ลุยม่อนจอง ดูผาหัวสิงห์ และกุหลาบพันปี

หากถามผมว่ามีที่ไหนเหมาะกับคนที่อยากลองเดินป่าครั้งแรก ผมจะเสนอสองที่คือ ผาสองฤดู และ ม่อนจอง เพราะทั้งสองที่นี้ เดินง่าย ไม่ไกล และสวยงามตามท้องเรื่อง..

ม่อนจอง อยู่ในเขต อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ หากใครไปก็ติดต่อหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ที่นั่นเราจะต้องต่อรถ 4WD ที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ นั่งยาวไปอัก 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเส้นทางที่โครตมันส์ โดยเฉพาะช่วงฝนตก เหมือนได้ทริป off-road ไต่เขาไปในตัว (หาข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง) Continue reading “ลุยม่อนจอง ดูผาหัวสิงห์ และกุหลาบพันปี” »

ทุลักทุเล และดอยสีทอง ที่ม่อนทูเล

เดือนพศจิกายน ช่วงทิ้งฝนพอดี จังหวัดตากค่อนข้างหนาวกว่ากรุงเทพฯพอสมควร โดยเฉพาะอำเภอไทยใกล้พม่า ที่ชื่อว่าท่าสองยาง และเป็นที่ตั้งของภูเขาที่ชื่อว่า “ม่อนทูเล” หรือที่ชาวปกาเกอะญอเรียกว่า “ทูเลโค๊ะ” ที่แปลว่าภูเขาสีทอง

ที่นี่ถูกผลักดันให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดย อบต ท่าสองยาง ดังนั้นใครจะไปก็ติดต่อที่นั่นได้เลย และเขาจะเตรียมอาหารลูกหาบให้ด้วย ซึ่งเราเดินทางจากกรุงเทพไปถึงที่นั่นประมาณ 8 โมงเช้า อากาศยังเย็นสบาย แต่แดดแรงพอสมควร Continue reading “ทุลักทุเล และดอยสีทอง ที่ม่อนทูเล” »

ผาสองฤดู ไม่มาเห็นเองก็คงไม่เชื่อ

page

บอกตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่อ “ผาแง่ม” หรือ “ผาสองฤดู” มาก่อน แต่ว่างพอดีก็เลยลงทริปไปเดินที่นี่สักครั้ง
อยู่ใกล้กับ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ที่หลายๆคนชอบไปดู ดอกซากุระ กันที่นั่น

เส้นทางที่ไปศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ค่อนข้างคดเคี้ยว และถนนเล็ก
ยิ่งตอนผมไปกำลังทำถนนพอดี หากธาตุไม่แข็งก็อาจมีปล่อยอาหารเช้าที่ข้างถนนได้

จัดแจงสัมภาระส่วนตัวเสร็จ ก็เดินทางต่อไปจุดเริ่มต้นเดินกันเลย

10849742_10154959973880644_3403962335262691989_n

 

ณ จุดเริ่มต้น เป็นแปลงปลูกดอกไม้และสตอเบอรี่ อยู่ไม่ไกลจากศูนย์เกษตรมากนัก

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
ตอนเช้ามองขึ้นไปยอดดอยไม่เห็นอะไรเลย เจอแต่หมอก แต่ดูจากระยะแล้ว ไม่สูง แต่ชันแน่ๆ

10172675_10154951972970644_8351789387695523009_n

 

เป็นไปตามคาด เส้นทางไม่มีราบเลย ชันอย่างเดียว น่าจะประมาณ 30-45องศา

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
ประเมินง่ายๆ ระยะทาง 2.7กิโลเมตร แต่ไต่ระดับความสูงจาก 1,500 ไป 2,100 เมตร ก็หนักหนาพอตัว

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

เป็นป่าดิบที่ไม่ร้อนครับ สบายๆ ต้นไม้ร่มไม้เยอะ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

แต่ยังดีที่ระยะไม่ไกล อดทนอึดใจเดียวก็จะโผล่สันเขา เป็นทางราบให้ได้พักเท้าแป๊บหนึ่ง
แล้วก็อดทนไต่ชันอีกสักนิด เพื่อไปถึงจุดกางเต็นท์

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

เมื่อไต่บนสันเขา หมอกลงแทบไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่ยอดไม้ที่ห่างกันไม่กี่เมตร

