน แปลว่ามันคือความรู้สึกดีต่อกัน

ขยายความแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้ง่ายดีนะครับ :D

ในโลกเราตอนนี้มองแต่ด้วยตาของบุคคลผู้รู้จักแต่วัตถุนิยม
เรารู้จักแต่วัตถุด้วย แล้วก็รู้จักแต่จะนิยมวัตถุด้วย
เป็นความรับรู้แบบหยาบๆ ที่ไม่เข้าถึงความลึกซึ้งของจิตวิญาณ
เหมือนเด็กอมมือที่รับรู้เท่าที่ตัวเองเห็นและฟัง

เพราะเราถูกสะสมเป็นความทรงจำในสมองผ่านการ ดู ฟัง ดม กิน สัมผัส
ว่าสิ่งนี้สวย ไพเราะ หอม อร่อย นุ่ม

เท่านี้ไม่พอ เรายังถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดสิ่งต่างๆ ด้วยชื่อ
เช่น เสียงแบบนี้เรียกว่าเพลงโอเปร่า รสชาติแบบนี้เรียกว่าพิซซ่า หน้าตาแบบนี้เรียกว่าผู้หญิง

และเราก็ถูกกำหนดต่อในชั้นที่สามว่า เพลงแบบนี้เพราะ แบบนี้ไม่เพราะ
รสชาติแบบนี้อร่อย แบบนี้ไม่อร่อย หน้าตาแบบนี้สวย แบบนี้ไม่สวย

เราเจอการกำหนดสิ่งหนึ่งถึงสามชั้น!
ไม่แปลก ที่เราจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่แท้แล้วสิ่งนั้นคืออะไร

แ่ต่ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ล้วนแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น
หน้าต่าง ที่ทำจากโลหะ เกิดจากเหล็ก มาจากดิน
เตียง เกิดจากไม้ มาจากดิน มาจากน้ำ
เรา เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ
พลาสติก เกิดจากการสังเคราะห์ เกิดจากน้ำมัน เกิดจากซากสัตว์ เกิดจากเนื้อหนัง เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ

ผมนั่งจับต้องลูบคลำประตู กระเบื้อง แขนขา เหมือนคนบ้าอยู่พักใหญ่ๆ
ก็เพิ่งมองภาพได้ชัดเจนว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มาจากธรรมชาติ
เพียงแต่ถูกแปรเปลี่ยนรูปร่างแตกต่างกันออกไป
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น

ผมไม่แปลกใจแล้วหละ ว่าทำไม มหาบุรุษคนหนึ่งเมื่อ 2600 ปีก่อน นั่งใต้ต้นไม้และสามารถรู้ทุกอย่างในจักรวาล และมหาบุรุษนั้นเรามอบชื่อให้แก่ท่าน เพื่อให้เข้าใจเหมือนกันทั้งโลกว่า “พระพุทธเจ้า”
พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่าโลกเราอยู่บนกลุ่มดาว ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกมันว่า ทางช้างเผือก
พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่า กลุ่มดาวที่เราอยู่ อยู่ในกลุ่มดาวกว้างใหญ่มหาศาล ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกว่า จักรวาล
ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้า พระองค์รู้จักสิ่งที่ไม่มีอันสิ้นสุดเกินจักรวาลออกไป ได้จากภายในตัวของท่านเอง

เพราะตัวของเราเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นต้นไม้ มดเป็นธณรมชาติ จักรวาลเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นจักรวาล
ว่าแต่ แล้วอะไรล่ะที่ใหญ่ไปกว่าจักรวาล ผมไม่สามารถบอกได้ ใครก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะปัญญามนุษย์ยังสำรวจไม่พบ
จึงไม่ีใครตั้งชื่อ หรืออาจจะมีตั้งชื่อ แต่ผมไม่รู้

แต่ไม่ว่าจะชื่ออะไร สิ่งๆ นั้น ไม่มีตัวตน อธิบายไม่ได้ มีก่อนสิ่งอื่นๆ มีก่อนจักรวาลจะเกิด และว่างเปล่า!

