ผมมักบอกใครต่อใครว่า ถ้าเคยปีนเขาที่ไหนแล้ว ผมจะไม่ไปซ้ำ ยกเว้นบางแห่งที่พิเศษจริงๆ รวมถึง “ดอยหลวงเชียงดาว” ที่ผมได้ไปเป็นครั้งที่สอ
สำหรับผม ภูเขาที่ไห
แม้ยอดเขาจะสูงถึง 2,225 เมตร หรือสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย แต่ก็เดินไม่ยากมาก ระยะทางจากจุดเริ่มต้นด้วยเส้นทางที่เรียกว่า “ปางวัว” จนถึงจุดกางเต๊นท์ “อ่างสลุง” แค่ 6.5 กม. เท่านั้น (ผมจับด้วย GPS ได้ 7.29 กม. ) อาจจะมีชันและลื่นบ้างในช่วง 2 กม. แรก แต่ถ้าพ้นจุดนั้นได้ ก็เดินสบายๆ และได้เห็นวิวสวยๆ ตระการตาแล้วหละครับ
จริงๆแล้วการไปอ่างสลุงมีทางเดินอีกเส้นหนึ่งเรียกว่า “เด่นหญ้าขัด” ซึ่งว่ากันว่าเป็นทางเดินที่ง่าย ไม่ชัน แต่มีระยะทางไกลกว่านิดหน่อย คือ 8.5 กม ซึ่งผมไม่เคยไปเส้นทางนั้น เลยมาเล่าไม่ได้ (แต่ลองอ่านจากบล็อกของหมอ Tongkatsu ได้ครับ) และที่น่าสนใจกว่าคือ เส้นทางเด่นหญ้าขัด มีผู้พบเห็นดอกเทียนนกแก้วมากกว่าเส้นทางปางวัว (ดอกเทียนนกแก้วคืออะไร ทำไมต้องหาดู ไว้ผมจะเล่าต่อไปนะ)
แต่เดิม ตามตำนานเมืองเชียงใหม่ ที่นี่ชื่อว่า “ดอยอ่างสลุง” เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมากับพระอรหันต์ 8 องค์ ทรงลงสรงน้ำในสลุงทองคำ จึงเรียกบริเวณนั้นว่าอ่างสลุง ปัจจุบันเป็นจุดกางเต๊นท์พักแรมของนักท่องเที่ยว (ผมไม่พบว่ามีร่องรอยสระน้ำตรงไหนบริเวณอ่างสลุง และไม่มีแหล่งน้ำใดๆบนดอยหลวงเชียงดาว ดังนั้นเวลาไปที่นี่ ต้องเตรียมน้ำไปให้พอเพียง)
และที่นี่เอง ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดาอาศัยอยู่ จึงทำให้ภูเขา ต้นไม้ สัตว์ป่า ยังสมบูรณ์อยู่มาก ทุกคนยังเคารพรักและดูแลด้วยดี ดังนั้น เราผู้เป็นคนนอก ก็ควรให้ความเคารพ และดูแลดอยหลวงเชียงดาวด้วยเช่นกัน
ครั้งแรกที่ผมไป จุดนัดรวมตัวอยู่ที่สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ส่วนมากจะไปกันที่นั่น ซึ่งห้องน้ำมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ครั้งนี้ผมได้ไปที่ค่ายเยาวชนเชียงดาว ซึ่งค่อนข้างเงียบๆ ไม่มีคนไป และห้องน้ำเยอะพอสมควร ทำธุระได้สบายเลย (ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าต้องขออนุญาตใครก่อนหรือเปล่า แต่เข้าใจว่าไกด์ผู้นำทริปคงประสานงานขอสถานที่ไว้แล้ว)
วิวตรงค่ายเยาวชนเชียงดาว
ตรงจุดเริ่มเดิม ไกด์จะแจกข้าวกลางวันและน้ำสำหรับไว้กินระหว่างทาง
สัมภาระบางอย่าง เช่นอุปกรณ์ทำอาหาร จะให้ลูกหาบแบกไป
แผนที่ของเชียงดาวทั้งหมด บอกชื่อของแต่ละจุดไว้ ซึ่งจำไว้บ้างก็ดีนะครับ เผื่อไว้เป็นจุดนัดพบกัน จะได้เข้าใจตรงกัน (ปีที่แล้วผมมาไม่มี)