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

พอเดินสูงมาอีกหน่อยก็เริ่มพ้นหมอก ฟ้าใสสวยงาม

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

ที่จุดกางเต็นท์ เป็นสันเขาไม่กว้างมาก มีต้นไม้ใหญ่ต้นเดียว และมีปาดหน้าดินเพื่อกางเต็นท์ไว้ให้ 5-6 หลัง (Update 14 Dec 2015 – ปัจจุบันจุดตั้งแคมป์ได้ย้ายจากจุดนี้แล้ว ถ้าเดินจากพื้นขึ้นมา จะใกล้กว่า แต่ก็ทำให้ตอนขึ้นยอดต้องเดินไกลกว่าเดิม)
ตรงนี้เอง ก็แทบจะเป็นสองฤดูแล้ว เพราะด้านหนึ่งเป็นหมอก(ด้านที่เรามา) อีกด้านฟ้าใส(ด้านทิวเขาดอยอินทนนท์)

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

และเมื่อมองไปด้านหน้าของเราก็จะเห็นวิวยอดดอยแบวีถูกปรกคลุมด้วยหมอกครึ่งซีก แบ่งเป็นสองฤดูอย่างชัดเจน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

จากที่สังเกตและฟังจากพี่ในทีมเล่า หมอกไหลจากด้านซ้ายไปขวา แต่เมื่อพ้นยอดดอย จะมีลมตีกลับ
จึงทำให้หมอกอยู่ได้แค่ฝั่งซ้ายฝั่งเดียวเท่านั้น unseen มากๆ สมคำล่ำลือครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

เราขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินกันตั้งแต่ 4 โมงเย็น อากาศเริ่มหนาวขึ้นสวนทางกับดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยหายไป
ตอนแรกผมคิดว่าหมอกเยอะจนไม่น่าได้เห็นอะไร แต่เปล่าเลยครับ ฟ้าเวลานั้นสีทองอร่าม ทำมุมกับยอดดอยอินทนนท์สวยมากๆ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

เมื่อแสงทองของอาทิตย์สาดมาทางด้านขวา มีไอหมอกที่พยายามลอยมาจากทางด้านซ้าย พื้นหลังเป็นยอดดอยอินทนนท์สูงใหญ่
มันช่างเป็นบรรยากาศที่วิเศษมากๆ ภูมิประเทศแบบนี้คงมีไม่มาก หรืออาจจะที่เดียวในไทยเท่านั้นก็เป็นได้

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

บนยอดดอยแบวีจะมีพระธาตุขุนวางให้เราได้กราบไว้กัน ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ ขอพรได้สมใจ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

และจากยอดสามารถเดินต่อไปได้อีกหน่อย เป็นสันคมมีดค่อนข้างหวาดเสียว
แต่เป็นมุมที่ผมคิดว่าถ่ายรูปได้สวยสุดๆ เพราะทั้งน่าหวาดเสียวและเห็นสองฤดูด้วย
(แสงช่วงเย็นจะเหมาะสมมาก มันช่างเหมาะกับการถ่ายทำ Profile Picture มาก ฮ่าๆๆ)

PC130312

 

และก็โชคดีต่อที่สอง ในค่ำคืนนั้นฟ้าใส และมืดสนิท ทั้งๆที่ไม่ใช่คืนเดือนมืด
ประกอบกับตรงกับวันที่มีฝนดาวตกพอดี เลยตั้งกล้องถ่ายทางช้างเผือกกัน ติดฝนดาวตกมาดวงหนึ่งแน่ะ

PC130421

 

คืนนั้นอากาศเย็นมาก แต่ไม่ถึงกับหนาว และไม่มีลม เราวัดกันได้ประมาณ 12องศา ช่างเหมาะกับนั่งปาร์ตี้และดูดาวสุดๆ
แต่ถ้าช่วงไหนมีลมวูบเข้ามา ก็สั่นสะท้านเหมือนกันครับ น้ำค้างลงจัดมาก หากใครจะไปก็เตรียมเต็นท์ดีๆ นะครับ

คืนนี้ ชม ชิม ชิล เพลินมากกว่าจะได้นอนก็ทนหนาวเกือบ 5 ทุ่ม
แต่ต้องยอมครับ โอกาสและบรรยากาศลงตัวแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