ดังนั้นสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน แปรเปลี่ยนรูปร่างต่างกันไป
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น

ถ้าสรุปแบบธรรมะผสมเต๋า ก่อนหน้าทุกอย่างว่างเปล่าแล้วจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่และแปรเปลี่ยนจนมันดับไปเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง

ดังนั้น หากเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของธรรมชาติ
ก็จะเข้าใจ แนวทางการรักษาสมดุลของร่างกาย
และจะเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ
เพราะธรรมชาติและร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งเดียวกัน
คอยสนับสนุนหักล้างซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ความว่างเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาทดแทน

ถ้าเปรียบเทียบสัตว์ หมายังมีความสมดุลเป็นธรรมชาติมากกว่ามนุษย์เสียอีก..
เช่น รูปแบบ (pattern) ของหมา ถูกกำหนดมาว่า นอนเพราะเหนื่อย กินเพราะหิว ถึงฤดูจึงผสมพันธุ์ ดุร้ายเมื่อต้องป้องกันตัว

แต่มนุษย์มีความคิด ที่หลากหลายไม่จำกัดเหมือนหมา รูปแบบจึงซับซ้อนกว่า และหลดจากความเป็นสมดุลได้
เช่น อาจจะนอนเพราะเหนื่อย ขี้เกียจ ไม่มีอะไรทำฯลฯ กินเพราะหิว อยาก ลองฯลฯ ดุร้ายเพราะป้องกันตัว อันทพาล หาเรื่อง ไม่มีอะไรทำฯลฯ

แล้วกระนั้น ความซับซ้อนใน รูปแบบ (pattern ) ดังกล่าวของมนุษย์ ถูกกำหนดลงไปอีกมากมาย เช่น
ถูกศาสนากำหนดว่า ดีหรือชั่ว อันนี้ก็แล้วแต่คำสอนของศาสนานั้นๆ
ถูกกำหนดด้วยกฏหมายว่า ถูกหรือผิด อันนี้ก็แล้วแต่สังคมแวดล้อมของคนๆ นั้นอยู่
ถูกประเพณีกำหนด ถูกพ่อแม่กำหนด ถูกเพื่อนกำหนด ต่างๆนานาๆ

เลยทำให้ความเป็นมนุษย์มากมายหลากหลายรูปแบบ โชคร้ายก็สูญเสียความสมดุลอันเป็นธรรมชาติไป โชคดีก็ได้พบแนวทางค้นหาความเป็นสมดุลอันเป็นธรรมชาติ

เพียงเพราะเราถูกกำหนดมันจากภายนอก แล้วเราก็ไปหลงสิ่งภายนอก แถมยกย่องสิ่งภายนอกตัวเราอีกต่างหาก
โดยที่เราไม่ได้มองกลับเข้ามาหาตัวเองว่า ความสุขอยู่ที่เรา ความทุกข์อยู่ที่เรา ความใคร่อยู่ที่เรา ความอยาก สมดุลอยู่ที่เรา
เพียงแค่เราเฝ้ามองตัวเอง นั่งฟังสิ่งที่ตนเองเรียกร้องเงียบๆ โดยปราศจากความคิดไปเอง ความฟุ้งซ่าน แล้วผมเชื่อว่าเราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าความสมดุลอันเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมะ ความเป็นเต๋า จักรวาล ชีวิต มันเป็นอย่างไร

สิ่งที่ผมเขียนมา ผมอยากจะบันทึกไว้เตือนตัวเอง และเป็นข้อคิดให้แก่ทุกๆ ท่าน ไม่ได้ต้องการเขียนให้สวยหรู แต่ต้องการบันทึกเพื่อให้ตัวเองกลับมาอ่านอีกครั้ง และรู้สึกเกิดปัญญาเข้าใจอีกครั้ง ในอนาคตที่อาจจะมีโอกาสหลงผิด และเสียสมดุล

หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะครับ :D

ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านพุทธทาส ที่ทำให้เกิดปัญญาเพียงแค่อ่านได้ 47 หน้า ผ่านหนังสือ “สรรนิพนธ์ พุทธทาส ว่าด้วย เต๋า”

