The Go-Giver – ยิ่งให้ยิ่งได้

The Go-Giver: A Little Story about a Powerful Business Idea  เป็นหนังสือที่เขียนโดย Bob Burg และ John D. Mann เล่าถึงเรื่องพลังแห่งการให้ ผมคงไม่ขอลงรายละเอียด เนื่องจากไม่ได้อ่านเต็มๆครับ แต่ได้ตามอ่านจากบทความสรุปมา น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ กฏที่ชื่อว่า Five Laws of Stratospheric Success The Law of Value: Your true worth is determined by how much more you give in value than you take in payment. The Law of Compensation: Your income is …

สมดุลแห่งชีวิต

“เต๋าที่อธิบายได้นั้น มิใช่เต๋าที่แท้จริง” ขยายความได้ว่า เต๋าอธิบายไม่ได้ เต๋าไม่มีตัวตน เต๋ามีก่อนสิ่งอื่นๆ มีก่อนจักรวาลจะเกิด เต๋าว่างเปล่า! ถ้าเต๋าอธิบายได้ว่าเต๋าคืออะไร แปลว่าเต๋าจะถูกจำกัดความว่ามีแค่นั้น เต๋า คือ ทุกสิ่ง แปลว่ามันคือทุกสิ่ง เต๋า คือ จักรวาล แปลว่าเต๋าคือจักรวาล เต๋า คือ ธรรมชาติ แปลว่าเต๋าคือธรรมชาติ หากลองแทนคำว่าเต๋าเป็นคำว่าธรรมหรือนิพพาน ก็จะได้ประโยคเหมือนกัน หากจะอธิบายให้เข้าใจแบบคนปัจจุบันที่ยังลุ่มหลงแบบเราๆ ท่านๆ รักที่อธิบายได้นั้น มิใช่ รักที่แท้จริง ขยายความได้ว่า รักอธิบายไม่ได้ รักมันไม่มีตัวตน ถ้ารักอธิบายได้ว่ารักคืออะไร แปลว่ารักจะถูกจำกัดว่ามีแค่นั้น รัก คือ ความคิดถึง แปลว่ามันคือความคิดถึง รัก คือ ความ คิดถึงและห่วงใย แปลว่ามันคือคิดถึงและห่วงใย รัก คือ รู้สึกดีต่อกัน แปลว่ามันคือความรู้สึกดีต่อกัน ขยายความแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้ง่ายดีนะครับ ในโลกเราตอนนี้มองแต่ด้วยตาของบุคคลผู้รู้จักแต่วัตถุนิยม เรารู้จักแต่วัตถุด้วย แล้วก็รู้จักแต่จะนิยมวัตถุด้วย เป็นความรับรู้แบบหยาบๆ ที่ไม่เข้าถึงความลึกซึ้งของจิตวิญาณ เหมือนเด็กอมมือที่รับรู้เท่าที่ตัวเองเห็นและฟัง เพราะเราถูกสะสมเป็นความทรงจำในสมองผ่านการ …

สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด

ระหว่างทางที่ผมนั่ง Taxi กลับบ้าน จิตใจผมเหม่อลอยชมวิวกรุงเทพยามราตรี วิทยุที่ผมไม่รู้ว่าถูกจูนไว้ที่คลื่นไหน แต่ผมพอจะจับใจความได้ว่า เป็นรายการ ธรรมะ พอดี.. เป็นรายการตอบปัญหาธรรมะกับความรักยามค่ำคืนที่คาดว่าตั้งใจอยากวัยรุ่นแบบผมฟัง พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่ง ธรรมะดิลิเวอร์รี่ เป็นผู้วิสัชนาของคำถามจากวัยรุ่นทั่วประเทศ ท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด” (ซึ่งผมมารู้ที่หลังจากเพื่อนว่าภาพยนตร์เรื่อง อีติ๋มตายแน่ ที่โน๊ต อุดม แต้พานิชย์ แสดง ก็มีคำพูดประโยคนี้เหมือนกัน) โดนใจมากครับ สำหรับประโยคนี้ ไม่ใช่เพราะผมกำลังสิ้นสุดกับใคร แต่เป็นเพราะคำตอบที่ผมมักให้คำปรึกษาแก่เพื่อน ถูกสรุปได้ด้วยประโยคนี้ต่างหาก มีหลายคนที่มักมาปรึกษาปัญหาความรักกับผม (ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม?) แทบจะร้อยเปอร์เซ็น ที่มักรักอย่างไม่คิดถี่ถ้วน และก็ยอมเลยเถิดจนเนิ่นนานบานปลาย รักช่วงแรก อาจจะรักด้วยรูปร่าง หน้าตา เงินทอง ความใคร่ ความหลง สุดท้าย เมื่อนานวันเข้า มักมาค้นพบที่หลังแทบทุกคนว่า มันไม่ใช่! แต่ก็เลิกไม่ได้! เพราะรัก! พอเจอแบบนี้ ผมมักจะถามกลับไปว่า “ถ้ารักก็ไม่ต้องมาเสียใจ แต่ถ้าเสียใจก็เลิกไปซะ” แล้วผมก็ได้รับคำตอบประโยคเดิมๆทันที “เลิกไม่ได้ ก็มันรัก แต่ทำไมต้องทำอย่างนี้.. …