เช้ารุ่งขึ้นพบว่าตัวเองตื่นสายมาก 6.15 น.! เปิดเต็นท์มาทุกคนหายไปหมดแล้ว
เลยต้องรีบแต่งตัวเตรียมกล้องวิ่งขึ้นอดยแบวีเดี๋ยวนั้นเลย

ระหว่างเดินขึ้นก็เห็นเส้นขอบฟ้าสีเหลืองตลอดทาง ลุ้นอย่างเดียวว่าไปให้ทันเห็นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

พอไปถึงยอด พบทุกคนยืนมองแบบงงๆ ว่าเอ็งมาด้วยเหรอ
แต่โครตดีใจ มาทันพอดี พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ตอนนี้เลยกดชัตเตอร์รัวๆ ไม่สนใจอะไรแล้ว

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

บรรยากาศสวยมากๆครับ แต่แอบรู้สึกว่าช่วงอาทิตย์ตกของเมื่อวาน สวยกว่านี้มากๆ
แต่ก็คนละอารมณ์ เพราะมันขึ้นคนละฝั่งผากัน เลยได้เห็นอะไรที่เมื่อวานไม่เห็น เช่นหมู่บ้าน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

พวกเราอยู่กันไม่นานมาก พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเต็มฟ้า ก็เดินลงยอดแบวีไปกินข้าวเช้ากัน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

ระหว่างทางลงจากดอยแบวี เห็นเขาเชียงดาวด้วย! ไม่น่าเชื่อ เพราะมันไกลมาก อยู่คนละฝั่งเชียงใหม่เลย

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

สรุปการเดินทาง

เป็นยอดที่ผมคาดว่าจะบูมต่อจากช้างเผือก และม่อนจอง
ขึ้นง่าย ลงง่าย แม้จะชันหน่อย แต่ระยะทางไม่ไกล
บนยอดวิวสวยมากๆ และน่าหวาดเสียวนิดๆ
เป็นอะไรที่ unseen จริงๆครับ ที่ได้เห็นภูเขาฟากหนึ่งเป็นหมอก อีกฟากหนึ่งฟ้าใส
ผมเข้าป่าหลายที่ก็ไม่ค่อยเห็นอะไรแบบนี้ (หรืออาจไม่สังเกตเองก็ไม่รู้นะ แหะๆ)
ว่ากันว่า หากมาช่วงฤดูกาลเหมาะสม จะเจอดอกซากุระและกุหลาบพันปีด้วยนะ

ความสวย: 10/10
ความสนุก: 8/10
ความยาก: ง่าย
แหล่งเติมน้ำ: ไม่มี

ระยะเวลาขาขึ้น: ประมาณ 2 ชั่วโมง
ระยะเวลาขาลง: ประมาณ 1 ชั่วโมง

ความสูงยอดดอย: 2,129 เมตร (จุดกางเต็นท์)
ความสูงจุดเริ่ม: 1,540 เมตร

วิธีการไป (Update 14 Dec 2015)

ติดต่อ อ้ายหือ (ลุงหือ) เบอร์โทร 087-788-0707
แจ้งจำนวนคนเดินทางไปด้วยนะครับ เพราะสถานที่กางเต็นท์มีจำนวนจำกัด
ค่าลูกหาบแบกสัมภาระ กิโลกรัมละ 50 บาท ไม่มีขั้นต่ำ

จากนั้นเดินทางไปศูนย์เกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (แผนที่)
เพื่อเริ่มต้นเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขา

ขาขึ้น

20141213-go-up-pha-ngam

 ขาลง

20141214-come-down-pha-ngam

เส้นทางใหม่ที่ใช้ขึ้น-ลง (Update 14 Dec 2015)

ทางอ้อมกว่าทางเดิมหน่อยนึง และลูกหาบบอกว่าเหนื่อยน้อยกว่า แต่ผมว่ามันก็พอๆกันเลยนะ ฮ่าๆ
แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ จุดตั้งแคมป์เขาย้ายลงมาจากจุดเดิม ทำให้ตอนขึ้นยอดต้องเดินไกลกว่าเดิม

2015-12-14 10_57_58-Endomondo

ปอ ลิง…

เหล้าบ๊วยที่ขุนวางเป็นที่ลือเลื่องมาก หากใครชื่นชอบ แนะนำให้ซื้อพกไปบนยอดแก้หนาวครับ หวานๆเหมือนน้ำจิ้มบ๊วย  หาซื้อได้ที่ศูนย์เกษตรฯเลยครับ

10606147_10154955760795644_7065545122903493759_n

ไปเสียวบนเขาช้างเผือก ไม่ได้ประกาศนียบัตร แต่ได้ใบสั่ง!