ปล1. สังเกตุว่า หลายๆ เนื้อหาเขียนใช้ข้อความซ้ำ เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน
ปล2. สังเกตุว่า ตอนต้นและตอนจบ เหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
ปล3. สังเกตุว่า แนวคิดเหมือนกันหมดแต่เขียนหลายแบบ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
ปล4. แม้กระทั้ง ปล. 1 ถึง ปล.3 มันก็ยังเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกกันได้
ปล5. สรุปความเป็น บล็อกนี้ได้จาก บทความนี้

 

ที่มา wuttanan.com : มูลนิธิออนไลน์วุทธานันท์สมดุลแห่งชีวิต

สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด

ระหว่างทางที่ผมนั่ง Taxi กลับบ้าน
จิตใจผมเหม่อลอยชมวิวกรุงเทพยามราตรี
วิทยุที่ผมไม่รู้ว่าถูกจูนไว้ที่คลื่นไหน
แต่ผมพอจะจับใจความได้ว่า เป็นรายการ ธรรมะ พอดี..

เป็นรายการตอบปัญหาธรรมะกับความรักยามค่ำคืนที่คาดว่าตั้งใจอยากวัยรุ่นแบบผมฟัง
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่ง ธรรมะดิลิเวอร์รี่ เป็นผู้วิสัชนาของคำถามจากวัยรุ่นทั่วประเทศ

ท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด”

(ซึ่งผมมารู้ที่หลังจากเพื่อนว่าภาพยนตร์เรื่อง อีติ๋มตายแน่ ที่โน๊ต อุดม แต้พานิชย์ แสดง ก็มีคำพูดประโยคนี้เหมือนกัน)

โดนใจมากครับ สำหรับประโยคนี้

ไม่ใช่เพราะผมกำลังสิ้นสุดกับใคร
แต่เป็นเพราะคำตอบที่ผมมักให้คำปรึกษาแก่เพื่อน ถูกสรุปได้ด้วยประโยคนี้ต่างหาก

มีหลายคนที่มักมาปรึกษาปัญหาความรักกับผม (ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม?)
แทบจะร้อยเปอร์เซ็น ที่มักรักอย่างไม่คิดถี่ถ้วน และก็ยอมเลยเถิดจนเนิ่นนานบานปลาย

รักช่วงแรก อาจจะรักด้วยรูปร่าง หน้าตา เงินทอง ความใคร่ ความหลง
สุดท้าย เมื่อนานวันเข้า มักมาค้นพบที่หลังแทบทุกคนว่า มันไม่ใช่! แต่ก็เลิกไม่ได้! เพราะรัก!

พอเจอแบบนี้ ผมมักจะถามกลับไปว่า “ถ้ารักก็ไม่ต้องมาเสียใจ แต่ถ้าเสียใจก็เลิกไปซะ”
แล้วผมก็ได้รับคำตอบประโยคเดิมๆทันที “เลิกไม่ได้ ก็มันรัก แต่ทำไมต้องทำอย่างนี้.. บลาๆๆๆ”

สุดท้ายผมก็ต้องอธิบายความเป็นจริงเพื่อขยายประโยคข้างต้นที่ผมบอกให้เขาฟังอย่างละเอียด

ตอนแรกเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เขาเป็นคนเช่นไร แต่เมื่อเริ่มรู้จักกันบ้าง เธออาจจะพลาดพลั้งลุ่มหลง ในสิ่งที่เจามีหรือเขาเป็น จนตกหลุ่มรักโดยที่ไม่คิดถึงเรื่องราวเธอกับเขาไกลๆ

ตอนแรกเชื่อได้เลยว่า สิ่งใดที่เขาไม่ดี หรือเธอไม่ชอบ เธอจะมองข้ามมันไป เพราะฉันเคยเป็น เมื่อมองข้ามไปแล้ว ในอนาคตหากวันใดวันหนึ่งความรักหมดลง เธอจะพบแต่ข้อบกพร่องเหล่านั้นทันที