ป้ายต้อนรับทางฝั่งเส้นทางปางวัว บอกระยะทางไว้ 6,500เมตร แต่เผื่อใจหน่อยนะครับ ไกลกว่านั้นนิดนึง
แต่ไม่ว่าจะรวมตัวกันจุดไหน ก็ต้องนั่งรถกะบะต่อไปยังจุดเริ่มต้นเดินทาง ซึ่งถ้าไปทางปางวัวจะใช้เวลานั่งรถประมาณ 20-30 นาที ณ จุดนั้นเราจะพบกับลูกหาบ รับห่อข้าวกลางวัน น้ำดื่ม และจัดแจงสิ่งของเพื่อเตรียมเดินทางสู่ยอดเชียงดาวกัน
เส้นทางปางวัวในช่วงแรก อย่างที่บอกครับ จะชันมากและพื้นเป็นดินร่วนอัดแน่น เดินเลาะไปตามหน้าผาเรื่อยๆ บางช่วงทางจะแคบ และก่อนหน้าที่ผมมา 1-2 วัน มีฝนตกหนัก เลยทำให้พื้นเป็นโคลนทั้งหมด รองเท้าดีแค่ไหนก็ลื่นหละครับ ต้องเดินระมัดระวังมากๆ ถ้ามีไม้เท้าช่วยก็จะดีมาก (แต่ถึงฝนไม่ตกและพื้นไม่ลื่น การพกไม้เท้าไว้ก็ช่วยได้ดีครับ)
เดินมาประมาณ 1 กม จะเริ่มเจอทางชัน ช่วงที่ผมไป ฝนเพิ่งตก ทางเลยเป็นดินโคลน ลื่นกันสนุกสนาน
เมื่อพ้นเส้นทางชันจากปางวัวมาแล้ว จะเป็นทางลาดลงป่าไผ่และป่ากล้วย ไปจนถึงป้ายสามแยกที่บรรจบของเส้นทางปางวัว, เส้นทางเด่นหญ้าขัด และเส้นทางไปอ่างสลุง ซึ่งตรงนี้เองจะเริ่มพบดอกไม้ ต้นไม้ สวยๆ ให้เราได้ถ่ายรูปกัน โดยเฉพาะ “ดอกเทียนนกแก้ว”
สามแยกที่เส้นทางปางวัวกับเด่นหญ้าขัดมาบรรจบกัน เพื่อมุ่งหน้าไปจุดกางเต็นท์อ่างสลุง
ดอกเทียนนกแก้ว เป็นพันธุ์ไม้หายากชนิดหนึ่ง รูปร่างของดอกจะคล้ายกับนกแก้ว สีม่วงๆแดงๆผสมขาว ใหญ่สัก 2นิ้ว และมีเพียงแค่บนดอยหลวงเชียงดาวเท่านั้น พบได้ตามใต้ร่มไม้หรือบริเวณโขดหิน (ด้วยขนาดที่เล็กๆ ต้องสังเกตดีๆ) ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่มีโอกาสได้เห็นของจริง นอกจากต้องเข้าป่าเดินมาดูเองที่นี่ โดยมันมีอายุอยู่ได้แค่ 7-10 วัน และจะบานช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เท่านั้น จึงเป็นเหตุผลให้นักท่องเที่ยวนิยมมากันช่วงนี้ เพื่อมาดูเทียนนกแก้วบานสะพรั่ง (เทียนนกแก้วเป็นพันธุ์ไม้ต้องห้าม ห้ามทำการส่งออกนอกประเทศ หรือย้ายถิ่นฐาน ถือว่าผิดกฎหมาย)
สวยป่ะล่ะ อยากเห็นของจริง ต้องเดินมาดูกับตาครับ
ย้ำอีกที สำหรับคนอยากเห็นเทียนนกแก้ว เมื่อเดินถึงช่วงป่ากล้วยเป็นต้นมา พยายามหันซ้ายหันขวา มองหน้าหลังดูดีๆ ซึ่งปีที่แล้วผมไปเดือนธันวาคมก็ยังพอมีให้พบอยู่ 7 ดอก! ส่วนปีนี้ผมเห็นหลายดอก และส่วนมากยังบานไม่เต็มที่ด้วย แต่ก็มีคนบอกว่ายังน้อยนักถ้าเทียบกับปีก่อนๆ
“เทียนนกแก้ว” มันเป็น Rare Item แห่งชาติเชียวนะครับ