เขาช้างเผือกที่คนอื่นฮิตไปกัน ผมก็ไปกับเขาบ้าง
แต่การไปครั้งนี้แปลกที่สุดตั้งแต่เดินป่ามาเลยครับ
เพราะไปแล้วโดนปรับ! ข้อหาบุกรุกอุทยาน!
เรื่องราวเป็นอย่างไร ลองอ่านกันดูครับ Continue reading “ไปเสียวบนเขาช้างเผือก ไม่ได้ประกาศนียบัตร แต่ได้ใบสั่ง!” »

เขาหลวงสุโขทัย

ฉันห่างหายจากการเดินหนักหน่วง มาได้ 7 ปี ซึ่งครั้งนั้นสมัยยังหนุ่มได้ขึ้นไปบนยอดภูสอยดาว จนวันนี้ ฉันแก่ขึ้นและกลับมาสัมผัสการขึ้นเขาอีกครั้ง นัยหนึ่งก็เป็นความชอบ และนัยหนึ่งก็เพื่อทดสอบร่างกาย

ครั้งนี้เป็นทริปหนึ่งที่ชวนใครไปก็ไม่มีใครไป ทั้งๆที่ในตอนต้นฉันชวนพวกเขาไปเขาช้างเผือก จ.กาญจนบรี เป็นภูเขายอดฮิต ณ ตอนนี้ แต่บังเอิญว่ามีเหตุบางอย่างทำให้เข้าอุทยานไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางมาที่เขาหลวงสุโขทัยแทน ฉันก็เพิ่งค้นพบตอนนี้แหละว่า ฉันหาคนรอบข้างที่จะชอบเที่ยวหนักหน่วงแบบนี้ด้วยยากพอสมควร แต่การไปครั้งนี้ฉันไปครั้งแรกกับกลุ่มเพื่อนใหม่ในเว็บไซต์ trekkerhut.com โดยเป็นเว็บบอร์ดนัดกันไปเที่ยว บางคนก็รู้จักกันมาก่อน บางคนก็เป้นแบบฉัน คือหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักใครเลย แต่ก็เอาเถอะ ลองดูสักตั้ง

เราเริ่มต้นนัดเจอกันที่ BTS จตุจักรตอนสองทุ่ม (24 พ.ค. 2556) เพื่ออกเดินทางไปจังหวัดสุโขทัยด้วยรถตู้ ที่แม้คนขับจะอายุมากแล้ว แต่ฉันเดาได้ว่าเก๋าประสบการณ์มาก เพราะลุงแกคล่องแคล่วและซิ่งแหลกด้วยความแม่นยำ ทำให้เราถึงจุดมุ่งหมายและมีเวลานอนพักอีก 4-5 ชั่วโมงที่อุทยาน

 

20130524_190612
รถตู้ที่เราใช้เดินทางกัน บรรทุกสัมภาระเพรียบ และต้องหุ้มผ้าใบป้องกันฝนตกด้วย เผื่อกรณีผิดพลาด

 

เช้าตรู่ (25 พ.ค. 2556) ที่เขาหลวงสุโขทัย (หรือ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง) อากาศค่อนข้างเย็นสบาย พวกเราตื่นมาทำธุระและทานอาหารเช้ากัน ก่อนจะเตรียมตัวออกเดินทางตามเวลาที่กำหนดคือ 9:00น. ณ ตอนนั้นฉันแอบหวั่นใจเล็กๆ เพราะได้อ่านข้อมุลใน Internet มาบ้างว่าภูเขานี้ชันพอสมควร คือสูงแค่ 1,200เมตร แต่ระยะทางแค่ 3.7 กม. (ภูกระดึงสูงเท่ากัน แต่ระยะทางขึ้นเขา 6 กม.) แต่มาถึงนี่แล้ว ทำได้แค่เพียงจัดการร่างกายและกำลังใจให้ดี และเนื่องจากฉันตัดสินใจแบกสัมภาระเองด้วยประมาณ 9 กิโลฯ จึงต้องหาท่อนไม้คอยค้ำยันอีกหนึ่งท่อนไว้ป้องกันเรื่องหัวเข่า