เพราะฉันเชื่อว่า คนที่อยู่กันจนแก่เฒ่า ไม่ได้อยู่ด้วยความรัก หากแต่อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน อยู่ด้วยความเข้าใจ เกื้อกูล และผูกพันธ์กัน ความรักเป็นเพียงสิ่งเริ่มต้นให้เธอกับเขาได้รู้จักและศึกษากันเท่านั้น จริงๆ จะว่าไป ทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า นิยามความรัก เป็นเช่นไร

แต่ไม่เป็นไรหรอก เมื่อเธอพลาดที่รักเขาไปแล้ว และตอนนี้เธอก็ได้รับรู้อะไรมากขึ้น

ฉันอยากให้เธอลองมองไปในอนาคตข้างหน้า ถ้าเธอยังคบกับเขาอยู่ หรือวันใดเธอได้แต่งงานอยู่กินกับเขา ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเธอไหม หรือเธอจะเปลี่ยนตัวเธอเพื่อเขาไหม และเธอเชื่อมั่นได้แค่ไหนว่าจะไปกันรอด หากเรื่องราวและความสัมพันธ์แค่นี้ ยังทำให้เธอต้องร้องไห้

ฉันไม่อยากให้เธอคิดไปเองก่อนเลยว่า เขาจะกลับต้วได้และจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเธอ เพราะฉันเชื่อว่านิสัยของมนุษย์เปลี่ยนยากยิ่งนัก ถ้าหากไม่เจอเหตุการณ์ที่สั่งสอนเขาได้

เมื่อก่อนฉันเองก็ทำให้คนที่ฉันรักเสียใจมากและบ่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาดีกับฉันมาก แต่ทั้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ยอมมองโลกตามความเป็นจริง ไม่มองไปในอนาคตไกลๆ ฉันมองว่ายังไงคนที่ฉันรัก เขาก็รักยังฉันเสมอ แต่สุดท้าย คนที่รักฉันมากที่สุด และเคยสัญญาว่าจะอยู่ข้างๆ ฉัน ก็ได้จากฉันไป

ตั้งแต่นั้นมา ความคิดฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น มองอนาคตไกลมากขึ้น มันทำให้ฉันเข้มแข็ง มองคนลึกซึ้ง ไม่รักใครง่ายๆ และมีแต่ความหวังดีและจริงใจ มีหลายคนบอกว่าที่ฉันเป็นเช่นนี้เพราะฉันปิดตัวเอง ก็ยอมนะ ว่าในใจลึกๆ ฉันยังมีคนๆ นั้นอยู่ คนที่ดีที่สุดสำหรับฉัน แต่ถ้าเขามีความสุขกับใคร ฉันก็คงได้แต่ยืนยิ้มไกลๆ

จริงๆ แล้วเธอและเขาอาจจะไม่ต้องเคยเจอแบบฉัน เพียงแต่อยากให้ฟังสิ่งที่ฉันเล่า และลองตัดสินใจดู ว่า เธอเชื่อใจเขาได้มากแค่ไหน ว่าเขาจะเปลี่ยน ตัดความหลงทิ้งไป ทำให้ให้ว่าง มองสิ่งที่เขาทำทั้งหมดว่าจริงใจแค่ไหน และเป็นนิสัยที่แท้จริงของเขาหรือไม่ อย่าปล่อยให้ความคิดไปเองของเธอหลอกตัวเธอเอง แล้วเธอจะค้นพบคำตอบเองว่า

“สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด”

เธอจะเลือกแบบใด…

 

source: Wuttanan.com – สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด

อดีตเปลี่ยนแปลงได้

“คุณรู้หรือเปล่า.. อดีตเปลี่ยนแปลงได้”

เป็นคำถามที่ อาจารย์สอนไทเก๊ก ท่านหนึ่ง ถามผม ระหว่างที่เรากำลังจะกลับบ้าน
ผมฟังท่านพูดเสร็จ ก็ได้แต่พยักหน้า และพูดว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”

ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ยกตัวอย่างต่อไปให้ผมฟังง่ายๆ ว่า

ถ้าคุณอยู่ในที่มืดแล้ว จู่ๆ เดินเหยียบตัวอะไรยาวๆ นุ่มๆ เป็นเส้น แล้วคุณตกใจสุดขีดว่าเป็นงู
แต่พอมีแสงไฟมาส่องปุ๊บ คุณเห็นว่านั่นเป็นแค่ เชือกเส้นหนึ่ง เท่านั้น คุณรู้สึกโล่งอกทันที