เมื่อเดินผ่านช่วงป่ากล้วยมาแล้ว จะเจอทุ่งหญ้าคา และเดินท่ามกลางแดดร้อนๆ ยาวไปจนถึงอ่างสลุง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ได้ชื่นใจคือ วิวสองข้างทางจะอลังการงานสร้าง เพราะเป็นกำแพงภูเขาหินปูนสูงตระหง่านโอบล้อมเรา มองไปทางไหนก็สวยครับ ยิ่งถ้าเจอหมอกละเลียดยอดเขาจะสวยมากๆ
ทุ่งหญ้าคา ร้อนแต่สวย เดินมาถึงตรงนี้ อย่าลืมหันหลังกลับไปมองนะครับ
แถวนี้เองจะมี Rare Item อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยรู้ คือ ซากฟอสซิลหอยล้านปี มันจะอยู่บนหินแบนๆ ที่ดูแล้วน่าไปยืนเหยียบถ่ายรูป (แต่อย่าทำเลยครับ และระวังเหยียบด้วย เพราะเดี๋ยวรอยมันจางเร็วกว่าปกติ รุ่นลูกรุ่นหลานจะมองไม่เห็น) ซึ่งจุดสังเกตที่ตั้งของหอยคือตรงนั้นจะมีหินก้อนใหญ่เป็นกำแพงเตี้ยๆคล้ายบังเกออยู่ ก้มมองต่ำๆที่หินระแวกนั้น เดี๋ยวจะเจอรอยขดๆเหมือนหอย ตามภาพนั่นเอง
เจอหอยแล้ว เดินมาอีกไม่นานก็จะถึงอ่างสลุง ซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ของทุกทีม และที่นี่เองมีเต็นท์ของลูกหาบที่เราเรียกกันว่า 7-Eleven เพราะว่ามีน้ำอัดลม เบียร์ ขนม ขาย โดยน้ำอัดลมสนนราคาที่ 3 กระป๋อง 100 บาท ส่วนเบียร์ 50-60 บาท เลย์ห่อละ 30 บาท ดังนั้นพกเงินไปด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮ่าๆ
จุดที่ตั้งเต็นท์ของเรา ทางลูกหาบได้มากางรอไว้อยู่แล้ว อยู่ในหุบก่อนขึ้นยอด ส่วนตัวมาก แต่ก็หนาวมาก เพราะไม่โดนแดดเลย ข้อดีคือ นอนกลางวันโครตสบาย ไม่อบอ้าว
ที่บริเวณอ่างสลุงค่อนข้างวุ่นวาย และมีทางเดินหลายเส้น เต็นท์ก็กางกระจัดกระจาย ดังนั้นพยายามจำจุดกางเต็นท์ของตัวเองไว้ให้ดีๆ โดยเฉพาะเวลาเดินทางมืดๆ อาจสับสนทิศได้ (กลุ่มเต็นท์ผมอยู่ใกล้ๆทางขึ้นยอดดอย มีคนหลงมาถามทางกลับเต็นท์อยู่บ่อยๆ)
จากจุดเริ่มปางวัวถึงอ่างสลุง จะใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง (แล้วแต่ฝีเท้าแต่ละคน) ถึงประมาณบ่ายโมงกว่า และเราเริ่มเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวตอน 16:00น. โดยจะใช้เวลาประมาณ 20-30นาที ก็ถึงยอดดอย ซึ่งระหว่างทาง พระอาทิตย์เริ่มเป็นสีทองบ้างแล้ว ผมคิดว่าหากใครอยากดูพระอาทิตย์ตกสวยๆ ควรขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว หรือก่อนหน้าเล็กน้อย เพื่อไปจับจองจุดถ่ายรูป และดูได้อย่างเต็มตา (อย่าลืมพกไฟฉายหรือไปฉายคาดหัวไปด้วยนะครับ ขากลับมันมืด และหินค่อนข้างแหลม)
ทางเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาว ก็หาที่ร่มๆให้หลบแดดแทบไม่ได้เลย ถ้ารีบขึ้นไปแต่บ่าย ควรพกร่ม พกหมวกไปด้วยนะครับ