 

20130525_055535 เรามาถึงประมาณตี 2:00 หาที่หลักปูถุงนอนกันตามศาลาเชิงเขา

 

20130525_080519 ทางขึ้นเขามีต้นไม้ (เข้าใจว่าคือต้าประดู่ยักษ์) ตั้งตระหง่านต้อนรับนักท่องเที่ยว

 

ทางขึ้นเขาลูกนี้ช่วงใน 1-2 กิโลฯ แรก จะเป็นหินและดินเกือบทั้งหมด ทำให้การปีนขึ้นทำได้ง่าย เดินเหยียบหินสลับกับทางดินไปเรื่อยๆ และมีถังน้ำที่รองน้ำมาจากบนเขาไว้ให้พักผ่อนเป็นจุดๆ(ประมาณ 500 เมตร) ฉันดื่มและล้างหน้าไปครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นมีเพื่อนร่วมทริปเล่าให้ฟังว่าเจอ ลิงลอยอยู่ในถัง (กางเกงใน) ซึ่งไม่รู้เป็นถังเดียวกับที่ฉันดื่มหรือไม่ ฟังแล้วแทบอยากจะอาเจียนเลยทีเดียว (ปกติที่ฉํนเห็น ถังจะถูกขันน็อตปิดฝาไว้ แต่คาดว่าบางถังอาจจะพังและเปิดได้)

 

20130525_083156 ทางขึ้นในช่วงแรก ชิลๆ สบายๆ ชันเล็กน้อยประมาณ 30-45 องศา

 

20130525_084552 เริ่มมาเจอทางชันและก้อนหินขนาดใหญ่ ที่ต้องก้าวเท้ายาวๆ เพิ่มความล้าตรงช่วงขาเป็นอย่างดี

 

20130525_091605 คงถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ทางเดินที่เคยดีๆ ก็พังถล่มตามอายุขัย ทำให้จากทางสบายๆ ก็กลายเป็นทางลำบาก แต่ยังดีที่มีราวให้จับ (ผุบ้าง ดีบ้างก็ระวังกันให้ดี)

 

เราเดินมาถึงจุดชมวิว ซึ่งประมาณ 40% ของระยะทาง ค่อนข้างเริ่มล้า เนื่องจากต้องยกขาสูงเพราะไต่หินสูงชันมาตลอดทาง แต่ลูกหาบที่แบกสัมภาระกลางบอกกับฉันว่า ไอ้ที่เดินขึ้นมายังเด็กๆ แต่ต่อไปนี่สิของจริง เพราะเขาเรียกกันว่ามออีหก ที่มาของชื่อคือ มันเป็นป่าไผ่และมีความชันมาก จึงทำให้ไผ่ล้มประปราย หรืออีกความหมายคือคนที่เดินอาจจะหกล้มได้ เพราะเป็นทางชันที่ปกคลุมด้วยใบไผ่ โอกาสลื่นมีสูง

 

20130525_095334 วิวจากจุดชมวิว ยังไม่สูงนัก แต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน

 

20130525_095405 ชาวคณะที่มาร่วมทริปด้วยกัน ส่วนใหญ่จะอายุไม่น้อยกันแล้ว แต่อึดโครตๆ เดินเร็วกว่าคนหนุ่มๆแบบผมเยอะ

 

ในจุดตรงที่เป็นมออีหก ไม้เท้าช่วยฉันได้เยอะ ฉันใช้มันเขี่ยๆทางด้วย และโชคดีอย่างหนึ่งคือก่อนหน้าที่เราจะขึ้นมีฝนตก ทำให้ดินมีความเหนียวบ้าง จุดนี้จึงไม่ลื่นอย่างที่คิด แต่ชันและเดินยากพอสมควร ฉันว่าเป็นจุดที่ยากสุดในทริปแล้วหละ ทั้งขาขึ้นและขาลง

20130525_101628 จุดเดินยากและอันตรายอีกจุด คือ มออีหก ดินลื่น และใบไผ่ปกคลุม ถ้าเดินไม่ดีก็ลื่นได้ง่ายๆ

