13 ข้อ วิธีประหยัดเงิน ในปี 2013 (จริงๆ มันก็ทำได้ทุกๆปีนั่นแหละ)

ไปเห็นมาครับ ชอบๆ เข้าใจง่ายดี และเป็นเรื่องที่ไม่ต้องฝืนใจทำมากนัก

  1. Pay yourself First – ได้เงินมาแล้วก็จ่ายสิ่งที่จำเป็น หรือหนี้ที่จำเป็นต้องจ่ายในทุกเดือนก่อน  เช่น ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าซักผ้า หนี้บัตรเครดิต
  2. Set Financial Goals – ตั้งเป้า รายรับ รายจ่าย ทั้งระยะสั้นและยาว เช่น ค่ากินแต่ละวันไม่ควรเกินเท่าไร ผ่อนบ้านควรจะหมดในกี่ปี
  3. Save your spare change – กลับไปเป็นเด็กหยอดกระปุกเก็บเงินไว้บ้าง เต็มแล้วก็ฝากบัญชี เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน
  4. Leave the credit card at home – พยายามหยุดหรือลดการใช้บัตรเครดิตโดยไม่จำเป็น
  5. Turn off the lights when you leave the house – ปิดไฟทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน (หรือที่ไหนๆก็ตาม เช่น ออฟฟิต ห้องน้ำสาธารณะ บลาๆๆ)
  6. Double your recipe so you’ll have leftovers – หัดทำอาหารสูตรใหม่ๆจากวัตถุดิบที่ยังมี(หรือยังเหลือ) ภายในบ้าน
  7. Pack your lunch – พกอาหารกลางวันไปกินข้างนอกบ้าน! บางทีกินบนออฟฟิต เมื่ออิ่มแล้ว ขี้เกียจเดินไปที่อื่น ก็ประหยัดค่าซื้อขนมได้ด้วยนะ
  8. Skip the bottled water – พยายามลดหรือเลิกซื้อน้ำขวดดื่ม แล้วหันไปใช้ขวดแก้วหรือขวดพลาสติก reuse กรอกน้ำดื่มแทน (อาจกรอกมาจากบ้าน หรือในออฟฟิต ถ้าคิดว่าสะอาดพอ)
  9. Cancel your cable package – ยกเลิกเคเบิ้ลทีวีไปเลย ถ้าคิดว่าดูไม่คุ้ม หรือไม่กี่ครั้ง
  10. Ditch the delivery – ใช้บริการอาหาร Delivery บ้าง เพราะการทำอาหารในครัว อาจมีรายจ่ายที่สูงกว่า ทั้งวัตถุดิบ ค่าน้ำ ค่าไฟ ในการแช่ อบ ทอด ต่างๆ
  11. Clip coupons – มีคูปองอะไรก็หยิบๆออกมาใช้บ้าง ไม่ใช่รับแล้วเก็บไว้เฉยๆ บางทีก็ประหยัดเงินได้เยอะอยู่เหมือนกันนะ
  12. Evaluate your cell phone plan – สังเกตุการใช้งานมือถือตัวเอง แล้วสมัคร package เท่าที่จำเป็น
  13. Car pool to work – ไปทำงาน หรือไปไหนมาไหน ถ้าเป็นไปได้ ก็ไปด้วยกัน คันเดียวกัน กรณีนี้ผมมองว่า รถสาธารณะก็รวมไปด้วยนะครับ


ที่มา http://www.advantageccs.org/money-saving-tips-2013-infographic.html

การทำงานแบบฮาโมนี และ ปรากฏการณ์สร้างมูลค่าแบบอิเกีย

 จากที่เคยอ่านนังสือการสร้างคนให้ยิ่งใหญ่สไตล์ธนินท์ ที่มีท่อนหนึ่งคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ CEO CPALL ท่านเคยให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการทำงานเป็นทีมแบบ ผสมส่วนเหมือน ผสานส่วนต่าง ที่เรียกว่า ฮาโมนี (Harmony)

Continue reading “การทำงานแบบฮาโมนี และ ปรากฏการณ์สร้างมูลค่าแบบอิเกีย” »

เมื่อ ททท. ออกมาประกาศว่า ประเทศยินดีต้อนรับชาวเกย์-เลสเบี้ยน ทั่วโลก

ถือเป็นการทำการตลาดแบบนิช มาร์เก็ต (Niche Market) มากๆ เจาะกลุ่มตรงเป้าหมายเลยว่าเป็น เกย์-เลสเบียน ชาวอเมริกา ระดับไฮเอนด์ ซึ่งผมมองว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ระดับหนึ่งที่กล้าจะเล่นของ ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) เลยทีเดียว เพราะแม้จะบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศอิสระ ทำอะไรก็ได้ (Thailand be free) แต่ก็ค่อนข้างสวนกระแสกับวัฒนธรรมทางเพศของไทยอยู่เหมือนกัน