พระอาทิตย์ตกในวันแรกที่ผมไป สวยงามมากๆ มีลำแสงลอดเมฆออกมาส่องทิวเขาได้อย่างพอดิบพอดี (เพื่อนสูงวัยของเราคนหนึ่งเรียกว่า “แสงเฮ้ากวง”) มันสวยกว่าปีที่แล้วที่ผมมา และทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยที่สุดที่ทุกคนเคยมาเชียงดาว
คืนนั้นเราจะอยู่ถ่ายดาวและทางช้างเผือกกัน แต่ฟ้าไม่อำนวย เมฆและหมอกมีประปราย เราเลยเดินลงมากันประมาณ 1 ทุ่มเพื่อกินข้าวและพักผ่อน เตรียมตื่นเช้าไปดอยกิ่วลม
ซึ่งปกติทริปมาตรฐานจะจัดกันประมาณนี้นะครับ วันแรกขึ้นยอดดอยหลวงเพื่อดูพระอาทิตย์ตก เช้ามืดวันที่สองขึ้นยอดดอยกิ่วลมดูทะเลหมอกและดอกไม้ ดังนั้นต้องเผื่อแรงไว้ดีๆ โดยเฉพาะคนเพิ่งเริ่มเดินป่า ให้พกยาทาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อไปกินด้วย จะช่วยได้เยอะครับ
เช้าวันที่สองเราเริ่มออกเดินกันตอนตี 4:30 เพื่อไปดอยกิ่วลม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเส้นทางนี้จะโหดกว่าขึ้นยอดดอยหลวง ชันกว่า ลื่นกว่า และมีหินแหลมคมตลอดทาง ดังนั้นควรพกถุงมือติดไปด้วยเอาไว้ปีนป่าย จับต้นไม้ จับหิน จะได้สะดวก (ส่วนตัวผมไม่แนะนำให้ใช้ไม้เท้านะ ทางมันแคบ อาจจะเกะกะมากกว่า และมันก็พอมีจุดให้เราจับประคองตัวเองได้เรื่อยๆ เช่น ต้นไม้ หิน)
เตรียมตัวเดินทางกัน ไฟฉายคาดหัว เป็นอะไรที่ควรมีนะ มือจะได้ว่างๆ จับต้นไม้ จับไม้เท้า
ขึ้นมาถึงกิ่วลม ตรงนี้มีสัญญาณมือถือครับ (DTAC, True, AIS) และเน็ตแรงเลยหละ นั่งเล่นรอพระอาทิตย์ อิอิ
มีเสริฟกาแฟ โอวัลติน แล้วก็ขนมปัง ระหว่างชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้น
แสงอาทิตย์เริ่มสาดแสงเป็นสีทอง
บนดอยกิ่วลมจะมีด้านตะวันตก(ฝั่งที่หันเข้าหุบเขา เห็นยอดดอยหลวง) กับด้านตะวันออก(ฝั่งที่ออกนอกหุบ เห็นเมือง) ซึ่งเราจะดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นฝั่งตะวันออก แต่ผมเองก็ไม่ค่อยชำนาญนัก ต้องให้ไกด์แนะนำว่าจุดไหนถ่ายรูปสวย แต่ในความเป็นจริง ถ้าเดินขึ้นมาช้า เจอคนแย่งวิวไปหมด ก็ไม่ต้องเสียใจครับ สามารถเดินเลาะทิวเขาลึกเข้าไปเรื่อยๆได้ สามารถดูได้ตลอดทาง เพียงแต่อาจมีต้นไม้บังบ้างเท่านั้น
วันนั้นถึงแม้ไม่มีทะเลหมอก แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นแสงอาทิตย์ขึ้นจากริมขอบฟ้า ค่อยๆทอดตัวมาทักทายเราจนเต็มดวง ทุกสายตาและกล้อง ต่างไม่ลดละที่จะรีบบันทึกภาพไว้ ณ ตอนนั้นนายแบบนางแบบต่างชุนมุลกันมากเพื่อจะรีบเข้ากล้อง ได้มีรูปตัวเองสักสามสี่รูปก็ยังดี จนผมเองล่ะเสียวแทนเลย เพราะหินคมและลื่น กลัวจะพลาดกัน แต่นึกอีกทีก็ตลกดี คือทุกคนเรียกว่า “เป็นงาน” ครับ ทั้งตากล้องและแบบ ฮ่าๆ