 

ธรรมชาติระหว่างทางขึ้นเขา ค่อนข้างหลากหลาย เริ่มจากป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ทั่วไป มาเจอเต็มไปด้วยต้นประดู่ยักษ์ ตามมาเป็นป่าไผ่ และบนๆจะเป็นป่าผสม ที่ฉันเจอต้นไม้ใหญ่ๆ รวมถึงต้นไทรงาม เป็นจุดพักที่เรากินข้าวเที่ยงกัน อยู่ข้างๆต้นไทรขนาดยักษ์ ทำให้ฉันคิดถึงเรื่อง Avatar เลยทีเดียว ที่จะมีต้นหนึ่งเป็นตัวควบคุมธรรมาติทั้งหมด เสียดายที่มีคนมือบอนไปขีดเขียนซะเต็มต้นไทรเลย

 

20130525_092750 ป่านี้เต็มไปด้วยต้นประดู่ยักษ์ และต้นไม้ขนาดใหญ่หลายๆชนิด สมบูรณ์ดีครับๆ

 

20130525_121547 เราพักกินข้าวกลางวันกันที่ไทรงาม ร่มรื่น ร่มเย็น แต่ยุงและแมลงเยอะมากๆ (จริงๆก็เยอะตลอดเส้นทาง)

 

20130525_120026 ลองเทียบไทรงามกับตัวฉัน ฉันตัวเล็กไปเลย นี่ยังเก็บได้ไม่ครบทั้งต้นนะ แล้วด้านหลังก็ยังมีรากแผ่กระจายเยอะมาก

 

20130525_115656 ไทรงาม สูงมาก

 

20130525_112607 เถาวัลย์ขนาดมหึมา ขนาดต้องยืนมองหาที่มากันเลยทีเดียว

 

เราถึงจุดกางเต้นท์ประมาณ 13:00 น ใช้เวลาเดินไป 4 ชม ถือว่าปกติทั่วไป แต่สถิติที่มีจดบันทึกไว้งานวิ่งมาราธอนพิชิตยอดเขาหลวงสุโขทัย เร็วสุดคือ 46 นาที ช้าสุด 8 ชั่วโมง และอายุมากที่สุดที่พิชิตได้คือ 72 ปี

 

20130525_131533 ในที่สุดเราก็ถึงจุดกางเต้นท์

 

20130525_133621 เต้นท์กลางที่เราจะใช้พักแรมกัน

 

20130525_141221 ย่างหมู ยางเนื้อ ไว้รอมื้อค่ำ

 

เรากางเต้นท์และย่างเนื้อทิ้งไว้เสร็จ ก็เริ่มไปเดินสำรวจบนยอดเขากันต่อ ระยะทางประมาณ 2.2 กม. โดยจุดพีคที่นี่คือ ยอดเขานารายณ์ จะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านยื่นออกไป ให้ได้ยืนถ่ายรูปเเสียวๆกัน และว่ากนัว่าถ้ามองจากกลางคืน จะเห็นดาวดินสองฝั่ง หรือแสงไฟจากเมืองพิษณุโลก และเมืองสุโขทัย

 

20130525_160021 ยอดเขานารายณ์ จุดที่ใครๆก็ต้องมา

 

20130525_155645 วิวด้านล่าง สวยแปลกตา เพราะมันค่อนข้างอยู่ใกล้ชุมชน พ้นจากเขตป่าไปก็เป็นบ้านคนและทุ่งนาทันที

 

20130525_160254 ถ่ายคู่หน่อยๆ

 

20130525_160209 ตื่นเต้นดี อิอิ

 

เราเดินจากจุดเขานารายณ์ไปต่อที่ เขาพระแม่ย่า ซึ่งฉันลองมองไปรอบๆ คิดว่าสูงที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งหมด วิวดีที่สุด และพวกเราตั้งใจว่าจะอยู่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่  แต่น่าเสียดายที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจ แถมระหว่างทางเดินไปอีกเขาก็เจอฝนตกด้วย ไอ้ฝนตกยังพอเข้าใจ แต่เดินหลงทางนี่สิ ทำเอาออกกำลังกายฟรีกันทั้งทีม เพราะเห็นป้ายไปเขาภูกา แต่เดินลุยป่าเข้าไปเท่าไรก็ไม่พบ ยิ่งเดินเส้นทางก็ยิ่งหาย เจอแต่หญ้าและต้นไม้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นฝนตก และเวลาใกล้จะ 18:00 น. พวกเราจึงตัดสินใจรีบเดินกลับ เพื่อความปลอดภัย