ทาง ททท. เขาวิจัยแล้วพบว่า ตลาดเกย์-เลสเบียน มีจำนวนประชากรรวม 15 ล้านคน หรือคิดเป็น 6-7% ของประชากรอเมริกาทั้งหมด และส่วนใหญ่ก็มีรายได้สูงด้วย โดยคนเหล่านี้จะเดินทางท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละ 10 ครั้ง และ กรุงเทพฯ ก็เป็นเป้าหมายการเดินทางอันดันหนึ่งที่คนกลุ่มนี้ต้องการมา ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศไทยมีความเป็นมิตร

“ไทยเป็นเมืองพุทธ พร้อมต้อนรับทุกคนที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ซึ่งในสายตานักท่องเที่ยวเกย์ หรือ เลสเบียน เขามองว่ากรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับเขา” นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา

ตอนนี้ปล่อยคลิปสปอตโฆษณา มาแล้วด้วย

อ้างอิงข่าว Manager Online

อาจารย์ฌาณเดช พ่วงจีน

เพิ่งรู้ข่าวการจากไปของท่าอาจารย์ฌาณเดช พ่วงจีน

ผมมีโอกาสได้เข้าฝึกวิชากับท่านประมาณ 2 ครั้ง แต่เป็น 2 ครั้งที่มีคุณค่ามากกับชีวิตผม อาจารย์นอกจากจะเป็นครูมวยไทเก็กที่หาคนเปรียบได้ยากแล้ว ยังเป็นท่านอาจารย์ผู้สอนวิถีการใช้ชีวิต ธรรมะ และความเป็นผู้นำที่หาใครเสมอเหมือน

ท่านเองปวารณาตนเป็นนักพรตตลอดชีพ เพื่ออยู่โปรดลูกศิษย์ เพราะท่านคิดว่าการบวชเป็นพระมีข้อจำกัดหลายอย่าง อาจถ่ายทอดได้ไม่กระจ่างนัก

ภายนอกท่านดูเป็นชายธรรมดาๆ เมื่อเข้าใกล้และรู้จักผิวเผิน ท่านจะดูน่าเกรงขาม แต่เมื่อรู้จัก กลับอ่อนโยนและน่าเคารพ
เป็นเพียงไม่กี่คนที่ไม่ใช่พระหรืิอเจ้า ที่ผมเจอแล้วต้องคุกเข่าไหว้ด้วยความเคารพนับถืออย่างใจจริง และที่น่าประทับใจคือท่านเองก็จะคุกเข่าลงไปรับผมขึ้นมาและกอดแบบ bear hug เสมือนพี่น้องสนิทกันไม่ได้เจอกันนาน

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาผมคิดจะเดินทางไปพบท่านที่บ้าน หรือแม้แต่ตามบริษัทพวก scg, ptt ที่ท่านไปสอน แต่ผมก็บุญไม่ถึงที่จะได้ไปเจอ เพราะข้ออ้างส่วนตัวสารพัดอย่าง

ผมเชื่อว่าด้วยกุศลบุญที่ท่านได้ทำมา ศีลที่ท่านได้รักษา และฌานสมาบัติที่ท่านได้ฝึกฝน จะอำนวยให้ท่านได้อยู่ในภพภูมิที่ดีภายหลังชีวิตความตาย ขอให้ท่านสู่สุคติครับ

ด้วยรักและคิดถึง

อยู่เหนือความดราม่าทั้งปวง

ผมเจอหลายครั้งที่เวลาใครไม่ต้องการยุ่งอะไรสักอย่างมักจะใช้คำว่า “(ฉัน)อยู่เหนือ..(อะไรบางอย่าง)” แทนการปฏิเสธด้วยคำต่างๆว่า “ไม่ยุ่ง”, “ไม่เกี่ยว” หรืออื่นๆ

กำลังขบคิดอยู่ว่า คนที่คิดประโยคนี้สุดยอดมากเลย
เพราะนอกจากจะพูดทีเดียวเพื่อให้คนอื่นได้รู้ว่า “ฉันจะไม่ยุ่งกับ..(อะไรบางอย่าง)” แล้ว
การบอกว่า ฉันอยู่เหนือ ยังเป็นการบอกว่า (อะไรบางอย่าง) นั้น อยู่ต่ำกว่าเรา
ดูมันช่างไร้ค่า เราไม่สนใจมัน เราไม่แยแสมันเสียด้วยซ้ำ

ตัวอย่างรูปประโยคเช่น “นายฟิวส์อยู่เหนือความดราม่าทั้งปวง”

แม่ม! นอกจากจะบอกว่ามันไม่อยากยุ่ง ยังทำให้มันถูกยกตัวเป็นผู้ละซึ่งความดราม่าทั้งปวงขึ้นมาทันทีทันใด

จบข่าว

Exit mobile version