ดอยกิ่วลมนอกจากไฮไลท์จะอยู่ที่พระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก ยังมีดงดอกไม้ที่สวยมากๆ จะเรียกที่นั่นว่าสวนดอกไม้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะมันมีดอกไม้หลากหลายชนิดขึ้นแซมตามโขดหินให้ดูตลอดทาง งามมาก กอปรกับมันอยู่ท่ามกลางหมอก ที่ทำให้เราต้องลุ้นว่าเดินต่อไปเรื่อยๆจะเจอดอกไม้ชนิดใด สามารถเดินเลาะดูไปเรื่อยๆจนสุดปลายหน้าผา แต่ช่วงที่ผมมาครั้งนี้ ป่าเพิ่งเปิดสดๆ หญ้ารกมาก ทางเลยไม่ชัด ต้องให้เจ้าหน้าที่นำทาง
ดอยกิ่วลม ถ้าไม่ต้องรีบไปไหนต่อ ผมอยากให้ทุกคนลองใช้เวลาเดินสำรวจบนนั้น เลาะขอบตะวันตกบ้าง ตะวันออกบ้าง รับรอง จะได้รูปดอกไม้และวิวสวยๆอีกเยอะเลยครับ เช้าวันนั้นเราอยู่กันถึงสิบโมง คุ้มค่าสุดๆ
บนกิ่วลม เต็มไปด้วยหมอกและดอกไม้
สุดทายของกิ่วลมเหนือ
นี่มันเหมือนผาสองฤดูเลยนะ
ให้ลูกหาบแบกข้าวเช้ามากินข้างบนกิ่วลมกันเลย
อ่อ ผมลืมบอกครับ กิ่วลมจะมี กิ่วลมเหนือ และ กิ่วลมใต้ ที่ที่นิยมไปกันและที่ผมเขียนมาทั้งหมดจะเรียกว่ากิ่วลมเหนือ ส่วนกิ่วลมใต้หินค่อนข้างคม ทางเดินแคบและอันตราย ดังนั้นไกด์มักจะไม่พาไป แต่หากใครอยากลองเดินเล่น ก็สามารถไปได้ครับ แค่ระมัดระวังมากกว่าปกติหน่อย
วันที่สองเป็นวันที่เราได้พักผ่อนเต็มที่ หลังจากลงจากดอยกิ่วลม เราจะมีเวลาว่างพอที่จะนอนหลับ เดินสำรวจ นั่งคุย หรือฟิตๆหน่อยจะวิ่งเทรลไปกลับปางวัวอีกสักรอบก็ไม่ว่ากัน (ฮ่าๆ)
พอถึงบ่ายสาม พวกเราเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวอีกรอบ เพื่อไปจับจองพื้นที่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินเช่นเดิม วันนี้มีเวลามากพอที่จะเดินให้ทั่วยอดดอย ถ่ายรูปเล่นกับฉากหลังที่เป็นทิวเขาสุดสายตา หรือจะนั่งมองหากวางป่าที่เขาพีระมิดฝั่งตรงข้ามก็ได้
บนยอดดอยหลวงไม่มีต้นไม้ให้หลบแดดนะ ถ้ารีบไปแต่บ่าย ควรพกหมวก พกร่มไปด้วย
ก่อนถึงยอดดอย เป็นหินแหลมคม ระวังด้วยนะครับ
กุหลาบพันปี บนยอดดอยหลวงเชียงดาว
เมื่อเดินมาจนสุดทางบนยอดดอยหลวงเชียงดาว จะเห็นวิวสวยๆแบบนี้
เย็นวันนี้ฟ้าใสไม่มีเมฆ เราได้เห็นวิวของเทือกเขาเชียงดาวตัดกับแสงอาทิตย์เหลืองอร่าม มันค่อยๆดับลงไปตามกาลเวลา เราอยู่บนนั้นเกือบสองทุ่มเพื่อถ่ายทางช้างเผือก ซึ่งท้องฟ้าเป็นใจที่สุด ใสและมืด ทำให้เห็นดาวเยอะมากๆ และได้เห็นทางช้างเผือกตามที่ตั้งใจไว้
บนยอดดอยหลวงเชียงดาว จะเห็นยอดดอยอินทนนย์ไกลลิบๆ
ทุกอย่างกำลังจะมืดลง
วันนี้ฟ้าใส ก็สวยไปอีกแบบ แต่ไม่เห็นลำแสง เหมือนวันแรก