 

20130525_164511

20130525_164119

20130525_164050 ถ้ามองจากยอดเขาพระแม่ย่าลงไป จะเห็นยอดเขาทุกลูก สวยงามมากๆ

 

และยอดเขาเจดีย์ เป็นยอดสุดท้ายที่เรามาพิชิตและชมวิวกัน บนยอดนี้ก็สวยมาก เห็นได้รอบด้านเช่นกัน และจุดนี้เอง เราก็เห็นกลุ่มฝนตกห่าใหญ่ มาจากทุกทิศ และเป็นไปได้ว่ากำลังมุ่งหน้ามารวมตัวกันที่เรา แต่ ณ ตอนนั้น เป็นภาพที่สวยและควรบันทึกไว้เลยครับ และก็เป็นจริงตามที่คาด ระหว่างเดินลงกลับไปที่จุดกางเต้นท์ ฝนก็เริ่มตกทันที และหนักขึ้นเมื่อเราถึงจุดกางเต้นท์พอดี

 

20130525_175430

20130525_175036 ฝนตกทั่วทิศทางเลย

20130525_174453

20130525_174938 ยอดเขาเจดีย์ อีกมุมที่นั่งชิลสบาย

 

สภาพร่างกายฉันตอนนี้มันเลยจุดเหนื่อยไปแล้ว ไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่รู้สึกปวดขาเท่าไรนัก อาจเพราะฉันกินยาพาราดักไว้หลังจากที่ขึ้นถึงจุดกางเต้นท์ก็ได้มั้ง

ค่ำนั้นเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งที่มีฉันอยู่ด้วย ทะยอยย้ายข้าวของไปอยู่ในศาลาเก็บของของเจ้าหน้าที่ แล้วจัดแจงที่นอนและที่ทานข้าวให้พร้อม ส่วนอีกกลุ่มก็จัดการทำอาหารอย่างขะมักขะเม่น ฉันว่าอาหารมื้อนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในรอบหลายปี เนื่องจากหิวโครตๆเลยหละ

คืนนั้นฝนตกหนักและลมพัดแรงตลอดทั้งคืน ดีอย่างหนึ่งตรงที่อากาศเย็นสบายจนถึงเกือบหนาว แต่เราก็พลาดโอกาสที่จะได้นอนดูดาวบนฟ้า และดาวบนดิน ไปอย่างน่าเสียดาย

 

20130525_185116 ฝนตกหนักและลมแรงตลอดคืน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น (26 พ.ค. 2556)  พวกเรารีบกระเสือกกระสนวิ่งขึ้นไปที่ยอดเขานารายณ์ บางคนตะโกน นั่นไง! ทะเลหมอก! ขาวโพลนเต็มท้องฟ้าไปเลย สวยมากๆ นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ฉันโชคดี (ครั้งแรกที่ภูทับเบิก) คือได้มาบนเขาหลังฝนตกหนักตอนกลางคืน ซึ่งปรากฏการณ์ตอนเช้าคือจะมีทะเลหมอกหนาแน่นให้ได้เห็น

 

20130526_061113 ทะเลหมอก!

 

แต่อาจเพราะอากาศในหน้าร้อน เลยทำให้ทะเลหมอกมีให้เราเห็นประมาณ 30 นาที แล้วก็เริ่มจางหายไป

เราทำอาหารเช้ากินกันง่ายๆ และก็เริ่มออกเดินทางลงเขาด้วยเวลาเดิมคือ 9:00 น. ซึ่งการเดินลงเขาครั้งนี้เราประเมินกันไว้ว่าทางจะลื่นและชันมากๆ จึงต้องเตรียมรองเท้าให้ดี เขี่ยดินออก และหาไม้ค้ำที่แข็งแรง ส่วนกระเป๋าเดินทาง คราวนี้เราให้ลูกหาบแบกกันทุกคน แต่ไม่ใช่เพราะต้องการเตรียมตัว แต่เพราะลูกหาบที่นี่ค่อนข้างขาดร้ายได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาเที่ยวกัน เขาจึงขอให้เราอุดหนุนเขาบ้าง