แค่นี้อดีตคุณก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เพราะอดีตของคุณ มันคือ งู ที่ทำให้คุณตกใจ แต่ตอนนี้มันกลายเป็น เชือก ที่ทำให้คุณสบายใจ

และท่านก็บอกว่า สิ่งที่ทำให้คนเราเป็นทุกข์ ก็คือความคิดของเรานี่เอง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอดีตก็ตรงกับแนวคิดของธรรมะ ที่ผมเคยรู้นั่นเอง เลยทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ท่านเล่าว่า มีคนหนึ่งเคยเกลียดพ่อมากๆ เพราะพ่อไม่เคยทำดีกับแม่เลย
จนวันหนึ่งพ่อของท่านเสียไปจึงหวนกลับมารำลึกได้ว่า สิ่งที่ท่านเคยคิด มันไม่ถูกต้อง
ตั้งแต่นั้นมา จากอดีตที่เคยเห็นพ่อว่าเป็นคนบ้า ก็เห็นว่าเป็นพ่อ ที่เป็นพ่อจริงๆ
และคนที่คิดก็เป็นมะเร็งอยู่แล้วเนื่องจากคิดมาก แต่พอเปลี่ยนอดีต มะเร็งท่านก็ลดลง
เพราะมีจิตใจที่ดีขึ้น

มาถึงตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่า การเปลี่ยนอดีต นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่อยู่ที่ใครทำใจได้ ใครยอมรับได้ ใครปล่อยวางได้
ที่จะเปลี่ยนความคิด เพื่อให้อดีตเปลี่ยนคุณในปัจจุบันและอนาคต

ผมเชื่อว่า เรื่องดีๆ คุณก็คงอยากให้เป็นอดีตที่แสนงดงาม
แต่เรื่องไม่ดี เก็บไว้ ก็เหมือนเก็บขี้…. หรือคุณจะนั่งดมมันไปตลอดชีวิต ก็เรื่องของคุณ

source: wuttanan.com : มูลนิธิออนไลน์วุทธานันท์
posted on 09 Dec 2007 21:46 by ifew

ความรู้กับปัญญา??

ได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส เพิ่งจะเข้าใจเมื่อวานนี้ว่า
ความรู้และปัญญาต่างกันอย่างสิ้นเชิง และไม่เหมือนกันด้วย และไม่เกี่ยวกันด้วย

ความรู้คือ สิ่งที่คุณรู้ คุณรู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ดี ทำอย่างนี้ไม่ดี ควรจะพัฒนาบุคลิกภาพอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนการเรียนในปัจจุบันนี้ที่เรียนเอาไว้รู้ หรืออ่านแล้วจำศีลได้ 5 ข้อ นี่แหละคือรู้

แต่…

ปัญญาคือ การรู้ที่รู้ซึ้ง การรู้ที่ไม่ใช่การรู้ธรรมดาเหมือนข้างบนนั้น แต่เป็นการรู้ที่แบบว่า ซึมซับในหัวใจ เป็นไปได้ด้วยตัวมันเอง เช่น เราไม่จำเป็นต้องรู้ศีล 5 แต่ชีวิตเรา ไม่เคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม โกหก ดื่มเหล้า เลย เพราะเราละอายที่จะทำ รวมไปถึงไม่คิดอยากจะทำ นี่แหละคือปัญญา

ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้เฉพาะทางธรรมะ และการดำรงค์ชีวิตสองอย่างหรือไม่ เพราะหลายอย่างในโลกของเราในปัจจุบัน เราจะต้องเรียนรู้ เพราะโลกตอนนี้ต้องการผู้ที่เรียนรู้ แต่มองไปอีกแง่หนึ่งว่า การเรียนรู้พวกนี้ ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุขทางวัตถุไปวันๆ

สรุป ปัญญา คือ การตกผลึกของจิต ความฉลาด(ความรู้) คือความอยากที่ไม่มีวันหมด