ขาลงจากยอดดอยหลวงเชียวดาวในเวลากลางคืน ค่อนข้างอันตราย หินแหลม และบางจุดก็ลื่น (น้ำค้างโชลมพื้น) ถ้ามีไฟฉายคาดหัวไว้จะดีมากครับ พกถุงมือไปใส่ด้วยก็ได้ เผื่อจับต้นไม้ จับหิน
คืนวันที่สองมีเวลาเต็มที่ เพราะไม่ต้องตื่นเช้า ส่วนมากจะนั่งคุย กิน ดื่ม กันเต็มที่
เช้าวันสุดท้าย พวกเราเดินทางกลับไปทางเดิมคือปางวัว ขาขึ้นว่าลื่นแล้ว ขาลงลื่นกว่าหลายเท่า กอปรกับทางแคบๆ ต้องเดินระวังมากพอสมควร หากมีไม้เท้าก็ใช้สองไม้เลย หรือถ้ามีถุงมือจะจับหญ้า คว้าต้นไม้ ไถลตูด ก็ตามสะดวก แต่ถ้าเราไปช่วงหน้าหนาว ดินก็อาจจะแห้งและเดินง่ายกว่า
ปลายทาง เจ้าหน้าที่เตรียม “ข้าวขาหมูเชียงดาว” ไว้ให้กินด้วย เห็นเขาบอกว่าเป็นสุดยอดเมนูอาหารของท้องถิ่นเลยครับ กินมาสองปี รสชาติอร่อยเหมือนเดิม ไม่ผิดหวัง ไปแล้วอย่าพลาดเชียวนะ!
ก่อนกลับ หัวหน้าทริปเราใจดี พาอาบน้ำพุร้อนด้วย เลยไม่ต้องทนหนาวอาบน้ำเย็นที่อุทยานฯ ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้ว่าแถวนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนหลายแห่งไว้ให้บริการ ซึ่งที่ที่ผมไป สนนราคาค่าบริการที่ชั่วโมงละ 50 บาท เช่ากางเกงอีก 1 ตัว 20 บาท ก็โดดลงได้เลย (แต่คณะผม หัวหน้าทริปเขาเหมาไว้ให้อาบกันฟรีๆ ป๋าป่ะล่ะ \^^/)
หลังจากเดินป่าและไม่ได้อาบน้ำมาสามวัน ได้แช่เท้า แช่ตัวในน้ำร้อน มันโครตจะฟินเลยครับ
บทสรุป
สำหรับเชียงดาวครั้งที่สองของผม ยังคงงดงาม สดชื่น และประทับใจอยู่เหมือนเดิม จะให้ไปเป็นครั้งที่สามก็ยินดี ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ดูแค่ภาพในบล็อกผมหรือจากบล็อกอื่นๆ ก็คิดว่าทุกคนคงเห็นด้วยเช่นกัน และหากใครเพิ่งเริ่มเดินป่า ที่นี่ไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 ภูกระดึงเดี๋ยวก็ถึง
ความสวย: 10/10
ความสนุก: 10/10
ความยาก: กลาง
แหล่งเติมน้ำ: ไม่มี
ระยะทาง: ปางวัว 7 กิโลเมตร, เด่นหญ้าขัด 8.5 กิโลเมตร (ถึงจุดกางเต๊นท์), 400 เมตร (จากจุดกางเต๊นท์ไปยอดดอยหลวง), 2 กิโลเมตร (จากจุดกางเต๊นท์ไปยอดกิ่วลม)
ระยะเวลาขาขึ้น: ประมาณ 3-4 ชั่วโมง (ถึงจุดกางเต๊นท์), 20-30 นาที (จากจุดกางเต๊นท์ไปยอดดอยหลวง), 1 ชั่วโมง (จากจุดกางเต๊นท์ไปยอดดอยกิ่วลม)
ระยะเวลาขาลง: ประมาณ 2 ชั่วโมง (จากจุดกางเต๊นท์)
ความสูงยอดดอย: 2,225 เมตร (สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย)
ข้อมูลอื่นๆ
- จำกัดคนขึ้นวันละ 150 คน ต่อวัน ต้องรีบจอง หรือรีบหาทัวร์ลง ถึงไม่ยากเท่าโมโกจูหรือช้างเผือก แต่ถ้าช้าก็อดไปช่วงเวลาดีๆนะครับ
- ป่าเปิด 1 พฤศจิกายน ของทุกปี
- ส้วมโอเคครับ เป็นส้วมหลุมมีที่ปิดดี และมีตาข่ายล้อม