 

20130526_074822 มื้อเช้าง่ายๆ อร่อย อิ่มแล้วก็เตรียมออกเดินทาง

 

การเดินลงเป็นอะไรที่ลำบากกว่าขึ้นมากพอสมควร นอกจากเราต้องรับน้ำหนักตัวเองแล้ว ยังต้องคอยระวังด้วย เนื่องจากตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยโคลนและดินลื่นๆ ใบไม้ลื่นๆ แต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องแบกสัมภาระ เดินตัวปลิวได้สบาย จึงทำให้ขาลงเราเดินถึงด้านล่าง 11:30 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. 30 นาที แต่ขอบอกว่า ช่วง 1 กม. ท้ายๆที่ต้องเดินตามโขดหิน ช่วงข้อขาฉันรู้สึกล้าเต็มทน แม้ยกขาขึ้น แต่ข้อขาทำงานไม่สมบรณ์ก็มีสิทธิทำให้สะดุดหรือก้าวไม่พ้นสิ่งกีดขวางได้ วันนั้นฉันรู้เลยว่าฉันไม่เคยออกกำลังกายข้อขาเลย จึงทำให้เกิดอาการแบบนี้

 

20130526_085635 หลังจากฝนตกหนักทั้งคืน ขาลงก็ไม่ได้สบายอย่างที่คิด มีแต่ดินโคลนตลอดทาง

20130526_105906 ทางพังและโคลน

 

20130526_123545 ว่ากันว่า ใกล้ตา แต่ไกลตีน มันเป็นแบบนี้เอง

 

ระยะทางโดยรวมทั้งหมด ขึ้น 3.7 กม. ลง 3.7 กม. เดินบนเขาอีก 2.2 กม. หลงอีกอีก 1 กม. ก็ประมาณ 10.6 กม.

ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ฉันได้ข้อคิดที่ว่า การก้าวยาวๆ ก็ทำให้เราหมดพลังเร็ว และอาจไปไม่ถึงยอด หรือถึงยอด แต่ก็เหนื่อยเต็มทน แต่การก้าวทีละก้าว ถี่ๆ และอาจต้องยอมเดินอ้อมเล็กน้อย ฉันพบว่าประหยัดแรงกว่าการฝืนใช้ทางตรงที่ชันเกินไป และปลอยภัยมั่นคงกว่า

บางทีต้นไม้ใบใหญ้าที่มันขึ้นตามทางลื่นทั้งหลาย การเหยียบไปที่มัน ที่โคนรากของมัน ก็ช่วยทำให้ที่ลื่นๆ ก็หนึบติดรองเท้า แต่บางทีวัชพืชเหล่านี้ เราไปเหยียบมัน มันอาจเป็นหลุมพลางก็ได้ เหยียบไปก็อาจเป็นหลุมที่มันปกคลุมซ่อนไว้ หรือเหยียบไปแล้วเราพลาดลื่นเอง ซึ่งการร่วงมาทีจากทางชัน หรือจากที่สูง ค่อนข้างเจ็บหนัก และเสียงดัง..

การเดินและการดูรอยเท้าผู้อื่นที่เขาเดินไปข้างหน้าเราแล้ว ทำให้เรารู้ว่า เราต้องระวังตรงจุดไหนบ้าง บางทีเขาลื่นไปแล้ว เราก็ไม่ไปเหยียบซ้ำ จะได้ไม่ลื่นล้มตามเขา และเราควรต้องระวังตัวให้มาก แต่บางทีจำเป็นต้องเหยียบก็ต้องเหยียบ แต่เหยียบด้วยความระมัดระวัง หาอุปกรณ์หรือตัวช่วยไว้บ้าง เช่น ไม้เท้า ก็จะช่วยเราให้ถึงจุดหมายได้เร็วและปลอดภัยขึ้น

ทริปนี้ฉันค่อนข้างประทับใจ ทั้งเพื่อนใหม่ที่ดี ทั้งความมันส์ที่ได้รับ และประสบการณ์ใหม่ๆที่ได้เจอ ไฟในตัวได้กลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง เหมือนเป็นหนุ่ม เพราะอย่างน้อยเราได้พิสูจน์ไปเล็กๆว่า ใจเรายังสู้ ร่างกายเรายังแข็งแรง