อดีตเปลี่ยนแปลงได้

“คุณรู้หรือเปล่า.. อดีตเปลี่ยนแปลงได้” เป็นคำถามที่ อาจารย์สอนไทเก๊ก ท่านหนึ่ง ถามผม ระหว่างที่เรากำลังจะกลับบ้าน ผมฟังท่านพูดเสร็จ ก็ได้แต่พยักหน้า และพูดว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ยกตัวอย่างต่อไปให้ผมฟังง่ายๆ ว่า ถ้าคุณอยู่ในที่มืดแล้ว จู่ๆ เดินเหยียบตัวอะไรยาวๆ นุ่มๆ เป็นเส้น แล้วคุณตกใจสุดขีดว่าเป็นงู แต่พอมีแสงไฟมาส่องปุ๊บ คุณเห็นว่านั่นเป็นแค่ เชือกเส้นหนึ่ง เท่านั้น คุณรู้สึกโล่งอกทันที แค่นี้อดีตคุณก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะอดีตของคุณ มันคือ งู ที่ทำให้คุณตกใจ แต่ตอนนี้มันกลายเป็น เชือก ที่ทำให้คุณสบายใจ และท่านก็บอกว่า สิ่งที่ทำให้คนเราเป็นทุกข์ ก็คือความคิดของเรานี่เอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอดีตก็ตรงกับแนวคิดของธรรมะ ที่ผมเคยรู้นั่นเอง เลยทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ท่านเล่าว่า มีคนหนึ่งเคยเกลียดพ่อมากๆ เพราะพ่อไม่เคยทำดีกับแม่เลย จนวันหนึ่งพ่อของท่านเสียไปจึงหวนกลับมารำลึกได้ว่า สิ่งที่ท่านเคยคิด มันไม่ถูกต้อง ตั้งแต่นั้นมา จากอดีตที่เคยเห็นพ่อว่าเป็นคนบ้า ก็เห็นว่าเป็นพ่อ ที่เป็นพ่อจริงๆ และคนที่คิดก็เป็นมะเร็งอยู่แล้วเนื่องจากคิดมาก แต่พอเปลี่ยนอดีต มะเร็งท่านก็ลดลง เพราะมีจิตใจที่ดีขึ้น มาถึงตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่า …

ความรู้กับปัญญา??

ได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส เพิ่งจะเข้าใจเมื่อวานนี้ว่า ความรู้และปัญญาต่างกันอย่างสิ้นเชิง และไม่เหมือนกันด้วย และไม่เกี่ยวกันด้วย ความรู้คือ สิ่งที่คุณรู้ คุณรู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ดี ทำอย่างนี้ไม่ดี ควรจะพัฒนาบุคลิกภาพอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนการเรียนในปัจจุบันนี้ที่เรียนเอาไว้รู้ หรืออ่านแล้วจำศีลได้ 5 ข้อ นี่แหละคือรู้ แต่… ปัญญาคือ การรู้ที่รู้ซึ้ง การรู้ที่ไม่ใช่การรู้ธรรมดาเหมือนข้างบนนั้น แต่เป็นการรู้ที่แบบว่า ซึมซับในหัวใจ เป็นไปได้ด้วยตัวมันเอง เช่น เราไม่จำเป็นต้องรู้ศีล 5 แต่ชีวิตเรา ไม่เคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม โกหก ดื่มเหล้า เลย เพราะเราละอายที่จะทำ รวมไปถึงไม่คิดอยากจะทำ นี่แหละคือปัญญา ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้เฉพาะทางธรรมะ และการดำรงค์ชีวิตสองอย่างหรือไม่ เพราะหลายอย่างในโลกของเราในปัจจุบัน เราจะต้องเรียนรู้ เพราะโลกตอนนี้ต้องการผู้ที่เรียนรู้ แต่มองไปอีกแง่หนึ่งว่า การเรียนรู้พวกนี้ ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุขทางวัตถุไปวันๆ สรุป ปัญญา คือ การตกผลึกของจิต ความฉลาด(ความรู้) คือความอยากที่ไม่มีวันหมด

Exit mobile version